พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 5 มีนาคม 2568
มีหนุ่มชาวเกาหลีคนหนึ่ง เป็นโรคที่น้อยคนจะเป็น แต่ถ้าเป็นแล้วนี่ก็ลำบาก เพราะว่าไม่มียารักษา แล้วก็ทำให้การดำเนินชีวิตนี้ลำบากมาก นั่นคือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ร่างกายคนเรานี้ต้องใช้กล้ามเนื้อแทบทุกอย่างเลย ในการทำกิจกรรมต่างๆแทบทุกอย่างเลย รวมทั้งการหายใจ การเต้นของหัวใจด้วยหนุ่มคนนี้ จางอิกซอน นี้แกไม่สามารถที่จะเดินเหินไปไหนมาไหนได้เลย กล้ามเนื้อขาก็อ่อนแรง แขนก็ยกไม่ได้ การหายใจก็เริ่มมีปัญหา
สิ่งที่พอจะทำได้คือกระพริบตา แล้วก็พูด ยังเคี้ยวได้ แต่ว่าอยู่ในสภาพที่นอนตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ยังดีอยู่ นั่นคือ สมอง ยังสามารถใช้สมองในการคิด การอ่าน ในการพิจารณาต่างๆได้
แต่คนที่ป่วยด้วยโรคแบบนี้ทรมานมาก อาจจะแย่กว่าคนที่เสียขายเสียแขน หรืออาจจะแย่กว่าคนที่ตาบอดเสียอีก เพราะว่าอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็หายใจไม่ได้ หรือแม้แต่ยังได้ยังหายใจได้ ปอดยังดีอยู่ แต่ว่าไปไหนมาไหนไม่ได้เลย ยกแขนก็ไม่ได้ เดินเหินก็ไม่ได้ ยังดีหน่อยที่พูดได้ แล้วก็กระพริบตาได้
เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าว ซึ่งน่าทึ่งมากก็คือว่า จางอิกซอนสามารถจะเรียนจบปริญญาโทของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเกาหลีชื่อมหาวิทยาลัยกวางจู เขาจบหลังจากที่วิทยานิพนธ์ผ่านคณะกรรมการ
วิทยานิพนธ์ของเขามีนับเป็นร้อยหน้า เขาทำได้อย่างไรในเมื่อเขาเขียนหนังสือไม่ได้ แต่ในเมื่อเขาสามารถกระพริบตาได้ เขาก็ใช้การกระพริบตานี่แหละช่วยในการเขียนหนังสือ อาศัยเทคโนโลยีที่ใช้ขยับเขยื้อนเม้าส์ด้วยการกระพริบตา คอมพิวเตอร์นี้มีเมาส์ที่ปกติเราก็ใช้มือเขยื้อนขยับ แต่นี่เขาใช้ตากระพริบ เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ว่ากระพริบตาทำได้ กระพริบอักษรทีละตัว มีอักษรเลื่อนมาที่หน้าจอแล้วเขาก็กระพริบทีละตัว
ไม่ใช่ว่าง่ายเพราะว่าต้องรอให้ตัวอักษรนี้มันเลื่อนมา ถ้าเขาต้องการตัวอักษรตัวไหน เขาจึงจะกระพริบ มันก็จะพิมพ์อักษรตัวนั้นในจอ เขาทำอย่างนี้ในการประสมคำ แต่ละคำนี้ใช้เวลานาน วิทยานิพนธ์ที่เขาเขียนนับเป็นแสนคำเลย แล้วก็เขียนได้ดีด้วย จนกระทั่งสามารถจะผ่านการพิจารณาของอาจารย์ และก็ได้รับปริญญาโท
คนที่พิการขนาดนี้จำนวนไม่น้อย ต้องอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร นอนรอวันตาย ระหว่างที่ยังไม่ตายก็จ่อมจมอยู่ในความทุกข์ ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร เพราะว่าความทุกข์มันบีบคั้น โดยเฉพาะความทุกข์ใจ
แต่ว่าจางไม่เสียเวลากับความทุกข์ เขาไม่ได้อยู่เพื่อนอนรอวันตาย แต่ว่าเขาพยายามที่จะทำสิ่งที่มีประโยชน์ เขาเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ใฝ่การศึกษา สำหรับเขานี้มันไม่ใช่ง่ายเลย เพราะว่าเสียเปรียบคนอื่นเยอะเลย เขาบอกว่าเวลาอ่านหนังสือ ไม่สามารถจะจดโน้ตจดบันทึกได้ เพราะมือไม่มีแรงเขาก็ใช้วิธีการจำเอา อ่านแล้วก็จำ จำอยู่ในหัว
ไม่ง่ายเลยที่ว่าอ่านหนังสือแล้วก็จำทุกอย่างอยู่ในหัว แทนที่จะเขียนใส่กระดาษหรือสมุด และจะว่าไปแล้วหนังสือแต่ละเล่มของเขา เขายกมือมาหยิบอ่านไม่ได้ พลิกก็ไม่ได้ แล้วเขาทำอย่างไร ก็ต้องสแกน สแกนหนังสือทีละเล่มให้มันเป็นดิจิตอล เขาบอกว่าเหนื่อยมากที่สแกนแต่ละเล่ม แต่จำเป็นต้องทำเพราะไม่เช่นนั้นก็หยิบหนังสือมาอ่านไม่ได้ ทำสแกนวันหนึ่งก็ทั้งวันจนดึกเลย แต่เขาก็ไม่ท้อ
สแกนแล้ว ไม่พอ เขาต้องอ่านหนังสืออ่านจนดึกจนดื่น เขาเสียเปรียบคนธรรมดาหลายอย่าง แต่ว่าสิ่งที่เขาชดเชยความเสียเปรียบก็คือ ความขยันหมั่นเพียร ความมุ่งมั่น สมองเขาก็เหมือนคนทั่วไปอยู่แล้ว ในเมื่อเขาไม่สามารถที่จะอ่านหนังสือเหมือนคนปกติได้ ไม่สามารถที่จะจดบันทึกเหมือนคนปกติได้ เขาก็ใช้ความเพียร พยายามคูณสอง เพื่อชดเชยสิ่งที่เขาขาดไป หรือสิ่งที่เขาสู้คนอื่นไม่ได้
และวิทยานิพนธ์ของเขามีประโยชน์ เพราะว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในการมีชีวิตอยู่ของผู้ที่มีปัญหาด้านร่างกายหรือผู้พิการ คนที่จะรู้ดีว่าคนพิการเขารู้สึกอย่างไร และเขาต้องการอะไร มันก็มีแต่คนพิการด้วยกัน วิทยานิพนธ์ของเขาก็เลยกลายเป็นการสร้างองค์ความรู้ที่สำคัญมาก
เรื่องราวของเขาให้กำลังใจผู้คนมาก เพราะว่าแม้จะพิการด้วยโรคที่ร้ายแรง แต่แทนที่จะนอนรอความตาย กลับขวนขวายทำสิ่งที่มีประโยชน์ อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะเขามีความรักในความรู้ด้วย และก็มุ่งมั่นในการที่จะทำวิทยานิพนธ์ ถ้าไม่มีจุดหมายในชีวิตเขาก็คงจะนอนรอวันตาย
แต่ว่าแทนที่เขาจะใช้ชีวิตแบบหายใจไปวัน ๆหนึ่ง และจ่อมจมอยู่ในความทุกข์ เขาก็พยายามที่จะทำสิ่งที่มีคุณค่า แม้จะเสียเปรียบหลายอย่าง แต่เขาก็เอาสิ่งที่เขามีนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
คล้าย ๆ กับหญิงไต้หวันคนหนึ่ง ที่เขาบอกว่าเขามีเคล็ดลับ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นโรคสมองพิการ พูดไม่ได้เดินไม่ได้ แต่เขาก็เรียนจบปริญญาเอก มหาวิทยาลัยที่อเมริกา ยูซีแอลเอ เคล็ดลับของเขาก็คือว่า ฉันมองสิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด หรือว่ามองสิ่งที่ยังดีอยู่ ไม่มองสิ่งที่เสียไปแล้ว
จางก็คงจะคิดแบบนี้เหมือนกัน ก็เลยสามารถที่จะเรียนจบปริญญาโทได้ คนที่มีหัวดี ร่างกายดี แต่ว่าเรียนไม่จบก็มีเยอะ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าขาดความเพียร ไม่มีความมุ่งมั่น ในเมืองไทยก็มีคนแบบนี้เป็นผู้หญิงชื่อแพรว เพทาย
เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเหมือนกัน ยกมือเขียนหนังสือไม่ได้ แต่ก็สามารถจะเขียนหนังสือได้เป็นสิบเล่ม เป็นนิยายแล้วก็ได้รางวัลด้วย ใช้วิธีการจิ้มเอา จิ้มคือใช้ข้อนิ้วนี้มือขวานี้จิ้มคีย์บอร์ดของโทรศัพท์มือถือ แขนไม่มีแรง เธอใช้วิธีเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ข้าง ๆ หมอน แล้วก็ตะแคงตัว ตามองที่แป้นโทรศัพท์มือถือ แล้วเอาแขนพาดที่ศีรษะ ให้นิ้วมืออยู่ใกล้แป้นโทรศัพท์ พอพลิกตัว นิ้วก็จะไปกดที่แป้นโทรศัพท์
แต่ตอนหลังต้องงอนิ้ว เพื่อให้ข้อนิ้วกดแป้นโทรศัพท์ เพราะนิ้วมือไม่ค่อยมีแรงกดแป้น แล้วก็เอี้ยวตัวลงไป เพราะพอเอี้ยวตัวมันก็จะมีแรงให้นิ้ว ข้อนิ้วนี้ไปจิ้มกับคีย์บอร์ดได้ ใช้วิธีนี้จิ้มพิมพ์อักษรทีละตัว ทีละตัวจนพิมพ์หนังสือเป็นเล่ม ก็เรียกว่า แม้ว่าจะมีความพิการ แต่ว่าจิตใจนี้ก็ไม่ได้พิการด้วย สมองก็ยังดีอยู่ ก็เลยเอาสิ่งที่มีอยู่นี้มาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น
ตัวเองก็มีความสุข คนอ่านหนังสือก็มีความสุข อันนี้เรียกว่าร่างกายนี้แม้จะเป็นอุปสรรค แต่ว่ามันชดเชยได้ด้วยใจ ใจที่มีความหวัง ใจที่มีความมุ่งมั่น ใจที่มีความเพียรพยายาม
สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า กายนี้แม้จะอ่อนแรง แม้จะเจ็บป่วย แม้จะพิการนี้ แต่ถ้าหากว่าใจยังสู้ ใจมีความมุ่งมั่น เราก็สามารถที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนธรรมดา หรืออาจจะดีกว่าคนที่ปกติก็ได้ อย่างจางนี้เขาก็สามารถเรียนจนจบปริญญาโท ซึ่งคนส่วนน้อยที่จะทำเช่นนี้ได้ ทั้ง ๆ ที่มีสุขภาพดี มีอวัยวะครบ 32
ชี้ให้เห็นเลยว่า คนเรานี้ไม่ว่าร่างกายเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ใจเป็นเรื่องสำคัญ อยู่ที่มุมมองด้วย และก็อยู่ที่การรู้จักหายสิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต