พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 26 มกราคม 2568
เมื่อ 90 ปีที่แล้วที่ประเทศเกาหลีมีเด็กชายคนหนึ่ง เรียกว่าเป็นเด็กมหัศจรรย์มากเพราะว่าฉลาด เป็นเด็กอัจฉริยะมาตั้งแต่ยังเล็กเลย ไอคิวตอนที่อายุไม่กี่ขวบวัดได้ 210 ถือว่าเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในโลก
อายุหนึ่งขวบก็เริ่มรู้จักตัวอักษรจีนกับเกาหลีแล้ว อักษรจีนนี่ไม่ใช่ A B C นะ มันเป็นอักษรภาพ แต่ละตัวนี่ต้องจำ เด็กคนนี้อายุไม่ถึงหนึ่งขวบก็รู้จักอักษรหลายตัว เป็นหลายร้อยตัวเลยทีเดียว พอ 3 ขวบก็สามารถแก้โจทย์แคลคูลัสได้
แคลคูลัสเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากมาก อาตมายังเรียนไปไม่ถึงเลยนะ ถึงแม้เรียนจบมหาวิทยาลัยแต่ไม่เคยเรียนแคลคูลัส แต่ว่าเด็กคนนี้คิมอุนยอง 3 ขวบก็แก้โจทย์แคลคูลัสได้ พออายุ 4 ขวบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว อายุ 5 ขวบก็สามารถจะรู้ภาษาตั้ง 5 ภาษา รวมทั้งอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส จีน เกาหลีไม่ต้องพูดถึง
ก็เป็นข่าวกระฉ่อน ไม่ใช่ทั่วประเทศเกาหลี แต่ว่าทั่วโลกก็ว่าได้ เพราะว่าตอนอายุยังไม่กี่ขวบ เด็กคนนี้ก็ถูกเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ให้แก้โจทย์คณิตศาสตร์ซึ่งยากมาก เฉพาะตัวโจทก์นี้ก็หลายบรรทัด เด็กคนนี้ก็แก้โจทย์ได้อย่างไม่ยากอะไร
คนญี่ปุ่นก็ตกตะลึงมากว่า ฉลาดจริงๆ เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยจบปริญญาเอกก็ยังแก่โจทย์ไม่ได้ พออายุ 7 ขวบทางนาซ่าก็เลยเชิญไปทำงาน ทำงานที่นาซ่าตั้งแต่ 7 ขวบ แสดงว่าเก่งมาก ตอนหลังก็ไปเรียนนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยในอเมริกา
อายุ 15 ก็จบปริญญาเอก ระหว่างนั้นก็ยังทำงานให้กับนาซ่า ทำมาหลายปี ก็เรียกว่าถูกจับตามองว่า จะได้รางวัลโนเบลหรือเปล่า เพราะว่าเด็กอัจฉริยะแบบนี้ สามารถที่จะค้นพบหรือว่าเข้าถึงทฤษฎีที่ยากได้
แต่ปรากฏว่าคิมอุนยอง ทำงานนาซ่ามาได้หลายปี ตอนหลังก็ตัดสินใจลาออกจากนาซ่า กลับไปบ้านเกิดที่เกาหลี แล้วก็ใช้ชีวิตแบบสามัญชน ไม่ปรากฏตัวเด่นดังเหมือนเมื่อก่อน
ตอนหลังก็ไปเรียนวิศวกรรมโยธา ก็ไม่ได้ยากอะไรเลยสำหรับคิมอุนยอง จบปริญญาเอกวิศวกรรมโยธาก็ไปเป็นอาจารย์ สอนหนังสือเงียบๆ สร้างความผิดหวังให้กับคนเกาหลีมาก เพราะว่าไม่เคยมีเลยที่เด็กเกาหลีอัจฉริยะขนาดนี้ แล้วก็สามารถจะประสบความสำเร็จในวิชาชีพ ในวิชาการได้ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ
แต่กลับทิ้งโอกาสนี้มาเป็นคนธรรมดา สอนหนังสือ อายุ 50ได้เป็นรองศาสตราจารย์ หลายคนอายุ 40 ก็ได้เป็นศาสตราจารย์แล้ว ทั้งที่ก็ไม่เป็นคนอัจฉริยะอะไร แต่นี่คิมอุนยองเป็นเด็กอัจฉริยะ โตแล้วก็ยังฉลาดหลักแหลม และเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
และเขาก็ไม่ไต่เต้าด้วย อายุ 52 เพิ่งได้เป็นรองศาสตราจารย์ แสดงว่าตำแหน่งวิชาการนี้เขาก็ไม่ค่อยได้ขวนขวายเท่าไหร่ คนก็ดูถูกเขา บางคนบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่ล้มเหลวที่สุดในโลก เป็นคำกล่าวหา ดูถูกที่รุนแรง เป็นเด็กอัจฉริยะที่ลงเอยด้วยการเป็นคนที่ล้มเหลวที่สุดในโลก
แต่ว่าคิมอุนยองก็ไม่หวั่นไหวเลยเพราะว่ามันเป็นความสมัครใจของเขาที่มาเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเล็กๆ แล้วก็ไม่ได้สร้างผลงานที่โดดเด่นอะไร ทั้งๆ ที่มีศักยภาพจะทำได้
เขาบอกว่า ผมมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ ๆแล้ว ทำไมถึงไปตัดสินความสุขของผมว่าเป็นความล้มเหลว แล้วเขาก็บอกว่า คนเราไม่ควรจะตัดสินคนด้วยมาตรฐานเดียว มาตรฐานอะไร ก็คือชื่อเสียง หรือไม่ก็เงินทอง อย่างต่ำๆ เป็นอาจารย์ก็ต้องได้เป็นศาสตราจารย์แล้ว บางคนเป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุ 40 บางคน 30 กว่าก็ได้เป็นศาสตราจารย์แล้ว ส่วนเขาไม่รู้ว่าจะได้เป็นศาสตราจารย์หรือเปล่าเมื่ออายุ 60
คนก็ดูถูก แต่ว่าคิมอุนยองบอกว่า เขาก็มีความสุขอยู่แล้ว ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียง ไม่ได้อยู่ที่รางวัลโนเบล ไม่อยู่ที่คำยกย่องสรรเสริญ แต่มีความสุขในสิ่งที่ทำ แล้วก็มีความพึงพอใจในชีวิต
เขาบอกว่าตอนที่เขาทำงานที่นาซ่าทั้งที่เป็นดาวรุ่ง แต่ว่าเขาไม่มีความสุขเลย เพราะว่าชีวิตมันถูกกดดันด้วยความคาดหวังของผู้คนมากมาย คาดหวังว่าอัจฉริยะอย่างเขานี้ต้องค้นพบทฤษฎีที่แหวกแนวล้ำยุค หรือว่าประสบความสำเร็จจนได้รางวัลโนเบล อาจจะเป็นคนแรกของเกาหลีก็ได้
เขาบอกชีวิตเขาไม่มีเพื่อนเลย เหงามาก ไม่มีใครกล้าจะมาเป็นเพื่อน กลัวว่าจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง หรือว่าเกรงกลัวบารมีของเขาว่าเป็นเด็กฉลาด แต่ตอนนั้นเขาก็คงจะไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะว่าเด็กที่ถูกคนคาดหวัง มักจะไม่ค่อยมีความสุข คนก็เลยไม่ค่อยอยากจะเข้าหาเท่าไหร่
หรือว่ากลัวว่าจะคุยไม่รู้เรื่อง เพราะว่าไม่มีความรู้มากพอที่จะสนทนากับเด็กคนนี้ จะคุยเรื่องดนตรี จะคุยเรื่องศิลปะก็ไม่รู้จะคุยได้หรือเปล่า เพราะว่าที่คิมอุนยองนี้อาจจะไม่สนใจเลยก็ได้
แต่เขาบอกว่าพอกลับมาเกาหลี ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ เป็นอาจารย์ธรรมดาๆ ก็มีความสุข แล้วเขาก็พอใจที่จะเลือกใช้ชีวิตแบบนี้
อันนี้มันก็สะท้อนว่า คนจำนวนไม่น้อยให้คุณค่ากับความสำเร็จ ให้คุณค่ากับชื่อเสียงเกียรติยศ มากกว่าความสุข ทำงานใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีผลงานที่โดดเด่นคนก็ดูถูก แต่ที่จริงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จในวิชาชีพแต่ไม่มีความสุข
มีคนที่ประสบความสำเร็จมากมายที่ต้องกินยาระงับประสาท กินยานอนหลับ แล้วบางคนก็เป็นโรคประสาท ที่ฆ่าตัวตายก็มีนะ อย่างโรบิน วิลเลียมส์ เขาดังมาก รวยด้วย สุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย
อีกคนหนึ่งเรียกว่าไต่เต้าจนกระทั่งประสบความสำเร็จในชีวิต เคยเป็นเชฟ ตอนหลังก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับเชฟ ขายดิบขายดี เป็นนักเขียนชื่อดัง ตอนหลังก็มาทำรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับอาหารก็ดังมาก จนกระทั่งโอบามาก็อยากจะมาให้เขาสัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ตอนที่เขาไปเยือนเวียดนาม
เรียกว่าเขาได้ทำความสำเร็จ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งชื่อเสียง แต่ไม่มีความสุข ไม่มีความสุขเพราะว่าชีวิตนี้ไม่รู้จะไขว่คว้าใฝ่ฝันอะไรอีกแล้ว เพราะว่าสิ่งที่ใฝ่ฝันก็สำเร็จแล้ว รู้สึกว่างเปล่า เคว้งคว้าง แล้วก็อาจจะมีความเครียดด้วย จากการดิ้นรนหาความสำเร็จ เลยเป็นโรคซึมเศร้า สุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย
คิมอุนยองถ้าเขาใช้ชีวิตตามความคาดหวังของสังคม ก็ไม่แน่นะอาจจะตายเร็วก็ได้ เพราะว่าถูกกดดัน ถูกคาดหวังมาก เเล้วก็ไม่มีความสุข แต่เขาฉลาด เลือกที่จะใช้ชีวิตในสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ เลือกชีวิตที่ใช่ แม้ว่าจะทวนกระแสสังคม
คนที่เป็นพ่อแม่เวลามีลูกที่ฉลาดๆ น่าจะเอาเรื่องราวของคิมอุนยองไปพิจารณานะว่า เราอยากจะให้ลูกของเราประสบความสำเร็จเด่นดัง แต่ไม่มีความสุข หรือเป็นเด็กที่มีความสุขแต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ จริงๆ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นรองศาสตราจารย์ก็ถือว่าไม่ได้ขี้เหร่อะไรนะ
แต่ว่าพ่อแม่หลายคนไม่พอใจ อยากจะให้ลูกเป็นมากกว่านี้ เพราะตัวเองเป็นไม่ได้ ลูกก็เลยไม่มีความสุข สุดท้ายลูกก็เครียด กลายเป็นโรคซึมเศร้า มีเยอะเพราะไปหลงตามค่านิยมของสังคม ไม่เข้าใจว่าคุณค่า และความหมายของชีวิตที่แท้คืออะไร.