พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เกิดแล้วก็โตมาที่เมืองเซี่ยงไฮ้ พออายุได้ 10 ขวบ พ่อกับแม่แล้วก็ปู่พาเด็กคนนี้ย้ายไปฮ่องกง ก็เลยย้ายโรงเรียน ไปเรียนต่อที่ฮ่องกง เรียนได้ 3 ปี อายุ 13 แม่ซึ่งจริง ๆ แล้วคือแม่เลี้ยงก็บอกให้เด็กออกจากโรงเรียนเพราะว่าไม่มีเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนแล้ว ฮ่องกงค่าใช้จ่ายแพง
เด็กก็ไม่อยากที่จะออกจากโรงเรียน ก็เลยคิดอยากจะหนีกลับไปเซี่ยงไฮ้ เพราะที่นั่นก็ยังมีญาติผู้ใหญ่ เช่น ป้า น้า อยู่ที่นั่น เด็กคุ้นเคยกับปู่ก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้ปู่ฟัง
ปู่ถามว่าจะไปทำอะไรที่เซี่ยงไฮ้ เด็กก็ตอบว่าจะกลับไปโรงเรียนเก่า ไปพบเพื่อนเก่า ๆ ที่นั่น แล้วก็บอกว่าตอนอยู่โรงเรียนที่เซี่ยงไฮ้มีเพื่อนเยอะ แล้วเพื่อนก็ชอบเธอ เลือกให้เธอเป็นหัวหน้าห้อง แล้วถามปู่ว่าถ้ากลับไปโรงเรียนเก่า พบเพื่อนเก่า ๆ เขาจะให้เธอเป็นหัวหน้าห้องเหมือนเดิมไหม
ปู่หัวเราะ แล้วก็เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ครูมอบหมายให้ไปจับกระต่ายในป่า เด็กก็ไป เข้าไปในป่าแล้วก็ไปสอดส่ายหาว่ากระต่ายมันจะอยู่ตรงไหนบ้าง บังเอิญไปเจอกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งจากไหนมาไม่รู้ วิ่งเร็วมาก จนวิ่งไปชนต้นไม้ ตายคาที่เลย เด็กคนนั้นก็เลยไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่จับกระต่ายตัวนั้นไปส่งครู
นับแต่นั้นมาเด็กคนนี้ทุกวันก็จะไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เพื่อรอว่าจะมีกระต่ายมาวิ่งชนต้นไม้ตายเหมือนเดิมไหม
ปู่เล่าเรื่องนี้ให้หลานฟังเพื่อที่จะบอกหลานว่า อะไร ๆ มันก็ไม่แน่นอน เมื่อ 3 ปีก่อนเธอได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง กลับไปเซี่ยงไฮ้คราวนี้อะไร ๆ ก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่าไปคาดหวังว่ามันจะเหมือนเดิมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
เด็กฟังนิทานเรื่องนี้ก็เข้าใจ นิทานเรื่องนี้เป็นของนักปรัชญาชาวจีนคนหนึ่ง ก็เล่าเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า อะไร ๆ มันก็ไม่แน่นอน ความหมายก็คือ
อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ วันดีคืนดีกระต่ายก็วิ่งมาชนต้นไม้ตาย มันไม่ใช่เกิดขึ้นบ่อยแต่มันก็เกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นได้อีก
แต่เด็กชายในเรื่องนี้เดิมไม่เข้าใจ คิดว่าในเมื่อวันนี้กระต่ายวิ่งชนต้นไม้ตาย พรุ่งนี้ก็คงจะมีอีก หรือมะรืนนี้คงจะมีอีก ความเป็นจริงของชีวิตและโลกนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้น อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ จริงอยู่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นอีก มันไม่เหมือนเดิม วันนี้กับพรุ่งนี้ แล้วก็มะรืนนี้ด้วย
หลายคนวันดีคืนดีก็ได้โชค ได้พบประสบสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด หรือว่ายากที่จะเกิดขึ้นก็ได้ เช่น ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ก็ดีใจ และนับแต่นั้นมาก็จะซื้อลอตเตอรี่ทุกงวดเลย เพราะคิดว่าคราวนี้ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 คราวหน้าก็คงจะถูกอีก แล้วหลายคนซื้อลอตเตอรี่จนตายก็ไม่เคยถูกอีกเลย
บางคนพอได้โชคได้ลาภแล้วหลังจากเวลาผ่านไปก็ยังหวนคิด หรือหวนนึกถึงโชคลาภ หรือสิ่งที่สมหวัง ยังอยากจะให้มันเกิดขึ้นอีก และคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นได้ อะไรที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ก็หวังว่ามันจะเกิดขึ้นอีก หรือคิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีก
คนที่ประสบความสำเร็จในการงาน คนที่ได้ประสบความสมหวังในอดีต ไม่ใช่แค่โชคลาภอย่างเดียว อาจจะเป็นความสำเร็จในการงาน ชื่อเสียงเกียรติยศ ได้เหรียญทอง ได้แชมป์ มันเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วก็จริง แต่ก็คิดว่ามันก็จะเกิดขึ้นอีก ก็รอ หรือคาดหวังว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอีก
ก็กลายเป็นว่ารอแบบลม ๆ แล้ง ๆ หวังแบบลม ๆ แล้ง ๆ แทนที่จะมองไปข้างหน้า ก็ยังหวนนึกถึงอดีตว่า เคยทำได้หรือเคยมีเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็น่าจะมีอีก ทั้งที่อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนไปเยอะแล้ว
ความสมหวัง ความสำเร็จในอดีตเกิดขึ้นก็จริง ไม่ได้แปลว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้มันจะเกิดขึ้นอีก เพราะว่าเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนไป
คนที่ประสบความสำเร็จในการงาน ทำธุรกิจรุ่งเรืองในอดีต ไม่ได้แปลว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะประสบกับความสำเร็จเช่นนั้นอีก เพราะว่าอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน ที่มันไม่แน่นอนเพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนไป เหตุปัจจัยมันไม่แน่นอน ฉะนั้นผลที่คาดหวังก็ยอมไม่แน่นอนตามไปด้วย
นักกีฬาบางคนได้เหรียญทอง ได้แชมป์ ก็ยังหวนคิดถึงความสำเร็จในอดีต แล้วก็คาดหวังว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก หลาย ๆ คนก็พบว่ามันเป็นความหวังที่ลม ๆ แล้ง ๆ แล้วก็มีความทุกข์ที่มันไม่เกิดขึ้นอีก เหมือนกับเด็กคนนั้นที่รออยู่หลังต้นไม้
เด็กหลบอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วก็รอว่าเมื่อไหร่จะมีกระต่ายมาวิ่งชนต้นไม้ตายสักที พอไม่มีกระต่ายวิ่งชนต้นไม้อีก ก็เสียใจ ผิดหวัง แทนที่จะไปทำอย่างอื่น ไปหาไปทำกับดัก ดักกระต่าย หรือทำอะไรที่มันดีกว่านั้น ก็เปล่า เอาแต่นั่งรออยู่หลังต้นไม้ หลบอยู่ต้นไม้เพื่อรอว่ากระต่ายจะมาวิ่งชนหรือเปล่า
มันไม่ต่างกับคนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แล้วก็รออยู่นั่นแหละว่าเมื่อไหร่จะถูกอีก หรือว่าเมื่อเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต เคยสมหวังในความรัก เคยสมหวังในการงาน เคยสมหวังในการแข่งขัน ก็ยังหวังอีก โดยที่ไม่ได้คำนึงว่าอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ใช่แค่โลกมันเปลี่ยนไป บางทีสังขารร่างกายของตัวเองก็เปลี่ยนไป ไม่สามารถที่จะมีกำลังวังชาเหมือนเมื่อก่อน สติปัญญาก็ไม่ได้ปรูดปราดเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังหวังอยู่นั่นแหละ
อันนี้เพราะไม่ได้เข้าใจถึงความไม่เที่ยง อะไรที่เกิดขึ้นได้ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นอีก แต่ในอีกแง่หนึ่งเมื่อเรารู้เช่นนี้ หากว่าเราเกิดประสบพบสิ่งดี ๆ ที่พึงปรารถนา ก็ควรจะรู้ว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ โอกาสที่จะเกิดสิ่งดี ๆ อย่างนั้นมันอาจจะไม่มีอีก เช่น เราเกิดมาเป็นคนเป็นมนุษย์จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องยาก ถ้าเทียบไปแล้วมันยากกว่ากระต่ายวิ่งชนต้นไม้ตาย
พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับว่า เต่าตาบอดในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ 100 ปีจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาหายใจสักที แล้วก็บังเอิญในทะเลมันมีห่วงหรือแอกที่เป็นไม้ มีช่องว่างอยู่ตรงกลาง ลอยอยู่ในทะเลเท้งเต้ง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาพอดีกลางห่วงเลย มันมีน้อยมาก
มันมีน้อยมากเพราะเต่าตัวนี้ 100 ปีจะโผล่ขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แล้วมันจะโผล่ตรงไหนก็ไม่รู้ การที่จะโผล่มาพอดีตรงกลางห่วงเลยเป็นเรื่องที่โอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ การที่สัตว์เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องยากพอ ๆ กันเลย ในแง่นี้มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก น้อยกว่าการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ติดต่อกัน 10 ครั้งด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงว่า โอกาสที่จะเกิดขึ้นมันน้อยยิ่งกว่ากระต่ายวิ่งชนต้นไม้ตาย และการที่กระต่ายวิ่งชนต้นไม้ตายมันไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย
เช่นเดียวกันการที่คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ในเมื่อมันเกิดขึ้นได้ยากมากแล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกหรือเปล่า ในเมื่อความเป็นมนุษย์มันเปิดโอกาสให้เราทำสิ่งดี ๆ มากมาย รวมทั้งได้เข้าถึงประโยชน์สูงสุดของความเป็นมนุษย์ ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาคือ การได้เข้าถึงพระนิพพาน ชนิดที่เรียกว่าพ้นจากวัฏสงสาร ออกจากคุกที่จองจำสัตว์โลก เรียกว่านับหมื่นนับแสนอสงไขย
ฉะนั้นเมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสมาเกิดอีกหรือเปล่า ฉะนั้นต้องใช้โอกาสนี้ทำความดี แล้วเข้าถึงประโยชน์สูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ให้ได้ นี่ก็เป็นข้อเตือนใจ หลายคนไม่เข้าใจ คิดว่าเดี๋ยวมันก็มีโอกาสแบบนี้อีก ฉะนั้นก็เลยใช้เวลาที่ครองร่างมนุษย์นี้อย่างเปล่าประโยชน์
เพราะว่าโอกาสดี ๆ อาจจะมีเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องตระหนักว่า อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้
อะไรก็เกิดขึ้นได้นี้มีความหมายทั้งในทางบวกและในทางลบ ในทางบวกก็หมายถึงว่าอาจจะเกิดได้โชคได้ลาภ ได้ประสบความสำเร็จ แต่ในทางลบก็อาจจะหมายความว่าอาจจะต้องเจอกับความทุกข์อย่างที่ไม่คาดคิดก็ได้ อย่างที่เราเห็น คนที่เคยร่ำรวยแต่สุดท้ายกลายเป็นตกอับ คนที่แข็งแรงกลายเป็นคนที่อ่อนเปลี้ย
อย่างที่เห็นนักกีฬาบางคนแข็งแรงมากตอนหนุ่ม แต่พอผ่านไปไม่กี่ปีหมดสภาพไปแล้ว เป็นเพราะว่าเป็นโรคบางอย่าง เช่น เป็นโรคพาร์กินสัน วันก่อนที่ดูคลิปของดาราคนหนึ่ง ไมเคิล เจ. ฟอกซ์ ซึ่งเคยเป็นดาราที่มีชื่อมากตั้งแต่ยังหนุ่มเลย ตอนนี้หมดสภาพไปแล้วเพราะเป็นโรคพาร์กินสัน
นี่ก็เรียกว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เราวันนี้กับเราวันหน้าอาจจะกลายเป็นคนละคน ที่จริงถ้าพูดถึงตามหลักวิทยาศาสตร์หรือตามหลักธรรมะ มันเป็นคนละคนอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะเราวันนี้กับวันพรุ่งนี้ แม้กระทั่งตัวเราเมื่อสักครู่กับเมื่อตอนนี้ ก็คนละคน
นักวิทยาศาสตร์เขาบอก คนเราตอนเช้าเราจะสูงกว่าตอนค่ำประมาณครึ่งนิ้ว ร่างไม่เหมือนเดิม ร่างเราตอนเช้ากับร่างเราตอนค่ำ มันไม่เหมือนเดิม คนละร่างเพราะตอนเช้ามันสูงกว่านิดหน่อย แต่ที่จริงมันมีรายละเอียดมากกว่านั้นที่ชี้ให้เห็นว่ามันคนละคน ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังที่เสื่อมสลาย เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายที่มันตายไปทุก ๆ วินาที
จิตใจเรา นิสัยใจคอก็เหมือนกัน ที่จริงมันก็เห็นได้ คนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง มีเงินทอง มีอำนาจ มันกลายเป็นคนละคนกับตอนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เราอาจจะเคยเห็น คนบางคนพอได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี นิสัยใจคอเปลี่ยนไปเลย ตอนที่ยังไม่เป็นใหญ่เป็นโตก็เป็นคนที่เป็นกันเองกับเพื่อน แล้วก็เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน คอยช่วยเหลือเพื่อน
แต่พอเป็นใหญ่เป็นโตแล้วกลายเป็นคนละคนไปเลย บางทีรังเกียจพ่อแม่ด้วยเพราะว่ายากจน หรือว่าไม่อยากจะคบเพื่อนฝูงเพราะว่าไม่ได้ผลประโยชน์ หรือที่เห็นบ่อย ๆ คือว่าตอนที่เป็นนักศึกษาก็แบบหนึ่ง พอโตพอเป็นใหญ่เป็นโตก็อีกแบบหนึ่ง อุดมการณ์เปลี่ยนไป สนใจแต่การกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัว อันนี้ก็เป็นคนละคน
คนเราไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนละคนเฉพาะเวลาได้โชคได้ลาภหรือประสบความสำเร็จ ที่เปลี่ยนไปมากคือตอนที่เจอทุกข์ เจอความพลัดพราก เจอความเจ็บความป่วย บางคนตอนที่สุขภาพดีองอาจ มีความมั่นอกมั่นใจ มีความรื่นเริงแจ่มใส แต่พอป่วยแล้วนี่กลายเป็นคนละคนเลย ห่อเหี่ยวท้อแท้ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง หรือว่ามองโลกในแง่ร้าย
แต่ก่อนตอนที่ยังไม่ป่วยนี่สามารถที่จะพูดธรรมะ สอนธรรมะให้กับใครได้มากมาย แต่พอป่วยแล้วไม่สามารถเอาธรรมะมาใช้กับตัวเองได้เลย กลายเป็นคนที่เหงา ขี้กลัว เอ่ยถึงความตายไม่ได้เลย ไม่อยากฟัง ทั้ง ๆ ที่ตอนที่ยังมีกำลังวังชาแข็งแรงก็มีความกล้าหาญองอาจ ไม่กลัวตาย
เราก็เห็นได้ คนเราพอเจอทุกข์นี่เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ใช่เฉพาะเวลาเจ็บป่วย แต่รวมถึงเวลาสูญเสีย สูญเสียทรัพย์ งานการล้มเหลว ธุรกิจล้มละลาย กลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย
มันตรงกับหลักอนิจจังที่ว่า อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ คนที่เคยมั่นอกมั่นใจในตัวเอง อาจจะพูดโอ้อวดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอประสบความล้มเหลว ธุรกิจล้มละลาย หรือว่าถูกปลดจากตำแหน่ง กลายเป็นคนหงอยเหงาไปเลย
อย่างที่กฎอนิจจังเขาบอก อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เราทุกคนสามารถจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งได้ ไม่ว่าเวลาเจออิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์
อิฏฐารมณ์คือโลกธรรมฝ่ายบวก ได้ลาภได้ยศ ได้รับการสรรเสริญหรือว่าประสบสุข อนิฏฐารมณ์คือเสื่อมลาภเสื่อมยศ ได้รับคำนินทาว่าร้าย หรือว่าเจอกับความทุกข์ อันนี้ก็รวมถึงความเจ็บป่วยด้วย
เคยมีทหารบางคนเคยพูดปรามาสคนที่ฆ่าตัวตายว่ามันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ยิ่งใครคนนั้นเคยเป็นทหารมาก่อนแล้ว เขาถึงกับพูดว่า มันไม่ใช่ทหาร มันฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่ชายชาตรี ไม่ใช่ชายชาติทหาร แต่พอตัวเองป่วยบ้าง เป็นมะเร็ง ปรากฏว่าในที่สุดก็ฆ่าตัวตาย อันนี้แสดงว่าเป็นคนละคนไปแล้ว
แล้วมันไม่ใช่แค่ความเจ็บป่วย สูญเสียทรัพย์ บางทีสูญเสียลูก สูญเสียคนรัก ก็ทำให้คนอื่นหรือคนที่สูญเสียกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย เช่น สามีที่สูญเสียภรรยา หรือพ่อที่สูญเสียลูก พอสูญเสียไปปุ๊บ กลายเป็นอีกคนไปเสียแล้ว จมอยู่กับความเศร้า กราดเกรี้ยว ไม่มีความมั่นใจในการที่จะทำอะไรเลย
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่สอนใจเราว่า อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ อย่าประมาท อย่าอหังการ์ว่า ฉันวันนี้จะเป็นฉันคนเดิมในวันหน้า มันไม่ใช่ กระต่ายชนต้นไม้วันนี้มันไม่ได้แปลว่ามันจะชนต้นไม้ตายในวันรุ่งขึ้น เพราะฉะนั้นต้องอยู่ในความไม่ประมาท
ตอนนี้เรายังแข็งแรง ยังสดชื่นร่าเริงเบิกบาน ยังใช้ชีวิตลั้ลลาได้ แต่ว่าวันหน้าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้รับมือกับความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย หรือมีภูมิคุ้มกันที่จะรับมือกับโชคลาภที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นลาภยศ สรรเสริญ พวกนี้เป็นสิ่งที่สามารถจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นอีกคนได้ แล้วไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีด้วย เปลี่ยนไปในทางที่แย่ เสื่อมลาภเสื่อมยศก็เหมือนกัน หรือว่าความเจ็บป่วย ความแก่ชรา ไม่ต้องพูดถึงความตาย
ฉะนั้นคนเรายังไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับความไม่เที่ยงของสังขาร หรือความผันผวนแปรปรวนของโลก มันก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งแย่กว่าเดิม
ที่จริงการปฏิบัติธรรมมันก็ทำให้เราเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นอีกคนที่ดีกว่าเดิม พร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสีย ความไม่สมหวังได้ มันทำให้เราได้พบกับมิติใหม่ของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็สามารถที่จะคุมความเป็นผู้เป็นคนเอาไว้ได้ ในยามที่เจอกับความสูญเสีย ในยามที่เจอกับความผันผวนปรวนแปรของชีวิต
ถ้าไม่ตระหนัก เกิดความประมาท ไม่เข้าใจว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ มันก็อาจจะทำให้เกิดความหลงตัวลืมตน ไม่คิดที่จะเตรียมเนื้อเตรียมตัว หรือเตรียมใจในการที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ ตอนที่เราอยู่ตอนนี้ความรู้สึกตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมเมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป
แต่ถ้าหากว่าทำใจยอมรับได้ อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ ถึงเวลาเจ็บป่วยนิสัยใจคอความรู้สึกอาจจะเปลี่ยนไป ก็จะยังคงความปกติเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ แล้วต้องเตือนใจอยู่เสมอ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันจะไม่อยู่จนถึงวันหน้า เพราะวันหน้าอาจจะกลายเป็นอื่นไปแล้วก็ได้.