แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 15 เมษายน 2568
ที่ประเทศอังกฤษมีหน่วยงานหนึ่งชื่อว่าไบโอแบงก์ (Biobank) เก็บข้อมูลของชาวอังกฤษทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเจ็บป่วย สาเหตุการตาย รวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เพศ วัย อาชีพ การงาน การศึกษา สถานภาพสมรสเป็นโสดหรือแต่งงานแล้ว หรือหย่าแล้ว รวมไปถึงพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกายหรือเปล่า สูบบุหรี่ไหม ข้อมูลนี้เขาเก็บเยอะมาก เขาเลยมีการเอาข้อมูลเหล่านี้มาศึกษาวิจัยว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยทำให้คนเราอายุยืน และอายุสั้น ข้อมูลที่เขาพบน่าสนใจ แม้ว่าจะเป็นข้อมูลเฉพาะคนอังกฤษ
เขาบอกว่าปัจจัยที่มีผลมากที่สุดเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ซึ่งหมายถึงว่าจะอยู่ได้ยืนยาวหรืออายุสั้น ตัวสำคัญคืออายุ และเพศ มีผลถึง 47 เปอร์เซ็นต์ต่อการมีอายุยืนหรืออายุสั้น หมายความว่า ถ้าแก่มาก ๆ มีโอกาสที่จะป่วยด้วยโรคที่ทำให้ถึงตายได้มากกว่าคนหนุ่มสาว ส่วนเรื่องพันธุกรรมมีอิทธิพลมีผลแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เรียกว่าน้อยกว่าที่คิดมาก แต่ที่น่าสนใจคือสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต มีผลต่อสุขภาพและความเจ็บป่วย 17 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่น้อย และเขาลงรายละเอียดว่าสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตตัวไหนบ้างที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับคนเราจนถึงตายได้ เขาพบว่าการสูบบุหรี่ทำให้มีความเสี่ยงที่จะตายเร็ว 60 เปอร์เซ็นต์ โรคอ้วนมีผลประมาณ16 เปอร์เซ็นต์
ในทางตรงข้าม คนที่มีการศึกษาดี มีงานทำ มีเงินใช้ มีโอกาสที่จะอายุยืน ความเสี่ยงที่จะตายเร็วน้อยลง แต่ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาดี มีเงินใช้ แต่ว่าถ้าเป็นคนเหงา อยู่โดดเดี่ยวคนเดียว อันนี้มีโอกาสที่จะตายเร็วเหมือนกัน เขาพบว่าคนที่อยู่โดดเดี่ยวคนเดียวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะตายเร็ว หรือตายก่อนอายุขัย นี้เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ เขาพบว่าคนที่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว ภูมิต้านทานจะต่ำ และมักจะมีการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ อยู่เสมอ เดี๋ยวนี้เขาพบว่าการอักเสบมีส่วนทำให้เป็นโรคหัวใจ นี้เป็นเรื่องที่เป็นข้อมูลใหม่ หรือว่าเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าการอยู่คนเดียวแม้จะมีชีวิตที่สะดวกสบาย แต่ก็สามารถทำให้ตายเร็วได้ เพราะว่ามันมีผลต่อร่างกาย
ที่มีผลต่อร่างกายเพราะมันมีผลต่อจิตใจ พออยู่คนเดียวก็เหงา ความเหงา ความว้าเหว่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำได้คือ ทำให้เกิดความเจ็บป่วยต่าง ๆ นานา ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาสำคัญของคนอังกฤษ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเป็นปัญหาสำหรับคนประเทศอื่นแล้ว รวมทั้งคนไทยด้วย คนแก่ก็ดี เดี๋ยวนี้เหงามากขึ้น แล้วแม้กระทั่งคนหนุ่มสาว วัยกลางคนก็เริ่มจะเหงา อยู่โดดเดี่ยว เขาพบว่าคนที่มีคู่ อยู่กับครอบครัว หรือมีคนไปมาหาสู่บ่อย ๆ จะอายุยืนกว่าคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร และมีงานวิจัยชิ้นอื่นที่บอกว่าความเหงาเป็นสาเหตุแห่งการตายที่รุนแรงกว่าการสูบบุหรี่ด้วยซ้ำ สูบบุหรี่ 30-40 ปียังมีผลเสียต่อสุขภาพน้อยกว่าความเหงาเพราะอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง ฉะนั้นหลายคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว อันนี้ต้องระวัง
ทางแก้คือว่า พยายามที่จะมีกิจกรรมทางสังคมให้มากขึ้น แทนที่จะเก็บตัวหลีกเร้นคนเดียว ก็เข้าไปร่วมพบปะผู้คน ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น เดี๋ยวนี้มีกิจกรรมที่ทำร่วมกับผู้คนมากมาย ออกกำลังกาย แอโรบิก หรือว่าวิ่ง หรือแม้กระทั่งการเป็นจิตอาสา หรือแม้กระทั่งการไปเรียน มีคนแก่หลายคนไปเข้าคอร์ส ไม่ใช่เขาอยากรู้อะไรมาก หรือไม่ใช่เพราะใฝ่รู้อะไร แต่เพราะว่าจะได้เจอผู้คน จะได้ช่วยลดความเหงา และความเหงา อย่างที่ว่า ไม่ได้มีผลเสียแค่ต่อจิตใจ มีผลเสียต่อสุขภาพด้วย ฉะนั้น หากว่าเราสามารถที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ แทนที่จะอยู่นิ่ง ๆ คนเดียว
โบราณเขาบอกว่าอยู่คนเดียวให้ระวังความคิด เพราะอยู่คนเดียวแล้วมันคิดโน่นคิดนี่ คิดในทางลบทางร้าย แล้วเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งเหงา
บางทีก็อยู่กับมือถือ มือถือไม่ได้ช่วยทำให้หายเหงาเลย เพราะว่าพอเล่นมือถือ ไถมือถือไประยะหนึ่งก็เบื่อแล้ว เล่นเกมก็เหมือนกัน คนเดี๋ยวนี้คิดว่าไม่จำเป็นต้องคบเพื่อนก็ได้ เก็บตัวอยู่ในห้อง เล่นเกมทั้งวันทั้งคืน แต่ลึก ๆ ก็เหงา แล้วความเหงาก็ทำร้ายสุขภาพทั้งกายและใจ เพราะฉะนั้น การเปิดตัวไปเจอผู้คน แล้วก็พยายามมีเพื่อน แต่การที่คนเราจะมีเพื่อนได้ไม่ใช่เรียกร้องจากใคร ต้องรู้จักให้ ถ้าเราให้มิตรภาพกับคนอื่น คนอื่นก็จะให้มิตรภาพความเป็นเพื่อนกับเรา แต่เนื่องจากคนสมัยนี้เรียกว่าเอาตัวเองเป็นใหญ่ ถือหลักโนสนโนแคร์ ก็เลยไม่มีเพื่อน พอไม่แคร์ใคร คนอื่นเขาก็ไม่แคร์ตัวเองบ้าง ถ้าหากเปิดใจเข้าหาผู้คน เอื้อเฟื้อเกื้อกูล รวมทั้งรู้จักยับยั้งชั่งใจ หรืออดทนอดกลั้น เพราะว่าการที่มีเพื่อนอาจจะเจอความขัดแย้ง เจอความแตกต่าง ต้องรู้จักอดทน เขาคิดไม่เหมือนเรา ก็ให้ยอมรับความแตกต่าง
นอกจากนั้น การที่เราจะรู้จักทำอะไรเป็นงานอดิเรกบ้างก็ช่วยคลายเหงาได้ คนเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักงานอดิเรกแล้ว ว่างเมื่อไรก็จับมือถือมาไถ เล่นเกม ดูโซเชียลมีเดีย พวกนี้ไม่ใช่งานอดิเรก งานอดิเรกทำให้หายเหงาได้ คือว่าเพลิน หรือไม่ก็ปลูกต้นไม้ ทำอะไรก็ได้ที่ใช้แรง ใช้มือใช้ไม้ ช่วยทำให้ใช้ความคิดน้อยลง ไม่จมดิ่งอยู่กับความคิด ที่สำคัญคือว่า คนเราแม้จะมีความเหงา แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเหงาก็ได้ รู้จักเป็นมิตรกับความเหงาบ้าง ไม่ใช่ว่าชีวิตคนเราจะไม่มีความเหงาเสียเลย มันมีความเหงาเป็นธรรมดา เวลาป่วยอยู่คนเดียวในบ้าน หรือเวลาติดเตียงอย่างนี้ ติดเตียงอย่างไร แม้จะมีคนไป ๆ มา ๆ เป็นหมอ พยาบาล แต่สุดท้ายก็อยู่คนเดียวและแม้จะมีความเหงา แต่ไม่รู้สึกเหงา เราทำได้
เห็นความเหงา ยอมรับความเหงา เป็นมิตรกับความเหงา อันนี้เรียกว่า มีความเหงาแต่ไม่เป็นผู้เหงา
ซึ่งการเจริญสติช่วยให้เราสามารถจะอยู่กับความเหงาได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ เป็นมิตรกับมันได้ไม่ใช่ว่าเหงาแล้วจะต้องอายุสั้นเสมอไป แต่อยู่ที่ว่าเราเกี่ยวข้องกับมันเป็นหรือเปล่า ถ้าเราเกี่ยวข้องไม่เป็น เราก็กลายเป็นผู้เหงา ก็เศร้า ทุกข์ แต่ถ้าเราเห็นความเหงา รู้ทันความเหงา ยอมรับมัน อนุญาตให้มันเกิดขึ้นได้ เป็นมิตรกับมันได้ ใจก็ไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้น นอกจากการไปมีกิจกรรมทางสังคมกับผู้คน ไปเป็นจิตอาสา หรือว่าการหาอะไรทำเป็นงานอดิเรกเพื่อแก้เหงาแก้เบื่อแล้ว การที่เราจะรู้จักเจริญสติ รู้ทันความเหงา อยู่กับมันได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ช่วยทำให้สุขภาพจิตดี และสุขภาพกายก็ดีด้วย.