พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568
วันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา พวกเราทุกคนก็ทราบดี เป็นวันมาฆบูชา ถือว่าเป็นวันพิเศษสำหรับชาวพุทธ ไม่ใช่แค่ทั้งประเทศแต่ก็ทั่วโลกเลยทีเดียว พอเป็นวันพิเศษแล้วก็ควรจะทำอะไรที่พิเศษที่ดี อย่างน้อยเพื่อตัวเองหรือสำหรับตัวเอง
เหมือนกับวันปีใหม่ เป็นวันพิเศษ เราก็ไปเที่ยว กินเลี้ยง แต่พอถึงวันมาฆบูชา หรือวันสำคัญทางพุทธศาสนาสิ่งพิเศษที่เราควรทำก็คือ การให้ทาน ถ้าไม่สะดวกที่จะมาทำบุญให้ทานที่วัด ก็ให้ทานหรือสงเคราะห์คนที่เขาเดือดร้อน คนยากคนจน หาอาหารให้เขาหรือว่าแจกหยูกแจกยา ช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อนจรจัด เป็นต้น
สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ควรทำก็คือ การรักษาศีล ถ้าหากว่าศีล 5 รักษาไม่ครบในช่วงวันอื่นๆ อย่างน้อยวันนี้ก็พยายามรักษาให้ครบ ถ้าจะให้ดีก็งดเว้นอบายมุขด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหล้า การพนัน การเล่นเกม ลองงดสักวัน ถ้าเกิดว่าติดหรือว่าทำทุกวัน งดอย่างน้อยหนึ่งวัน ก็ถือว่าเป็นการให้รางวัลกับตัวเอง เพราะว่าช่วยลดทุกข์ ลดความเดือดเนื้อร้อนใจ ยิ่งถ้าทำได้ทุกวันยิ่งดี
ประการต่อมาคือภาวนา อย่างน้อยก็ฟังธรรม น้อมใจให้ระลึกถึงพระธรรมคำสอน หรือจะให้ดีก็พาตัวมาเข้าวัด จะได้มาฟังธรรม ได้ใกล้พระธรรม ที่จริงวันสำคัญอย่างวันมาฆบูชาตามธรรมเนียม เราก็มักจะมาวัดกันอยู่แล้ว อย่างน้อยก็มาเวียนเทียน
การเวียนเทียนก็เป็นโอกาสที่จะทำให้เราเกิดความเบิกบานในธรรม เพราะว่าได้มาใกล้พระ มาใกล้ธรรม ฟังธรรม แล้วก็ได้มีโอกาสมาระลึกถึงพระรัตนตรัยด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเวียนเทียน 3 รอบถ้าใจน้อมนึกถึงพระรัตนตรัยก็จะเกิดบุญกุศลกับตัวเอง
และถ้าจะให้ดีนอกจากระลึกถึงพระรัตนตรัยแล้ว ก็นึกถึงต้นไม้ด้วย โดยการเวียนเทียนพร้อมกับกล้าไม้ เพราะอะไร เพราะว่าต้นไม้เป็นตัวแทนของถิ่นรมณีย์ คำนี้หลายคนไม่คุ้น ไม่เข้าใจ แปลว่าอะไร ซึ่งมีความหมายสำคัญในพุทธศาสนา
ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณได้ก็เพราะว่าได้ทรงบำเพ็ญเพียรในถิ่นรมณีย์ ซึ่งพระองค์เลือกแล้วตรงริมแม่น้ำเนรัญชรา เป็นเพราะถิ่นรมณีย์นี้ทำให้พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่ง
แล้วก็ทำให้พระอรหันต์จำนวนไม่น้อยได้บรรลุอรหัตตผลด้วย คำว่าถิ่นรมณีย์หมายถึงถิ่นที่สงบสงัด น้ำอุดม ร่มรื่นด้วยพฤกษา นี่คือลักษณะสำคัญของถิ่นรมณีย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเน้นย้ำ และถิ่นรมณีย์นั้นสิ่งที่เป็นตัวแทนโดดเด่นคือต้นไม้ หรือธรรมชาติ
มีต้นไม้ มีป่าที่ใด ถิ่นรมณีย์ก็บังเกิดขึ้นที่นั่น และเมื่อได้บำเพ็ญเพียรก็จะเกิดรมณีย์ในใจ คือจิตใจที่เป็นอิสระจากความทุกข์ เกิดความร่มเย็น
ฉะนั้นเมื่อเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงถิ่นรมณีย์ ซึ่งเกื้อกูลให้เกิดพระพุทธเจ้า และทำให้พระพุทธศาสนายั่งยืนมาจนถึงเราทุกวันนี้ และเมื่อเราระลึกถึงถิ่นรมณีย์ก็ให้นึกต้นไม้ นำต้นไม้มาร่วมเวียนเทียน เพื่อตอกย้ำสำนึกของเราในเรื่องนี้
จริงๆ ต้นไม้ไม่ใช่เป็นตัวแทนของถิ่นรมณีย์เท่านั้น ยังเป็นตัวแทนของสิ่งที่เยียวยาโลก เพราะว่าตอนนี้โลกกำลังย่ำแย่ เราทำลายธรรมชาติ ทำลายป่า แต่ถ้าเราฟื้นฟูป่า รักษาธรรมชาติเอาไว้ ก็จะช่วยเยียวยาให้โลกเนี่ยพ้นจากวิกฤติ ไม่ว่าจะปัญหาโลกร้อน น้ำท่วม ฝนแล้ง ภัยธรรมชาติต่างๆ ล้วนเยียวยาได้ก็ด้วยการปลูกต้นไม้เยอะๆ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากๆ
ต้นไม้ไม่ใช่แค่เยียวยาโลกเท่านั้น ยังเยียวยาใจ ใครที่ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว พอได้มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ได้มาอยู่ท่ามกลางถิ่นรมณีย์เนี่ยจิตใจก็จะสดชื่น เบิกบานแจ่มใส แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องวางอย่างอื่นก่อน รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ ปิดโทรศัพท์เพื่อที่ใจเราจะได้เปิดรับสัมผัสความสงบร่มรื่นจากธรรมชาติ แล้วสิ่งเหล่านี้จะมาเยียวยาใจเราให้เบิกบาน
แล้วไม่ใช่แค่เยียวยาโลก เยียวยาใจ ต้นไม้ยังเยียวยากายด้วย เพราะว่าช่วยป้องกันมลภาวะ บรรเทาสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายของเราโดยเฉพาะตอนนี้ฝุ่น PM 2.5 กำลังเป็นมหันตภัยที่น่ากลัวมาก ต้นไม้ช่วยบรรเทาได้
ใบของต้นไม้ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 แล้วก็ยังช่วยดูดซับก๊าซที่เป็นพิษที่มันอบอวลอยู่รอบตัวเรา ช่วยทำให้เราหายใจได้สะดวกขึ้น ทำให้ปอดเราเป็นปกติ ไม่ต้องเจ็บป่วยเพราะมะเร็งปอดตอนนี้กำลังลุกลามมากขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่ก็เป็นมะเร็งปอดกันมากขึ้น เพราะ PM 2.5
ต้นไม้มีคุณมาก จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ระลึกถึงบุญคุณต้นไม้ในวันนี้ ทั้งในฐาที่เป็นตัวแทนถิ่นรมณีย์ เป็นสิ่งที่เยียวยาโลก เยียวยาใจ เยียวยากาย แล้วตอนนี้ฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่ระวัง การเวียนเทียนของเรานี่ก็อาจจะทำให้ฝุ่น PM 2.5 เพิ่มมากขึ้นก็ได้ เพราะว่าเราชาวพุทธนิยมจุดธูปเทียนเวียนเทียนกัน
คนใน กทม. ถ้าหากว่าจำนวนแค่แสนคนพร้อมใจกันจุดธูปเทียนเทียนในวันมาฆบูชา ฝุ่นก็คงเยอะมากขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อ 2-3 วันก่อน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอร้องว่า เวียนเทียนอย่าจุดธูปเทียน ปกติเรามักจะจุดธูปเทียนกัน แต่หากเรางดจุดธูปเทียน ควันพิษมันก็จะน้อยลง และยิ่งถ้าเราเวียนเทียนด้วยกล้าไม้ด้วยเนี่ย มันก็ช่วยเป็นการตอกย้ำสำนึกให้เราเห็นคุณค่าของต้นไม้ อย่างน้อยก็ช่วยลดพีเอ็ม 2.5 ได้
ธรรมดาเราจะเวียนเทียนด้วยเทียน แล้วก็ธูป แต่ว่าถ้าไม่จุดก็ดี ไม่จุดแล้วก็เอาธูปเอาเทียนกลับบ้านไปด้วย อย่าทิ้งไว้ที่วัดเพราะมันจะกลายเป็นขยะ เดี๋ยวนี้วัดโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และวัดใหญ่ๆ เจอปัญหาขยะที่เป็นผลจากการเวียนเทียน นอกจากดอกไม้แล้วก็เจอธูปเทียนอีก
เพราะฉะนั้นแม้เราจะไม่จุดธูปเทียน ถ้าเราเอาธูปเทียนมาใช้ในการเวียนเทียนพร้อมกับกล้าไม้ เสร็จแล้วก็อย่าลืมเอากลับไปด้วย ทั้งกล้าไม้เอาไปปลูก ธูปเทียนก็เอาไปบูชาก็ได้ หรือถ้าหากว่าไม่อยากเป็นภาระก็มีแต่กล้าไม้นำมาใช้ในการเวียนเทียน ธูปเทียนไม่ต้องก็ได้ เพราะถือว่าเราบูชาพระรัตนตรัยด้วยใจ ก็ด้วยสิ่งที่มีคุณค่า
เวียนเทียนด้วยกล้าไม้ตอนนี้มีในหลายวัดที่กรุงเทพฯ เขาสนับสนุนการทำบุญวิถีใหม่ คือเวียนเทียนด้วยกล้าไม้ ญาติโยมไปตัวเปล่าก็ได้ เพราะทางวัดเขาก็เตรียมกล้าไม้เอาไว้ให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นวัดสระเกศ วัดโพธิ์ วัดสามพระยา วัดสุทัศน์ วัดเบญจมบพิตร วัดประยูร วัดมหาธาตุ วัดสุทธิ วัดอรุณ วัดพระราม 9 ทางวัดเอื้อเฟื้อญาติโยมที่ต้องการทำบุญวิถีใหม่ คือเวียนเทียนด้วยกล้าไม้ แล้วก็ยังมีวัดตามชานเมืองอีก วัดสวนแก้ว วัดญาณเวศกวัน พุทธมณฑล ก็ชักชวนเชิญชวนชาวบ้านชาวพุทธให้มาทำบุญวิถีใหม่แบบนี้
ในอีสานก็มีเยอะรวมทั้งวัดป่าสุคะโตที่นี่ด้วย ก็มีวัดในเครือ วัดภูเขาทอง วัดป่ามหาวัน ฉะนั้นญาติโยมที่เห็นคุณค่าความสำคัญของถิ่นรมณีย์ เห็นคุณค่าความสำคัญของต้นไม้ในฐาที่เป็นสิ่งเยียวยาโลก เยียวยาใจ เยียวยากาย
ขอเชิญชวนมาเวียนเทียนด้วยกล้าไม้กัน จะนำธูปเทียนมาด้วยก็ได้ แต่ว่านำมาแล้วถ้าไม่จุดก็ดี จะได้ไม่เพิ่มฝุ่น หรือ PM 2.5 เวียนเทียนเสร็จแล้วก็เอาธูปเทียนกลับบ้าน ไม่ต้องทิ้งมาเป็นภาระหรือขยะที่วัด อันนี้ก็จะเรียกว่าเป็นการทำบุญที่ไม่ก่อภาระกับสถานที่ แล้วก็ช่วยทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้
และถ้าหากว่าต้นไม้ที่เรานำมาเวียนเทียนแล้ว เอากลับไปปลูกดูแลให้สูงใหญ่ แล้วก็เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แผ่ขยายกว้างขวางขึ้น เป็นเรื่องสำคัญ เป็นภาระของไม่ใช่เฉพาะชาวพุทธ แต่ว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนเลยในโลกนี้ ที่จะต้องช่วยทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น หรืออย่างน้อยก็มีปัญหาที่เกิดเพราะโลกร้อน หรือว่าการตัดไม้ทำลายป่าให้มันลดน้อยถอยลงไป.