พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 19 มกราคม 2568
มีชายคนหนึ่งไปหาจิตแพทย์เพราะมีความทุกข์มาก ปัญหาของเขาก็คือมีความหึงหวงอย่างรุนแรงต่อภรรยา
เพียงแค่ภรรยามองไปทางที่มีผู้ชายอยู่ก็โกรธแล้ว ทั้ง ๆ ที่อาจจะไม่ได้มองไปที่ผู้ชายคนนั้น ยังไม่นับถึงพูดคุยกับผู้ชาย เห็นแล้วจะโกรธอย่างรุนแรง แล้วแกก็พยายามทำทุกอย่างไม่ให้ภรรยาได้ไปเจอผู้ชาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดความทุกข์ จิตใจเต็มไปด้วยความกลัวและบ่อยครั้งก็มีปากเสียงกับภรรยา จนกระทั่งรู้สึกว่าชีวิตนี้แย่แล้ว ก็พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้มีความรู้สึกแบบนั้น แต่ว่าก็ทำไม่ได้
สุดท้ายก็เลยต้องมาพึ่งจิตแพทย์ จิตแพทย์คนนี้เป็นคนที่เข้าใจเรื่องจิตใจของมนุษย์พอสมควรก็ให้กำลังใจผู้ชายคนนี้ ซึ่งแกรู้สึกว่าไม่สามารถจะควบคุมตัวเองได้ ปัญหานี้ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง แต่หมอบอกว่า คุณมีความสามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งหมอเลยก็ได้
สิ่งที่หมอแนะนำไม่ใช่วิธีไปจัดการกับความหึงหวง เช่น กดข่มมัน หรือหาทางจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้น หมอแนะนำว่า ให้ลองสังเกตเวลามีความหึงหวงเกิดขึ้น ลองสังเกตว่าตอนที่มันเริ่มปรากฏ มันเป็นอย่างไร เห็นมันไหม
หรือตอนที่มันครองจิตครองใจก็ลองสังเกตเห็นมันดู แล้วก็ดูต่อไปว่ามันทำให้เกิดอาการอย่างไรต่อจิตใจ เช่น ทำให้รุ่มร้อน ทำให้คับแค้น แล้วมีผลอย่างไรต่อร่างกาย ให้ลองสังเกตดู
สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็เช่น หัวใจเต้นเร็ว มือเกร็ง บางทีก็หายใจสั้น หายใจตื้น แล้วเวลามันไป ลองสังเกตดูว่าตอนที่มันหายไป มันหายไปตอนไหน
สิ่งที่หมอแนะนำก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหลือวิสัยของผู้ชายคนนี้ แทนที่จะไปจัดการกับอารมณ์หึงหวงหรือความโกรธ ก็เพียงแต่แค่ดูมัน สังเกตใจของตัว มันเกิดขึ้นก็ดูมันตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มปรากฏ แล้วก็ลุกลามจนครองจิตครองใจ แล้วก็ส่งผลอย่างไรต่อจิตใจ ส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย ให้สังเกตดูอาการทางกายอาการทางใจ
ทีแรกก็ทำไม่ค่อยได้ กว่าจะรู้ตัว มันก็โกรธเสียแล้ว กระฟัดกระเฟียด หรือบางทีก็หลุดปากออกไปแล้ว แต่ตอนหลังเขาดูมันได้ไวขึ้น ๆ และอาการที่เคยรุนแรงก็ค่อยบรรเทาเบาบางลง
แล้วก็เป็นอย่างที่หมอว่า มันเป็นเรื่องที่เขาสามารถจะดูแลตัวเองได้ แล้วเขามีความสามารถในการจัดการกับจิตใจของตัว หรืออารมณ์ของตัว แต่ไม่ใช่ด้วยการไปจัดการกับอารมณ์ความหึงหวงความโกรธ แกก็แค่ดูมัน
วิธีเดียวกันนี้เองที่มันทำให้เขามีสติมากขึ้น ทีแรกหมอก็ไม่ได้พูดเรื่องสติ แต่ว่าก็เพียงแต่แนะนำให้เขาลองสังเกตดูใจของตัว แต่การที่จะดูใจ ดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้สติมีกำลังมากขึ้น
พอเขามีสติมากขึ้นก็พบว่า มันก็สามารถเอาไปใช้เวลาที่เขามีความทุกข์แบบอื่น ๆ เช่น ความโศก ความเครียด ความเสียใจ เวลาเจอปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่ความหึงหวงแต่ความเครียดในที่ทำงาน หรือว่าปัญหาอื่น ๆ ที่เคยทำให้ใจเป็นทุกข์ คราวนี้เขาก็พบว่า สติก็ช่วยได้
สติที่เกิดจากการที่ดูใจเวลาความหึงหวงมันเกิดขึ้น มันก็เป็นสติตัวเดียวกับการที่เอามาใช้ในการครองจิตครองใจหรือครองตนเวลามีความโศก ความเศร้า ความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว แล้วสุดท้ายเขาก็สามารถที่จะดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องไปหาหมอหรือพึ่งพาหมอ
ผู้ชายคนนี้เขาเยียวยารักษาจิตใจตัวเองได้ เป็นเพราะว่าเขาเห็นโทษของความหึงหวงที่เกิดขึ้น แล้วเขาก็รู้ตัวด้วยว่าเขามีความหึงหวงที่รุนแรง ตรงนี้มันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา พอเห็นโทษแล้วก็มีความตั้งใจอยากจะแก้ หรืออยากจะจัดการกับอารมณ์เหล่านี้
หลายคนมีปัญหาที่เกิดจากอารมณ์ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นความหึงหวง อาจจะเป็นความโกรธ แต่ว่าก็ยังปล่อยให้ความโกรธมาเผาลนใจจนนอนไม่หลับ จนความดันขึ้น เวลาทุกข์ก็เป็นทุกข์แต่ว่าไม่ได้คิดเลยว่าความโกรธมันเป็นปัญหา บางคนเวลานึกถึงใครบางคนก็จะโกรธแค้น มีความพยาบาท พอนึกถึงแล้วก็จะเกิดอาการรุ่มร้อนในจิตใจ แต่เขาก็ยังปล่อยให้มันเผาลนจิตใจไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเขาไม่เห็นโทษของมัน
พอไม่เห็นโทษ ก็ไม่คิดที่จะจัดการ หรือคิดที่จะแก้ไข วิธีแก้ไขหรือวิธีบรรเทาความโกรธนั้นมันมีอยู่ แต่ก็ต้องเริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะจัดการหรือบรรเทาอารมณ์นี้ ถ้าไม่มีความคิดที่จะจัดการกับอารมณ์นี้ ก็จะปล่อยให้มันครองจิต แล้วก็เผาลนจิตใจต่อไป อาจจะเรียกว่าจนตายไปเลยก็ได้
ฉะนั้นเวลาเจอคนที่เขามีความโกรธรุนแรง บางทีคนใกล้เคียงคนใกล้ตัวก็พามาหาพระ พาไปหาหมอ ให้ช่วยแก้หน่อย แต่แนะนำไปอย่างไรมันก็ไม่ได้ผล เพราะว่าเจ้าตัวไม่คิดที่จะแก้ปัญหานี้ จะแนะนำว่า ให้อภัยไปเถอะ หรือว่าให้แผ่เมตตา
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเจริญสติ หรือว่าการมีสติเห็นอารมณ์ แค่แนะนำให้แผ่เมตตา หรือแนะนำให้อภัยก็ไม่ยอมแล้ว ไม่รู้จะทำไปทำไม จะว่าไปก็เป็นเพราะตกอยู่ในอำนาจของความโกรธ พอตกอยู่ในอำนาจของความโกรธ มันก็กลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ความโกรธ
คนจำนวนมากเป็นอย่างนั้น แม้ว่าจะบอกว่ารักตัวเอง ๆ แต่กลับหวงแหนทะนุถนอมความโกรธ พอจะมีใครแนะนำว่า ให้อภัยเขาไปเถอะ แผ่เมตตาให้เขาไปเถอะ ก็เถียง ก็แย้ง ก็ค้าน ไม่ยอมทำ อันนี้เพราะว่าไม่คิดที่จะจัดการกับอารมณ์นี้
ซึ่งต่างจากผู้ชายคนแรกที่พูดถึง ความโกรธที่เกิดจากความหึงหวงอย่างรุนแรงมันเผาลนจิตใจเขา แล้วมันก็ทำท่าจะทำลายชีวิตคู่ของเขา เขาเลยเกิดความกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหานี้ พร้อมจะเปิดใจรับฟังวิธีการที่จะแก้ปัญหา
พอหมอแนะนำ เขาก็ลองทำตามดู แม้ว่ามันจะยาก แม้ว่ามันจะสวนทางกับความเคยชินเดิม ๆ เพียงแค่จะให้มาดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นเวลามันครองจิตครองใจ ก็ไม่ใช่ง่ายแล้ว เพราะเวลาพอโกรธมันก็จะส่งจิตออกนอก ไปเล่นงาน ต่อว่าภรรยาบ้างล่ะ หรือว่าหาทางป้องกันไม่ให้ภรรยาไปเกี่ยวข้องกับผู้ชาย หรือว่าไปอยู่ในที่ที่มีผู้ชาย
คิดแต่จะหาทางจัดการกับสิ่งที่อยู่นอกตัว
เพียงแค่ที่จะกลับมาดูอารมณ์ของตัวมันก็ไม่ยอม แต่ที่เขาไม่ยอมนี้เพราะว่ามันสวนทางกับนิสัยความเคยชิน ไม่ใช่ไม่ยอมเพราะว่าเห็นว่ามันดีแล้ว
ซึ่งต่างจากคนที่สอง คนที่สองโกรธ แต่ว่าไม่เห็นโทษของความโกรธ หรือไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข เพราะฉะนั้นแนะนำอะไรไปก็ใจไม่เปิดหรือว่าไม่ทำตาม แต่จะว่าไปก็ยังดีที่อย่างน้อยยังรู้ว่าตัวเองโกรธ บางคนนี่ไม่รู้เลย หรือไม่ยอมรับเลยว่าตัวเองโกรธ
มีผู้ชายคนหนึ่งแกบอก ผมนี่ไม่มีความโกรธเลย คนธรรมดาที่พูดแบบนี้มันก็พอเข้าใจได้ แต่คน ๆ นี้ติดคุก ติดคุกเพราะทำร้ายภรรยา ขนาดทำร้ายภรรยาเกือบตายก็ยังบอกว่าผมไม่โกรธ หรือผมไม่มีความโกรธเลย
อันนี้อาจจะเรียกว่าเป็นเพราะความหลง หลงอย่างรุนแรง คือไม่รู้ตัว หรือเพราะว่ามีอัตตารุนแรง ยอมรับไม่ได้ว่า ฉันมีความโกรธ เพราะว่ามันจะทำให้เสียภาพลักษณ์ อัตตานี้ก็พยายามที่จะครองจิตครองใจเรา และเพื่อที่จะยืนยันว่า ฉันดี ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันเป็นคนที่ไม่โกรธ ฉันเป็นคนที่ไม่โลภ ก็เพราะว่าไม่ยอมรับว่าตัวเองโกรธ จึงปล่อยให้ความโกรธครอบงำ
เพราะอุบายที่สำคัญของกิเลสก็คือ หลอกเราว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ในจิตใจเรา พอเราไม่คิดว่าเรามีความโกรธ เราก็ไม่ระมัดระวังมัน เหมือนกับถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่มีความโลภ ไม่มีราคะ เราก็ไม่ระมัดระวังมัน พอไม่ระมัดระวังมันก็เปิดโอกาสให้มันครองจิตครองใจหรือบงการจิตใจเรา
ก็เพราะว่าไม่ยอมรับว่าตัวเองโกรธ ก็เลยปล่อยให้ความโกรธครองใจจนกระทั่งทำร้ายภรรยาจนเกือบตาย และยังโดนศาลพิพากษาตัดสินให้จำคุก ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองมีความโกรธ ทั้งที่ก็เป็นปุถุชน ปุถุชนธรรมดาก็มีความโกรธอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่คนธรรมดา นี่เป็นผู้ต้องขังเพราะว่าทำร้ายภรรยา แต่ก็ยังไม่ยอมรับ แล้วคนแบบนี้ก็ยากที่จะเปิดใจยอมรับการเยียวยา หรือการฝึกตนเพื่อบรรเทาความโกรธไปจากใจ
ฉะนั้นคนเราเวลามีความทุกข์เพราะกิเลสตัวใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความเครียด ความวิตกกังวล ความหึงหวง เราจะหลุดจากอารมณ์เหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในใจเรา อาจจะไม่ใช่ว่าฝังตัวอยู่ในใจ แต่ว่าก็อาศัยใจเป็นที่เกิดอยู่บ่อย ๆ เจออะไรกระทบ ไม่ถูกใจ ก็เกิดอารมณ์นั้นขึ้นมาทันที แล้วยอมรับว่าตัวเองมีปัญหานี้ แล้วก็เห็นโทษด้วย เห็นโทษของมัน เห็นโทษแล้วก็อยากจะแก้ไข
ถ้าไม่ยอมรับว่าตัวเองมีกิเลส มีความโกรธ มีความโลภ มีความหลง แล้วก็ไม่เห็นโทษของมัน การคิดที่จะแก้ไขตัวเอง มันก็เป็นไปได้ยากมาก
แต่พอพูดถึงการแก้ไข หลายคนก็นึกถึงการกำจัดหรือจัดการกับอารมณ์เหล่านั้น จริง ๆ แล้วเพียงแค่มีสติตามรู้ หรือรู้ทันเวลามันเกิดขึ้น มันก็ช่วยได้เยอะแล้ว เพราะว่ากิเลสพวกนี้มีจุดอ่อนอย่างหนึ่งก็คือ มันทนการถูกรู้ ถูกเห็นไม่ได้ ถ้ารู้ทันมันเมื่อไหร่มันก็จะอ่อนแรงไปเลย
ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวเกี่ยวกับมารที่ไปรบกวนรังควานผู้ใฝ่ธรรม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังโดนมารรังควาน จวบจนกระทั่งท่านตรัสรู้แล้ว ก็ยังมีมารมารบกวน บางทีมาเยาะเย้ยถากถาง เช่น เวลาพระพุทธเจ้าพักผ่อน มารก็มาหาว่าพระพุทธเจ้าหลับเป็นตาย เพลินในการหลับ
หรือบางทีตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังมาล่อหลอก ชักชวนให้เลิกปฏิบัติ บอกว่าท่านก็สะสมบุญมาเยอะแล้ว ไม่ต้องทำความเพียรหรอก บุญเท่าที่สะสมอยู่ก็พอแล้ว
หรือบางทีก็ไปล่อหลอกภิกษุณีบางท่านว่า จะปฏิบัติภาวนาไปทำไม ไปหาความสุขทางโลกดีกว่า พอแก่แล้วก็ค่อยมาภาวนา เรียกว่าได้ทั้งประโยชน์สองต่อ ประโยชน์ทางโลกก็ได้ ประโยชน์ทางธรรมก็ได้ ประโยชน์ของโลกทั้งสองนี้ก็ได้ ทำไมต้องไปทิ้งประโยชน์ทางโลกเพื่อหาประโยชน์ทางธรรม ทำไมไม่หาประโยชน์ทั้งสองอย่าง
บางทีก็มาก่อกวนพระที่ภาวนาอยู่ ให้เกิดความกลัว เช่น แปลงตัวเป็นช้าง หรือว่าทำให้เกิดแผ่นดินไหว อย่างพระสมิทธิกำลังภาวนาอยู่ เกิดแผ่นดินไหว ตกใจ กลับไปเชตวัน พระพุทธเจ้าถามว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น พระสมิทธิก็อธิบาย พระพุทธเจ้าก็บอกว่า นี่เป็นฝีมือของมาร เพราะฉะนั้นเวลาถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ก็บอกไปเลยว่า มาร เรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน
พระสมิทธิเชื่อ แล้วกลับไปภาวนาในป่า มารก็มาก่อกวนอีก เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา คราวนี้พระสมิทธิตั้งสติได้ ก็บอกเลยว่า มาร เรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน พอมารถูกรู้ทัน ยอมแพ้เลย ล่าถอยกลับไปพร้อมกับรำพึงว่า พระสมิทธิรู้จักเราแล้ว ๆ นี่คือแค่ถูกทักว่ารู้จักเท่านั้น หรือรู้เท่านั้นก็ยอม
เหมือนกับที่เคยไปก่อกวนพระโมคคัลลานะ ปั่นป่วนในท้องของท่าน พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์แต่ว่าใช้ฤทธิ์อย่างไรก็จัดการกับความปั่นป่วนไม่ได้ จนกระทั่งท่านรู้ว่า มีมารมาก่อกวน คราวนี้ไม่ต้องใช้ฤทธิ์แล้ว ก็บอกกับมารว่า มาร เรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน มารเจอไม้นี้ยอมแพ้เลย เลิกปั่นป่วน ก่อกวนพระโมคคัลลานะ ท่านไม่ได้ใช้ฤทธิ์อะไร ท่านใช้การทัก
กิเลสก็เหมือนกัน มันกลัวเรารู้ทัน ไม่ต้องมีฤทธิ์มีเดชอะไรมาก เพียงแค่มีสติรู้ทัน มันก็ยอมแพ้ แค่รู้ทันว่ามีอาการอะไรเกิดขึ้นกับกาย มีอะไรเกิดขึ้นกับใจ บางทีเราก็สอนเด็กได้
มีเด็กคนหนึ่งเวลาพ่อพาลงโป๊ะเพื่อที่จะขึ้นเรือข้ามฟาก เด็กจะกลัวมาก พอเท้าเหยียบโป๊ะเด็กก็กลัว กลัวจนตัวสั่นเลย กลัวมาก ไม่ยอมลงเรือ พ่อก็บอกว่าไม่ต้องกลัว พ่ออุตส่าห์อุ้มลูก ลูกอายุ 5-6 ขวบได้ อุ้มลูกลงโป๊ะเพื่อที่จะลงเรือ ลูกก็ยังเกร็งตัวสั่น รบเร้าพ่อให้กลับขึ้นฝั่ง มีอาการรุนแรงมาก
ตอนหลังพ่อได้ฟังคำแนะนำจากเพื่อน ก็เลยลองเอามาทำกับลูกดู อุ้มลูกลงโป๊ะ พอลูกลงโป๊ะทั้งที่เท้าไม่ได้เหยียบโป๊ะเลยเพราะพ่ออุ้มอยู่ พอลูกตกใจ กลัว ร้องให้พ่อรีบเอาขึ้นฝั่งเลย แต่ก่อนพ่อบอกว่าอย่ากลัว ๆ คราวนี้ไม่บอกอย่างนั้นแล้ว
พ่อบอกลูกว่าตอนนี้ลูกเป็นอย่างไร หัวใจลูกเป็นอย่างไร ลมหายใจลูกเป็นอย่างไร แล้วก็ถามลูก ดูสิมันเป็นอย่างไร
เด็กก็มาสังเกตหัวใจว่ามันเต้นอย่างไร แล้วก็รายงานว่า”เต้นแรง” แล้วลมหายใจล่ะเป็นอย่างไร “หายใจมันถี่ มันสั้น มันตื้น” ใจเป็นอย่างไร “ใจมันกลัว” ดูความกลัวสิ
เด็กเขาก็ดูเป็น ปรากฏว่าสักพักเด็กที่เคยตัวเกร็ง ก็ผ่อนคลายเลย ก่อนหน้านี้กอดพ่อแน่นเลยด้วยความกลัว ตอนนี้คลายมือ มิหนำซ้ำลงจากตัวพ่อเลย ให้พ่อปล่อย เด็กลงมาเดินอยู่บนโป๊ะเลย หายกลัวแล้ว
พ่อไม่ได้บอกให้ลูกอย่ากลัว ไม่ได้แนะนำให้ลูกต่อสู้กับความกลัว ก็แค่ดูอาการของกายและใจขณะที่เกิดความกลัว ความกลัวก็ค่อย ๆ หายไปเลย แล้วเดี๋ยวเด็กก็เลิกกลัวโป๊ะอีกต่อไป เพราะว่าใช้สติ
ฉะนั้นการจัดการกับอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความหึงหวง ความกลัว ความโกรธ ความเครียด ความเศร้าโศก ไม่ใช่ไปขับไล่ไสส่งมัน ไม่ใช่ไปโรมรันพันตูกับมัน ก็เพียงแต่ว่ามีสติเห็นมัน ถ้าเห็นมันตั้งแต่ตอนมันเริ่มโผล่มา หรือเห็นมันตอนที่มันครองจิตครองใจ ส่งผลต่อร่างกาย หรือว่าทำให้จิตใจรู้สึกรุ่มร้อน หรือว่ารู้สึกถูกบีบเค้น หรือเกิดความหนักอกหนักใจขึ้นมา เกิดความคับแค้นขึ้นมา แค่ดูมันเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ในที่สุดอารมณ์นั้นก็ล่าถอยไป ตอนที่มันถอยเองก็ให้สังเกต
ชายคนที่หึงหวง ตอนหลังเขาพบว่า มันไม่ได้เห็นใจเฉพาะตอนที่เกิดความหึงหวงเกิดความโกรธ เวลาใจโปร่งใจโล่งก็เห็น รับรู้ได้โดยที่ไม่รู้ตัวเขาก็พบ เขาก็ได้สร้างความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นในจิตใจ และพบว่าใจไม่ได้ถูกครอบงำด้วยความหึงหวงอย่างเดียว ช่วงเวลาที่มีความโปร่งเบาเป็นอิสระก็มี เพราะความรู้สึกตัว ก็เริ่มเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เพราะฉะนั้นอารมณ์หึงหวง มันก็เลยไม่สามารถจะครอบงำจิตใจเขาได้ ยังมีอยู่แต่ทำอะไรใจเขาไม่ได้ ตอนหลังก็ค่อยๆคลี่คลายไป กลายเป็นว่าเขาสามารถที่จะครองจิตครองใจได้ด้วยความรู้สึกตัว ไม่ต้องถูกปัญหานี้รุมเร้าซึ่งทำให้ความสัมพันธ์กับภรรยามันร้าวฉาน
ฉะนั้นการมีสติรู้ทันอารมณ์ต่าง ๆ มีอานุภาพมาก ข้อสำคัญคือ มันต้องมีการปฏิบัติ และจะปฏิบัติได้ก็เพราะเห็นว่ามันจะช่วยแก้ปัญหา จะทำอย่างนี้ได้ก็ต้องเห็นว่าความโกรธ ความทุกข์ ความเครียด พวกนี้เป็นปัญหาก่อน เห็นโทษของมันแล้วคิดจะแก้ ถ้าไม่เห็นโทษของมัน ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา หรือไม่รู้ว่ามันมีด้วยซ้ำ อันนี้ก็เท่ากับตกเป็นทาสของมัน จนกระทั่งกว่าจะรู้ตัวก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้.