พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 8 มกราคม 2568
ในสมัยพุทธกาล มีเจ้าชายองค์หนึ่งชื่อ อนุรุทธะ เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า อยู่ในตระกูลศากยวงศ์ เจ้าชายอนุรุทธะได้รับการดูแลเลี้ยงดูอย่างสุขสบายมาก มีคราวหนึ่ง เจ้าชายอนุรุทธะกับญาติรุ่นพี่ รวมทั้งพี่ชาย กำลังกินอาหารอยู่ ก็มีคนหนึ่งถามขึ้นมาว่าอาหารที่เรากินนี่มาจากไหน
เจ้าชายบอกว่ามาจากยุ้งฉาง เพราะว่าเห็นขนข้าวมาจากยุ้งฉาง ส่วนเจ้าชายภัททิยะซึ่งเป็นพี่ชายของเจ้าชายอนุรุทธะก็บอกว่า ข้าวนี่มาจากหม้อ เพราะเห็นคดข้าวจากหม้อ ส่วนเจ้าชายอนุรุทธะบอก ข้าวนี่มาจากชาม เพราะว่าเวลากินข้าวทีไรก็เห็นข้าวอยู่ในชาม คือไม่เคยรู้เลยว่าข้าวนี่มันมาจากทุ่งนา เพราะว่าชีวิตเรียกว่าได้รับการปรนเปรอเลี้ยงดูอย่างสุขสบาย จนแทบไม่เคยไปเห็นทุ่งนาเลย
เจ้าชายอนุรุทธะ อดีตชาติได้เคยถวายทานกับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แล้วก็ตั้งจิตขอ สมัยนี้เรียกว่าอธิษฐาน ขอว่าในชาติต่อไปอย่าได้รู้จักคำว่าไม่มี แล้วคำอธิษฐานนี้ก็เกิดขึ้นเป็นจริง เมื่อได้มาเกิดในตระกูลศากยวงศ์ เจ้าชายอนุรุทธะก็ไม่รู้จักคำว่าไม่มีเลย มีคราวหนึ่ง เล่นตีคลีซึ่งเป็นกีฬาโบราณกับพระญาติ ก็พนันกันว่าใครแพ้ต้องเอาอาหารขนมมาเลี้ยง
ปรากฏว่าเจ้าชายอนุรุทธะแพ้ถึง 3 ครั้ง อาหารที่นำมาเลี้ยง พอถึงครั้งที่ 3 ก็หมด เล่นครั้งที่ 4 เจ้าชายอนุรุทธะก็แพ้อีก เลยบอกให้ข้าราชบริพารไปบอกพระมารดาว่า ขออาหาร ขอขนมมาหน่อย ปรากฏว่าขนมในครัวหมด พระมารดาก็เลยบอกหญิงรับใช้ว่าไปบอกเจ้าชายอนุรุทธะว่าขนมไม่มี แต่ว่าไม่ได้พูดเปล่าๆ ก็ให้ถาดไปด้วย ถาดเปล่าๆ แล้วก็มีฝาปิด หญิงรับใช้ก็ทูลถาดไปให้เจ้าชายอนุรุทธะ
ระหว่างทาง เทวดาที่ดูแลพระราชวังรู้ว่าเจ้าชายอนุรุทธะในชาติที่แล้วเคยอธิษฐานว่า อย่าได้รู้จักคำว่าไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าเทวดาปล่อยให้ถาดที่ว่างเปล่าจากขนมไปถึงเจ้าชายอนุรุทธะ ก็คงจะถูกเทวดาที่เหนือกว่าลงโทษ เลยบันดาลให้มีขนมขึ้นมาในถาดนั้น
พอหญิงรับใช้นำถาดที่มีขนมทิพย์นี้มาให้ เจ้าชายอนุรุทธะและพวก ก็กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ แล้วก็ประหลาดใจมากว่าอาหารหรือขนมนี้อร่อยมาก เพิ่งรู้ว่าขนมไม่มี มันอร่อยขนาดนี้ ก็เลยไปบอกพระมารดาว่าคราวหน้าขอขนมไม่มีอีกนะ เพราะอร่อยเหลือเกิน อันนี้ก็เรียกว่าเป็นอานุภาพของจิตที่อธิษฐานเอาไว้ ขอพรแล้วก็ได้รับพรพิเศษนั้นคือไม่รู้จักคำว่าไม่มี แม้แต่ขนมไม่มี ซึ่งแทนที่จะเป็นขนมที่ว่างเปล่า ก็กลับกลายเป็นขนมทิพย์ขึ้นมา
เรื่องราวของพระอนุรุทธะคงจะเป็นเหตุให้มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อยในปัจจุบัน เวลาทำบุญขอพร จะมีประโยคหนึ่งว่า ขออย่าได้รู้จักคำว่าไม่มี ไม่ว่าจะไม่มีทรัพย์ ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรก็ตามที่ใครๆ เขามีกัน ขออย่าได้รู้จัก หรือได้ประสบสิ่งนั้น
ในความเป็นจริงการที่คนเราจะรู้จักแต่คำว่ามี แล้วก็ไม่เจอคำว่าไม่มีนี่มันยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมีกับไม่มีเป็นของคู่กัน มีกับหมดเป็นของคู่กัน ได้กับเสียเป็นของคู่กัน
ฉะนั้นใครที่อธิษฐานว่าขออย่าได้รู้จักคำว่าไม่มี ก็มีหวังว่าพรนี้หรือคำอธิษฐานนี้จะเป็นหมัน ไม่มีใครสามารถจะให้พรนี้ได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนใหม่ว่า ขออย่าได้รู้จักคำว่าไม่ได้ อันนี้จะดีกว่า เพราะว่าไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา เราจะได้เสมอ ถ้าเรารู้จักมอง
ได้ ในที่นี้หมายถึงได้บทเรียน ได้เรียนรู้ ชาวพุทธเราไม่ใช่เป็นผู้ที่ใฝ่มีใฝ่เสพ แต่เราเป็นผู้ใฝ่รู้ แล้วถ้าเรากุมจิตวิญญาณใฝ่รู้เอาไว้ ไม่ว่าเจออะไร มันได้ทั้งนั้น อันนี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมบางคนจึงพูดว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ดีเสมอ เพราะว่าเราจะได้ทุกครั้งทุกเหตุการณ์ เพียงแต่ว่าได้นี่ไม่ใช่ได้เงินได้ทองได้โชคได้ลาภ แต่ได้บทเรียน
เวลาเราจะเจริญสติ เวลาเราปฏิบัติธรรมภาวนา มีความฟุ้งเกิดขึ้น หลายคนไม่ชอบ เพราะมองไม่เห็นว่าตัวเองได้อะไร แต่ที่จริงได้เยอะเลย ได้เรียนรู้ว่าจิตมันไม่นิ่ง จิตคนเรามันไม่ยอมนิ่งง่ายๆ แล้วได้เรียนรู้ว่า จิตมันไม่อยู่ในอำนาจของเรา เพราะไม่ว่าจะพยายามให้มันนิ่งอย่างไรมันก็ไม่นิ่ง พยายามให้มันหยุดคิดมันก็ยังคิด ได้เรียนรู้ว่าจิตนี่ไม่ใช่ของเรา แม้กระทั่งไม่รู้ว่ามันจะคิดอะไรอีก 1 นาทีข้างหน้า ตั้งใจว่าจะไม่คิด แต่ว่าปุ๊บเดียวคิดเสียแล้ว แม้กระทั่งขณะที่ฟังอยู่นี่ก็คิดเสียแล้ว
นี่คือสิ่งที่เราสามารถจะได้จากภาวะที่จิตมันมีความฟุ้งเกิดขึ้น แล้วก็ยังได้เรียนรู้ต่อไปว่า อารมณ์ก็ไม่เที่ยง เมื่อตะกี้ยังดีใจอยู่เลย แต่ตอนนี้หงุดหงิดเสียแล้ว เพราะว่ามีคนพูดไม่ถูกหู
อย่างเช่นเมื่อเช้านี้ยังหงุดหงิดหัวเสียอยู่เลย แต่ว่าตอนนี้อารมณ์ดีแล้ว เพราะว่าได้ข่าวดีว่าเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานจะกลับมาเมืองไทย จะได้พบกัน ได้ข่าวนี้ก็ดีใจเลย ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังหงุดหงิดหัวเสียอยู่กับลูก กับสามี กับภรรยา หรือกับลูกน้อง อารมณ์มันเปลี่ยนไปกะทันหันเลย
หรือแม้กระทั่งเมื่อกี้ยังหงุดหงิดเพราะมีคนมาตำหนิ แต่ตอนนี้อารมณ์ดีแล้วเพราะมีคนชม อารมณ์หรืออาการของจิตมันไม่เที่ยงเลย จิตเราก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน
นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้และมีค่า จากความฟุ้ง รวมทั้งได้ฝึกจิตด้วย ความฟุ้งก็ได้มาสอนให้จิตมีสติ รู้ทันความคิดได้ไว แต่ก่อนไม่เคยมาดูจิตเลยว่ามันคิดฟุ้งอย่างไรบ้าง แต่พอมาดูแล้วก็ดูเป็น มันก็ได้ฝึก การที่มีความฟุ้งเยอะๆ นี่ดีทำให้สติเข้มแข็งปราดเปรียว
ถ้าจิตมันนิ่งสงบ สติก็อ่อนแอ เหมือนกับนักชกที่ไม่มีคู่ซ้อม หรือเหมือนกับนักเรียนที่ไม่มีการบ้าน ก็ไม่ฉลาด เวลาเงินหาย ถูกโกง เราก็ได้เรียนรู้ ได้บทเรียนว่า ประมาทไม่ได้ เผลอไม่ได้ บางทีไว้วางใจมากเกินไป หรือไม่ระวัง กดซี้ซั้วไม่รู้เรื่อง เห็นสติ๊กเกอร์ฟรี อยากได้ กดเสียเลย แต่แทนที่จะได้สติ๊กเกอร์ กลับเสียเงินเพราะว่ามันส่งสปายแวร์ เข้าไปในเครื่อง แฮกเอาข้อมูลออกมา แล้วก็ถอนเอาเงินของเราไป
แต่แม้จะเสียเงิน แต่ก็ได้ คือได้ความรู้ได้ประสบการณ์ แล้วก็ได้เรียนรู้ว่าของที่มีอยู่มันไม่เที่ยง มีกับหมดเป็นของคู่กัน ได้กับเสีย นี่เป็นบทเรียนที่ต้องตอกย้ำในใจเสมอเพราะเป็นของดี รวมทั้งได้ฝึกหรือสอนใจให้รู้จักปล่อยวาง มันมาเป็นบทเรียนให้ปล่อยวาง
เงินที่มี อยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราวแล้วมันก็ไป แต่บางคนยังทำใจไม่ได้ ยังไม่ซาบซึ้งกับบทเรียนว่า เงินทั้งหลายไม่ใช่ของเรา แต่อย่างน้อยก็ได้ฝึก ได้รู้จักปล่อยรู้จักวาง มันอาจจะเคยเป็นของเรา แต่ตอนนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว ปล่อยวาง พอปล่อยวางได้ ใจก็โปร่งเบา ได้บทเรียน ได้เรียนรู้เลยว่า ปล่อยเมื่อไหร่ก็สบายเมื่อนั้น
เวลาทำงานแล้วก็ล้มเหลว เราก็ได้เรียนรู้ว่า มันไม่มีอะไรที่เราสามารถจะบงการให้เป็นไปดั่งใจได้เลย แม้งานที่วางแผนเอาไว้ดีแล้ว ดีทุกอย่าง แต่ว่าฝนฟ้าไม่เป็นใจ ฝนตก หรือว่าพายุกระหน่ำ อีเวนต์ที่วางแผนเอาไว้อย่างดี ล้มไม่เป็นท่า ยังจัดได้อยู่ แต่คนไม่มาเพราะฝนตก อันนี้เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ แล้วยังมีอีกเยอะ ก็ได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างรวมทั้งงานการ มันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา เพราะมันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆ มากมายที่เราแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
หรืออย่างน้อยเราได้เรียนรู้ว่า เรามีข้อบกพร่อง มีจุดอ่อนตรงไหน ผิดพลาดตรงไหน เป็นบทเรียนที่ล้ำค่า เพราะต่อไปจะได้ไม่ทำซ้ำอีก ตอนนี้ยังเสียหายไม่เท่าไหร่ ต่อไปถ้าพลาดก็จะเสียหายหนัก เรียกว่าซื้อบทเรียน ซื้อความรู้ นี่ก็ได้ คนมองไม่เห็นก็คิดว่าเสีย อาจจะเสียเวลา อาจจะเสียเงินที่ลงทุนไป แต่ว่าได้ประสบการณ์ ได้ความรู้ แล้วประสบการณ์นี้ก็มีค่ามาก เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้
บางทีมาวัดอยากจะหาความสงบ แต่ว่ากลับเจอเสียงดัง ก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่มีอะไรที่จะเป็นไปอย่างที่คาดหวังได้ทุกอย่าง วันที่เราไม่มานี่มันเงียบ แต่วันที่เรามานี่มันกลับมีเสียงดัง เสียงลิเก เสียงหมอลำ อันนี้ก็เป็นธรรมดา คนมองไม่เป็นก็มองว่าเราโชคไม่ดี เป็นเคราะห์ แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งคือ มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวังเสมอไป ต้องรู้จักเผื่อใจไว้ ทำอะไรก็ตาม
หรือบางทีก็ได้เรียนรู้ว่า ความหงุดหงิดเวลามีเสียงดัง สาเหตุสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่เสียงหรือต้นเสียง แต่อยู่ที่ใจเราต่างหาก ใจที่คาดหวังว่าจะต้องมีความสงบ ไม่มีเสียงดัง หรือใจที่รู้สึกเป็นลบกับเสียงดัง พอปรับใจให้เป็นบวก เสียงดังก็ทำอะไรเราไม่ได้ บางทีกลับกลายเป็นดีเสียอีก
เหมือนกับบางคนนั่งสมาธิ เกิดเจอเสียงเลื่อยยนต์ดังระคายโสตประสาททีแรก แต่ตอนหลังพอมองว่าเป็นเสียงเพลง มันมีลักษณะหลายอย่างเหมือนเสียงเพลง มีทั้งลากยาวและกระชากกระชั้น มีทั้งเบาแล้วก็ดัง มีทั้งสูงและต่ำ เหมือนเพลงเฮฟวี่เลย เสียงเลื่อยยนต์กลายเป็นดีเลยนะ อันนี้ก็เรียกว่าได้บทเรียนว่า เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา ไม่ได้อยู่ที่ต้นเสียง ไม่ได้อยู่ที่เสียง
ถ้าไม่เจอเสียงดังมันไม่ได้เรียนรู้สัจธรรมความจริงข้อนี้ ว่าธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วที่ใจ จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ ถ้าวางใจเป็นลบ แม้เสียงริงโทนที่ไพเราะก็สร้างความหงุดหงิดได้ เพราะว่ามันดังในสถานที่และเวลาที่ไม่ถูกต้องในความหมายหรือความเข้าใจของเรา แต่พอมองเห็นว่ามันเป็นธรรมดา หายหงุดหงิดเลย เสียงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเลย ไม่มาหมุนวนติ้วอยู่ในหัวหรืออยู่ในสมอง นี่คือได้บทเรียน ว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา นี่ก็ได้
กลิ่นเหม็น บางคนตื่นเช้าขึ้นมา ข้างบ้านเขาทำครัว อร่อยของเขา ผัดเผ็ด แต่ว่ามันส่งกลิ่นคลุ้งมาที่บ้านของเรา หลายคนหงุดหงิดนะเพราะว่านอนไม่ได้เลย ต้องตื่นขึ้นมาหรือตื่นขึ้นมาแล้วทำอะไรไม่ได้เลย จะนั่งไถมือถือสักหน่อย หรือว่าจะนั่งฟังเพลงสักหน่อย กินกาแฟยามเช้า ปรากฏว่ากลิ่นอาหารจากข้างบ้านมันรบกวน
แต่ก็พบว่ามันก็มีประโยชน์จากกลิ่นพวกนี้ เพราะว่าทำให้เขาต้องหาทางออกไปวิ่งนอกบ้าน แต่ก่อนตื่นขึ้นมาก็นัวเนียนวยนาด ไม่ค่อยกระฉับกระเฉง พอมีกลิ่นฉุนเข้ามาในบ้าน มันผลักให้เขาต้องออกไปวิ่งเล่นวิ่งในสวน จะได้หนีกลิ่นฉุน แต่ว่าข้อดีคือทำให้ขวนขวาย กระตือรือร้นในการออกกำลังกาย กลิ่นฉุนมาทีไรต้องออกไปวิ่งในสวน จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยไปเลย สุขภาพก็ดี นี่ได้ประโยชน์จากกลิ่นฉุนของครัวข้างบ้าน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเรารู้จักมองให้ดี เราได้เยอะเลย ทำงานแม้ว่าจะเป็นประโยชน์เพื่อสังคม แต่ว่าทำแล้วไม่สำเร็จ หลายคนรู้สึกท้อแท้ แต่ถ้ามองว่าการทำงานทุกอย่างมันฝึกใจเรา เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ได้ทั้งนั้น
เจอคำต่อว่าด่าทอก็ได้ ได้ฝึกใจ ได้ฝึกการลดละตัวตน เพราะว่าถ้ายังยึดมั่นในตัวตน ยึดมั่นในตัวกู ยึดมั่นในความคิดของกู ยึดมั่นในงานของกู มันก็มีแต่ทุกข์ ที่ทุกข์ไม่ใช่เพราะคำพูดคำวิจารณ์ของคนอื่น แต่ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น งานของกู ตัวกู หน้าตาของกู
เหล่านี้คนมองไม่ค่อยเห็น โดยเฉพาะเวลาประสบความสำเร็จ ตัวกูจะฟูขึ้นมา มันมีความสุขความยินดี แต่ว่าไม่ได้เรียนรู้เลยนะว่าทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น หลงตัวลืมตนหนาแน่นขึ้น แต่พอเจอความล้มเหลว แล้วพอเกิดทุกข์ขึ้นมา เมื่อใคร่ครวญก็เห็นว่าเราทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกู ในงานของกู ในความคิดของกู นี่ถือว่าได้
ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างเดียว แต่ว่าเรามุ่งเพื่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ได้ทั้งนั้น ได้ฝึกตน ได้เห็นข้อผิดพลาด ได้ฝึกการวางใจ เรียกว่ามีแต่ได้กับได้ ถ้าไม่ได้ 1 ก็ได้ 2 ได้ 2 คือว่างานก็สำเร็จ แล้วก็ได้ฝึกตนฝึกจิตฝึกใจ แต่ถ้างานไม่สำเร็จก็ยังได้ คือได้ฝึกจิต
เพราะฉะนั้นที่ท่านพุทธทาสบอกว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม ก็คือการที่เราฝึกให้รู้จักการขัดเกลาจิตใจตนเอง ถ้าเราเห็นว่าหรือมองว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม แม้งานไม่สำเร็จ แต่ก็ได้ปฏิบัติธรรมคือได้ฝึกจิตแล้ว
ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าเราเจออะไร ดูดีๆ เรามีแต่ได้ แม้ในยามที่ใครเขาบอกว่าแพ้ แต่ก็ยังได้ ได้เห็นสัจธรรมว่ามันไม่ได้มีแต่ชนะ มันมีแพ้ด้วย แล้วการแพ้มันก็ดี ช่วยลดอัตตาตัวตน เพราะถ้าชนะแล้วมันเหลิง
ที่โบราณถึงว่า แพะเป็นพระ ชนะเป็นมาร เพราะว่าความพ่ายแพ้มันก็ฝึกจิตให้ลดความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาได้ มันฝึกได้หลายอย่าง มันก็เห็นว่าโลกธรรมเป็นอย่างนี้เอง มีขึ้นมีลง มีแพ้มีชนะ หรือช่วยลดอัตตาให้มันเบาบาง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเกิดชนะขึ้นมากก็จะเหิมเกริม ดูถูกคนอื่น เหยียดคนอื่นว่าโง่ สู้กูไม่ได้
แต่พอเกิดแพ้ขึ้นมา อัตตาตัวตนมันถูกกระทบ ถูกทรมาน มันไม่เหิมเกริมเหมือนเมื่อก่อน หรือทำให้รู้สึกว่าเราก็มีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข อันนี้เรียกว่าทำให้อ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น หลงตัวลืมตนน้อยลง อันนี้เขาเรียกว่าได้
ให้เรานิยามหรือมองคำว่าได้เสียใหม่ ไม่ใช่ได้โชคได้ลาภ แต่ว่าได้เรียนรู้ ได้ฝึกจิต ได้อบรมใจ ฉะนั้นถ้าเรามองได้แบบนี้ ชีวิตเราก็มีแต่ได้ ไม่มีเสีย เสียในทางโลกเป็นไปได้ แต่ว่าได้ในทางธรรม รวมทั้งเวลาเจ็บป่วยก็ได้ เรียนรู้สัจธรรมว่าสังขารไม่เที่ยง ร่างกายเป็นทุกข์ หรือว่าได้ธรรมสังเวชว่า ต้องรีบ อะไรที่ยังไม่ทำต้องรีบๆ ทำ ก่อนที่จะไม่มีเวลาทำเพราะว่าตายเสียก่อน อันนี้เรียกว่าได้อัปปมาทธรรม คือความไม่ประมาท
ฉะนั้นเวลาเราอธิษฐาน อธิษฐานอย่างนี้ดีกว่า ขออย่าได้รู้จักคำว่าไม่ได้ อธิษฐานว่าขออย่าได้รู้จักคำว่าไม่มี ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าขอให้ได้ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อย่างนี้ดีกว่า โดยเฉพาะถ้าเป็นการได้เรียนรู้ ได้บทเรียน ได้ฝึกจิตฝึกใจ อันนี้ชีวิตมีแต่ความเจริญ.