พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 17 มีนาคม 2568
เนลสัน แมนเดลา ชื่อนี้หลายคนคงรู้จัก เป็นประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนหลังก็ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
แอฟริกาใต้ก่อนที่แมนเดลาจะเป็นประธานาธิบดีเป็นประเทศที่เหยียดผิวมาก คนส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำก็จริง แต่อยู่ภายใต้การปกครองของคนส่วนน้อย ส่วนน้อยมาก ๆ เลยซึ่งเป็นคนผิวขาว คนผิวขาวนี่ก็กีดกันคนผิวดำทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องการศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจ รวมทั้งการเมืองด้วย
คนผิวดำก็พยายามที่จะเรียกร้องความเท่าเทียม ความยุติธรรม แล้วก็ประชาธิปไตย แต่ก็ถูกปราบปรามด้วยกำลังอย่างโหดเหี้ยมมาก
แมนเดลาเป็นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นสู้ แต่ตอนหลังถูกจับ แล้วก็ถูกขังคุกนาน 27 ปี ตอนหลังออกจากคุกได้เพราะว่ารัฐบาลแอฟริกาใต้ถูกกดดันจากนานาชาติ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า สงครามกลางเมืองในแอฟริกาใต้ใกล้จะระเบิดแล้ว
คนผิวขาวซึ่งเป็นรัฐบาลก็รู้ว่า ถ้าไม่ปล่อยแมนเดลา เกิดสงครามกลางเมืองแน่ ก็เลยปล่อยแมนเดลาออกจากคุก ตอนหลังแมนเดลาก็ได้เป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกของแอฟริกาใต้ที่เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม
พอแมนเดลาเป็นประธานาธิบดีไม่นาน ก็มีเรื่องเล่า วันหนึ่งแกไปกินอาหารในภัตตาคารแห่งหนึ่ง ก็มีเพื่อน แล้วก็องครักษ์ติดตามไปด้วย พอไปนั่งโต๊ะเสร็จ สั่งอาหารเรียบร้อยก็สังเกตว่า โต๊ะข้างหน้ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งรออาหารอยู่ พออาหารมาเสิร์ฟชายคนนั้นเรียบร้อย แมนเดลาก็บอกองครักษ์ว่า ช่วยไปชวนชายคนนั้นมานั่งกินโต๊ะเดียวกับผมหน่อย
ชายคนนั้นพอได้รับคำเชิญแทนที่จะยิ้มแย้มแจ่มใสก็กลับสีหน้าบึ้งตึง ยกจานอาหารแล้วก็เดินมาที่โต๊ะของแมนเดลา มานั่งข้าง ๆ ไม่พูดไม่คุยอะไรเลย กินอาหารอย่างเดียว
ระหว่างที่กินมือก็สั่น ตาก็จ้องมองไปที่จานอาหารตลอดเวลาเลย ไม่เงยหน้าขึ้นมา หรือแม้แต่จะมาสนทนากับแมนเดลาซึ่งเป็นประมุขของประเทศ
ชายคนนั้นกินเสร็จ ก็ลุกขึ้น แล้วก็กล่าวคำอำลาโดยที่ไม่หันมามองแมนเดลาเลย แต่แมนเดลาก็ยืนขึ้นแล้วก็ยื่นมือขอจับ เรียกว่าเขย่ามือ shake hand ตามธรรมเนียม ชายคนนั้นก็ยอม จับมือเขย่า แล้วเดินออกไปจากภัตตาคารเลย
หลังจากนั้นองครักษ์ก็บอกแมนเดลา สงสัยชายคนนี้ป่วยหนัก คงไม่สบายมาก มือแกสั่นตลอดเวลาเลย แมนเดลาบอก ที่เขาสั่นคงเพราะเหตุผลอื่นมากกว่า ไม่ใช่เพราะป่วยหรอก แล้วแมนเดลาก็เล่าว่า ชายคนนี้เคยเป็นผู้บัญชาการเรือนจำตอนที่ผมถูกจับกุมคุมขังอยู่ แล้วเขาก็สั่งให้ลูกน้องทรมานผม
มีช่วงหนึ่งผมร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วก็ขอน้ำ แต่ว่าชายคนนั้นซึ่งบัญชาการทรมาน แทนที่จะให้น้ำผม กลับฉี่รดใส่หัวผม แล้วก็หัวเราะ
ตอนนี้ผมเป็นประธานาธิบดีแล้ว เขาคงกลัวว่าผมจะจับเขาเข้าคุก แล้วก็ทรมานเขาเหมือนกับที่เขาเคยทำกับผม แต่ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น ผมไม่มีนิสัยแบบนั้น นั่นไม่ใช่ผม
แล้วแกก็เล่าต่อไปว่า เป็นเวลานานมาแล้วที่ความโกรธ ความเกลียดนี่มันบั่นทอนประเทศชาติของเรา ตอนนี้มันจะต้องสมานไมตรีเพื่อสร้างชาติขึ้นมาใหม่ แล้วแกก็เล่าว่า ตอนผมออกจากคุก ผมตั้งปณิธานไว้เลยว่าผมจะปลดปล่อย วางความโกรธ ความเกลียด ความไม่พอใจ ทิ้งไว้ตรงนั้น เพราะไม่อย่างนั้นผมก็ยังติดคุกเหมือนเดิม ตัวออกจากคุกแต่ใจก็ยังอยู่ในคุก คุกแห่งความโกรธ ความเกลียด
แมนเดลาให้เหตุผลดี ไม่ใช่แค่เหตุผลอย่างเดียวแต่ว่าทำใจได้ด้วย ติดคุกมา 27 ปี ถูกทรมาน ถูกกลั่นแกล้งโดยผู้บัญชาการเรือนจำ แต่ว่าแทนที่จะโกรธ แทนที่จะพยาบาทกลับให้อภัย แล้วก็กลับหยิบยื่นความเป็นเพื่อนให้ ทันทีที่เห็นอดีตผู้บัญชาการเรือนจำคนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ ๆ นี่แกเรียกมาเลย เรียกมากินข้าวด้วยกัน แต่ว่าชายคนนั้นที่มือสั่นก็เพราะกลัว กลัวว่าแมนเดลาจับเข้าคุก ไม่อยากเจอหน้าแมนเดลา แล้วคงไม่คิดว่าแมนเดลาจะแสดงความเป็นมิตรอย่างนั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ว่าแมนเดลาเขาก็ทำได้ เพราะเขารู้ว่าถ้าเขายังโกรธ ยังพยาบาทอยู่ เขาก็ยังติดคุกไปจนตายเลย และการสร้างชาติของเขามันก็จะไม่ประสบความสำเร็จ แมนเดลาเขาเห็นความสำคัญของการปลดปล่อยความโกรธความเกลียดออกไปจากใจ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้นับถือพุทธศาสนาแต่ว่าสิ่งที่เขาทำก็สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าสอน จงเอาชนะความชั่วด้วยความดี เอาชนะความตระหนี่ด้วยการให้ เอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
แล้วแมนเดลานอกจากจะปลดปล่อยความโกรธความเกลียดออกไปจากใจแล้ว เขายังรู้จักเติมความสุข ความสดชื่นให้ใจด้วย โดยเฉพาะตอนที่เขาประสบความทุกข์ยากมากในคุก เขาถูกทรมาน เขาถูกรังแก เขาถูกกลั่นแกล้ง คนเราถ้าอยู่ในสภายอย่างนั้นมันก็คงโกรธ เกลียด คับแค้นมาเลย จะเจอคนรู้จักก็ปีละสองครั้งเท่านั้นแหละ แค่ปีละสองครั้ง ใครก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็ต้องทุกข์มาก
แต่เขารู้จักเติมความสุขให้ใจ เขาทำอย่างไร ในคุกของเขามันมีที่ว่างอยู่เป็นลานเล็ก ๆ แล้วก็มีพื้นที่ว่างประมาณ 3 X 35 ฟุต ก็เกือบ 10 เมตร เขาก็อยากจะทำสวน ก็ขออนุญาตผู้คุมตั้งนานกว่าจะได้ทำสวน ทำสวนแล้วก็ไม่มีอะไรเลย ขุดดินก็ต้องใช้มือ มันมีหิน มีอะไรเยอะแยะ มันก็ต้องเอาหินออกแล้วก็เอาดินมาโรย แล้วก็ปลูกมะเขือเทศ ปลูกพริก ปลูกผัก ต้องไปขนน้ำมารดน้ำ เขาใช้เวลาทุกเช้า 2 ชั่วโมงทำสวน แล้วก็ตอนบ่ายอีก ก็ใช้ความพยายามมาก กระทั่งต้นไม้นี่มันออกดอกออกผล ก็เอามาแบ่งให้ผู้คุมบ้าง ให้คนงาน ให้นักโทษบ้าง
แล้วเขาบอกว่าที่เขาทนความทุกข์ทรมานในคุกได้เพราะว่าส่วนหนึ่งก็เพราะว่าสวนนี่แหละ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่สวนผัก มันเป็นสถานฟื้นฟูจิตใจ พอมาทำสวนแล้ว จิตใจเขามีความสุข แทนที่จะปล่อยใจจมอยู่กับความทุกข์ ให้มันกัดกร่อนจิตใจ เขาก็มาใส่ใจอยู่กับผัก เห็นต้นไม้โต เห็นต้นไม้ออกดอก มีผลตามมา เขาก็มีความสุข
เป็นวิธีการเติมสุขอย่างง่าย ๆ แต่ได้ผลมากเพราะว่ามันทำให้เขาหายท้อ ทำให้เขาไม่จมอยู่กับความทุกข์ แม้จะไม่มีหนังดู ไม่มีเพลงฟัง ไม่มีร้านไปเที่ยว ไปช้อป แต่เขาได้ความสุขจากการทำสวนผักนี่แหละ ตอนหลังออกจากคุกแล้วเขาก็ยังทำสวนอยู่ เพราะมันช่วยเติมสุขให้ใจ
มีนักข่าวมาสัมภาษณ์เขา คุ้นเคยกัน ตอนหลังนักข่าวคนนี้ก็เล่าความในใจว่า เขามีความทุกข์มากเลย มีความเครียดจากการทำงาน แมนเดลาก็เลยบอกว่า คุณทำสวนบ้างรึเปล่า สวนในที่นี้มันไม่ใช่แค่สวนผัก มันคือสถานฟื้นฟูจิตใจ บำรุงให้ใจแช่มชื่น
อันนี้ก็เป็นเคล็ดลับของแมนเดลา คือ หนึ่ง ปลดปล่อยความเกลียดความโกรธออกไปจากใจ ไม่ให้เป็นคุกขังใจไว้ แล้วก็เติมความสุขให้ใจ ไม่ต้องใช้เงิน อาศัยธรรมชาติ อาศัยแรงกายทำสวนนี่มันก็ช่วยเติมสุขให้ใจได้ แล้วทำให้เขามีเรี่ยวมีแรง มีกำลังใจ มีความหวัง
แมนเดลาออกจากคุกมา 72 ปี แต่ว่าก็ยังมีเรี่ยวแรงทำงาน มีกำลังใจในการกอบกู้ประเทศชาติจากภาวะที่เสี่ยงต่อสงครามกลางเมือง ก็เลยเรียกว่าเป็นแบบอย่างที่มีคุณค่า มีความหมายมาก.