พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 28 เมษายน 2568
มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ประเทศจีนบุกเข้าไปในธนาคารพร้อมกับมีดปังตอเล่มใหญ่ แล้ววิ่งตรงไปที่เคาน์เตอร์ธนาคาร แล้วบอกกับพนักงานธนาคารว่า นี่คือการปล้น ปรากฏว่าพนักงานธนาคารกับลูกค้าที่มาใช้บริการตกใจ หลายคนลนลานขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ชายคนนั้นบอกว่า เอาเงินมา เรียกให้พนักงานธนาคารหยิบเงินออกมาจากตู้เซฟ ระหว่างที่กำลังรออยู่ ปรากฏว่ามีเสียงโทรศัพท์ของโจรดังขึ้น หมอนั่นก็พูดกับพนักงานธนาคารว่า เดี๋ยวรอแป๊บ คุยโทรศัพท์ก่อน
แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุย ไม่ได้คุยดี ๆ ตะคอกใส่ปลายสาย บอกว่ากำลังยุ่งอยู่ เดี๋ยวค่อยโทรกลับไปทีหลัง เสร็จแล้วเก็บโทรศัพท์
ชั่วเวลานั้นเอง ได้จังหวะที่ รปภ. กับผู้ชายคนหนึ่งฉวยโอกาสไปล็อกคอชายคนนั้น สุดท้ายเขาก็ถูกจับส่งตัวไปให้ตำรวจ
เขาไม่ใช่คนติดยา ไม่ได้ติดเหล้าหรือเมา คนปกติ เพียงแต่ว่าเขาอยากได้เงิน คงเป็นหนี้ ติดหนี้การพนันหรือติดหนี้อะไรสักอย่าง อยากได้เงินไว ๆ เลยปล้นธนาคาร แต่ถึงแม้จะวางแผนมาดีอย่างไรก็ตาม ก็ไปพลาดท่าเสียทีเพราะว่าไปเผลอรับโทรศัพท์
คนเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ พอมีโทรศัพท์มือถือดัง ปฏิกิริยาอย่างแรกที่ทำคือ รีบคว้าโทรศัพท์มา ไม่ว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ อาจกำลังคุยกับลูก กำลังเยี่ยมเพื่อนที่เป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล หรือกำลังคุยธุระกับพ่อแม่ พอเสียงโทรศัพท์มือถือดัง หยุดเลย หยุดคุย ไม่ว่าเรื่องจะสำคัญอย่างไร คุยโทรศัพท์ก่อน เพราะอะไร
เพราะเป็นอัตโนมัติไปแล้ว มันกลายเป็นปฏิกิริยาฉับพลันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ขับรถอยู่ พอมีเสียงโทรศัพท์ดัง รับสายทันที อันนี้เป็นนิสัยใหม่ของคนรุ่นนี้ คือห้ามใจไม่ได้ เวลามีเสียงโทรศัพท์ดังรับทันที
แม้กระทั่งคนที่ปฏิบัติธรรม ใฝ่ธรรม กำลังสวดมนต์อยู่ พอมีเสียงโทรศัพท์ดัง เลิกสวดเลย ไปรับโทรศัพท์คุยกันก่อน ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์ด่วนสำคัญแค่ไหน แค่เสียงโทรศัพท์ดังก็รับแล้ว ห้ามใจไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ว่าหรือไม่ตระหนักว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด และไม่ได้สนใจว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังมาจากใคร เอาไว้ก่อน รับทันที ห้ามใจไม่ได้
มีหมอคนหนึ่งเขากำลังสนทนากับผู้ป่วย ผู้ป่วยเพิ่งเข้ามา บอกอาการไม่ทันเสร็จ ปรากฏว่าเสียงโทรศัพท์ของหมอดัง หมอหยิบหูโทรศัพท์มาคุยเลย ตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ คุยจนเสร็จธุระแล้วถึงค่อยวาง แล้วกลับมาคุยกับคนไข้ต่อ คุยได้ไม่ถึงนาที เสียงโทรศัพท์ดังอีกแล้ว หมอก็รับโทรศัพท์ คุยจนปลายสายพอใจวางหู หมอก็วางหู แล้วกลับมาฟัง กลับมาสนทนากับผู้ป่วย
ไม่ถึงนาทีเสียงโทรศัพท์ดังอีกแล้ว เขาก็ไปรับโทรศัพท์ แล้วคุย ผู้ป่วยก็นั่งรอ ยังสอบถามอาการไม่เสร็จเลย ผ่านไป 15 นาทีแล้ว เพราะว่าเสียงโทรศัพท์แทรกอยู่เป็นระยะ ๆ
สุดท้ายพอหมอพูดกับปลายสายรายที่ 4 เสร็จ คนไข้บอกว่า “ผมไปแล้ว” หมอเลยทักว่า “อ้าว จะไปไหน ยังคุยกันไม่เสร็จเลย” “ผมจะไปโทรคุยกับหมอ เพราะคุยกับหมอโดยตรงไม่ได้ผล”
หมอให้ความสำคัญกับเสียงโทรศัพท์มากกว่าคนที่อยู่ข้างหน้า คนไข้เลยรู้ว่าถ้าคุยโทรศัพท์กับหมอได้ผลกว่า
บางทีลูกของเราอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ จะคุยกับพ่อ พ่อไม่มีเวลา เพราะคุยไม่ทันจบ พ่อหรือแม่รับโทรศัพท์แล้ว ลูกบอกว่าทีหลังลูกโทรศัพท์ถึงพ่อถึงแม่ดีกว่า ได้รับความสนใจมากกว่า เป็นขนาดนี้ ยุคนี้เป็นกันไปทั่ว บางทีไม่ใช่เฉพาะคนทั่วไป นักปฏิบัติธรรม พระก็เป็น เพราะว่ามันกลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว
ฉะนั้น สิ่งที่เราควรฝึกอย่างแรก ๆ เลย คือว่า ให้มีสติ หรือรู้จักหักห้ามใจเวลามีเสียงโทรศัพท์ดัง อย่าเพิ่งหยิบโทรศัพท์มาคุย ฝึกหักห้ามใจก่อน โดยเฉพาะเวลาที่เรากำลังทำอะไรสักอย่าง ทำให้เสร็จก่อน กำลังคุยกับใครก็คุยให้เสร็จก่อน หรือว่าแม้จะคุยไม่เสร็จ อย่างน้อยก็ยังไม่รับสาย รอสักพักก่อน แล้วค่อยไปรับสาย
วิธีการหรือท่าทีประการแรกคือ หักห้ามใจ ไม่ไปหยิบโทรศัพท์มาคุยทันที
แล้วต่อไป ถ้าฝึกได้ดีกว่านั้นคือว่า นอกจากไม่ไปหยิบโทรศัพท์มาคุยแล้ว ใจก็เย็น สงบด้วย ไม่ใช่ว่าไม่รับโทรศัพท์ แต่ว่าใจรุ่มร้อน สวดมนต์อยู่ กำลังเดินจงกรมอยู่ กำลังกินข้าวอยู่ มีเสียงโทรศัพท์ดัง ไม่รับก็จริง แต่ว่าจิตใจรุ่มร้อนเหลือเกิน ต้องฝึกให้ใจเย็น ดังก็ดังไป อย่างน้อยสัก 3 หรือ 5 ครั้ง ถึงค่อยไปรับ
ก่อนที่จะรับ ใจต้องสงบ ไม่รุ่มร้อน สวดมนต์ก็สวดไปด้วยใจเย็น กินข้าวก็กินโดยที่ไม่มีความวิตกกังวล ขับรถก็ขับรถอย่างมีสติ เสร็จแล้วพอไปรับสายก็คุยอย่างมีสติ ถ้าทำอย่างนี้ได้ ไม่มีทางที่มิจฉาชีพจะมาหลอกเราได้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหลอกเราไม่ได้เลย
แต่ส่วนใหญ่พอเสียงโทรศัพท์ดังก็รีบหยิบโทรศัพท์มาคุยเลย ทำอย่างไม่มีสติไม่รู้ตัว และเนื่องจากไม่รู้ตัวนั่นแหละ เวลาพูดโทรศัพท์ กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์จึงเต็มไปด้วยอารมณ์ ไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว คุยโทรศัพท์อย่างไม่มีสติก็ทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์
มีบางรายกำลังขับรถอยู่ โทรศัพท์ดัง รับทันที ทั้งที่รู้ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีอุบายอย่างไร แต่เนื่องจากใจอยู่กับการขับรถ หรือไม่ก็อาจจะไปนึกถึงงานที่รออยู่ที่ออฟฟิศ เลยหลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กดโน่นกดนี่เข้าไป กด 1 หรือกด 2 มันก็กวาดเอาเงินไป
แต่เนื่องจากตัวเองตั้งค่าไว้ในแอปโทรศัพท์ว่าจะอนุญาตให้เบิกเงินได้ครั้งหนึ่งหรือวันหนึ่งไม่เกิน 100,000 บาท มิจฉาชีพเบิกไปครบแสนแล้ว ไม่สามารถจะเบิกต่อไปได้ เพราะว่าเหยื่อตั้งค่าไว้แค่ไม่เกิน 100,000 มันทำอย่างไร มันพยายามหลอกให้เจ้าของบัญชีเปลี่ยนกำหนดการตั้งค่า
จะเปลี่ยนได้ต้องแสดงตัวตน มีการถ่ายรูป มันก็อ้างว่าธนาคารบอกว่าให้แสดงตัวตนด้วยการถ่ายรูป คนเราถ่ายรูปแม้กระทั่งเวลานิ่ง ๆ ยังถ่ายรูปไม่ค่อยได้ แอปบอกให้ถ่ายใหม่ แต่ผู้หญิงคนนี้ ขณะที่ขับรถ มือซ้ายเธอถือโทรศัพท์ เธอยอมถ่ายโดยที่ไม่เฉลียวใจเลยว่านี่เป็นอุบายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือเปล่า แล้วถ่ายรูปแชะ แป๊บเดียวได้เลย แสดงว่ามือนิ่งมาก สุดท้ายเงินนับล้านถูกกวาดเกลี้ยง
ไม่ใช่ไม่รู้อุบาย รู้ แต่ว่าตอนนั้นไม่มีสติ ความรู้ที่มี อุบายของมิจฉาชีพลืมหมด เลยโดนกวาดไปเป็นล้าน ทั้งที่เป็นคนที่เข้าใจเรื่องอุบายของพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อุตส่าห์มีมาตรการป้องกัน แต่ก็คลายมาตรการป้องกันด้วยตัวเอง เพราะความหลง เพราะความลืมตัว
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าไม่มีสติกับการคุยโทรศัพท์ และที่จริงไม่มีสติตั้งแต่ตอนไปรับโทรศัพท์แล้ว
เพราะฉะนั้น การฝึกสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องการฝึกสติ อย่างแรกเลย ให้ฝึกหักห้ามใจไม่รับโทรศัพท์บ้างเวลามันดัง อย่างน้อยสัก 3 ครั้ง 4 ครั้ง 5 ครั้ง
พอรับ ก็รับอย่างมีสติ ไม่อย่างนั้น ที่ทำอะไรพลาดท่าเสียทีหมด ขนาดปล้นธนาคารยังเผลอรับโทรศัพท์เลยจนโดนตำรวจจับ อันนี้เรื่องจริง ไม่ใช่ เรื่องที่เป็นนิทาน เพราะว่าคนเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แหละ.