พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งท่านบวชได้ไม่นานก็บรรลุอรหัตตผล แล้วก็พำนักอยู่ที่เชตวัน ไม่นานน้องชายของพระรูปนี้ก็นำลูกชายมาบวช พระอรหันต์ท่านนี้ท่านชื่อว่า สังฆรักขิต ท่านก็รับเป็นอุปัชฌาย์ สมัยนั้นการเป็นอุปัชฌาย์ก็ไม่มีระเบียบอะไรมาก ไม่มีข้อกำหนดมากมายเหมือนทุกวันนี้
ท่านสังฆรักขิตบวชหลานแล้วก็อบรมดูแล ผ่านไปหลายเดือนพระหนุ่มก็ขอไปจำพรรษาที่วัดอื่น ท่านก็อนุญาต เมื่อพระหนุ่มออกพรรษา ท่านตั้งใจกลับมาอยู่กับหลวงลุง ในพรรษานั้นพระหนุ่มได้รับผ้าจำนำพรรษามา 2 ผืน มีโยมถวายให้ เป็นผ้าผ้าเนื้อดี
ในสมัยพุทธกาลผ้าเป็นของหายาก ยิ่งผ้าเนื้อดีด้วยก็ยิ่งเป็นของที่มีค่า พระหนุ่มท่านคิดว่าอยากจะได้อีกผืนหนึ่ง มี 2 ผืนจะได้เก็บไว้ผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งตั้งใจจะถวายหลวงลุง
พอไปถึงเชตวันก็กราบหลวงลุงแล้วถวายผ้าจำนำพรรษา พร้อมกันนั้นก็อุปัฏฐากหลวงลุงด้วยการใช้พัดใบตาลพัดอุปัฏฐากท่าน ฝ่ายหลวงลุงท่านเห็นว่าท่านมีผ้าอยู่แล้ว เลยบอกพระหนุ่มซึ่งเป็นหลานว่า เก็บไว้ใช้เถอะ เพราะหลวงลุงมีอยู่แล้ว
พระหนุ่มยังยืนกรานอยากจะถวายเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ ตั้งใจมาตั้งแต่ออกพรรษาแล้ว หลวงลุงก็ปฏิเสธ พระหนุ่มคะยั้นคะยอ แต่หลวงลุงท่านก็เห็นว่าพระหนุ่มควรจะเก็บผ้านั้นเอาไว้เพราะว่าเป็นของหายาก
ระหว่างที่อุปัฏฐากหลวงลุง พระหนุ่มเกิดความน้อยใจว่าเราอุตส่าห์ถวายผ้าเนื้อดีให้กับหลวงลุง แต่หลวงลุงปฏิเสธไม่ยอมรับความปรารถนาดีของเรา อย่ากระนั้นเลยเราสึกดีกว่า ท่านคิดในใจ ความน้อยใจก็ทำให้ท่านไม่อยากบวชแล้ว อยากจะสึก เพราะหลวงลุงไม่เห็นค่าความตั้งใจของเรา
พอสึกแล้วจะทำอะไร พระหนุ่มคิดต่อไป เราก็จะเอาผ้านี้แหละไปขายเพื่อจะได้ซื้อแม่แพะมาหาเลี้ยงชีพ อย่างที่ว่าผ้านี้เป็นของมีราคา ขายแล้วก็สามารถจะซื้อแม่แพะได้ตัวหนึ่งเลยทีเดียว เราก็จะเลี้ยงแม่แพะจนกระทั่งตกลูก แล้วก็จะเอาลูกไปขาย ขายก็ได้เงินมาก็จะเก็บเงินเอาไว้ เพื่อจะได้มีครอบครัว แล้วเราก็จะเลือกผู้หญิงที่ดีขยันทำงานมาเป็นเมีย
อยู่ไป ๆ ก็จะมีลูก เมื่อลูกเราโตพอรู้ความแล้ว เราก็จะพาลูกไปกราบหลวงลุง เราจะไปหาซื้อเกวียนเพื่อที่จะพากันไปกราบหลวงลุง
พระหนุ่มก็จินตนาการต่อไปว่า ระหว่างที่เรานั่งเกวียนไปกราบหลวงลุง เราก็จะอุ้มลูก ลูกชายด้วย เราอุ้มลูกชาย แต่ว่ากลางทางนั้นฝ่ายเมียขออุ้มลูกแทนบอกเพื่อให้สามีควบคุมเกวียนได้สะดวกสบาย แต่เราไม่ยอมให้เมียอุ้มลูกแทน เราอยากจะอุ้มลูกเอง ขับขี่เกวียนแล้วก็อุ้มลูกมันไม่ยากอะไร
แต่เมียก็รบเร้าจะขออุ้มลูก เกิดการยื้อกันปรากฏว่าลูกตกลงมาจากเกวียน เกือบจะโดนล้อเกวียนทับแล้ว แต่หยุดทัน ก็โกรธมาก เอาด้ามปฏักนี่ฟาดเมียเลย
ในจินตนาการนี่ฟาดหลังเมีย ก็พอดีตอนนั้นกำลังถวายงานพัดกับหลวงลุง พัดใบตาลนี้ด้ามยาวอยู่แล้ว ตอนที่คิดว่าเอาด้ามปฏักฟาดหลังเมีย ก็เอาด้ามพัดใบตาลฟาดหัวหลวงลุง โดนเต็มเปาเลย
หลวงลุงท่านก็พูดขึ้นมาเลยนะว่า เธอฟาดเมียไม่ได้ ฟาดเมียไม่ถูก แล้วทำไมถึงมาฟาดเราแทน เราทำผิดอะไร หลวงลุงท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านหยั่งวาระจิตรู้ว่าหลานกำลังฝันหรือว่ากำลังจินตนาการเรื่องอะไรอยู่ ปรากฏว่าพระหนุ่มตกใจ ตกใจเพราะอะไร
เพราะเผลอเอาด้ามพัดไปฟาดหัวหลวงลุง แถมท่านยังรู้อีกว่าเราคิดอะไรอยู่ ตกใจรีบวิ่งหนีลงจากกุฏิเลย ปรากฏว่าหลวงลุงท่านก็ไปขอให้พระช่วยกันตามพระรูปนี้กลับมา แล้วก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกินความจริง กำลังถวายงานพัดหลวงลุงอยู่ดี ๆ ก็เอาด้ามพัดนี่ฟาดหัว เพราะตอนนั้นกำลังจินตนาการไปยาวเลยว่ากำลังเอาปฏักฟาดหลังเมีย เรื่องที่พระหนุ่มคิดมันเป็นจินตนาการทั้งนั้น แต่ว่ามันเป็นจริงเป็นจังมาก
ตอนหลังพระพุทธเจ้าพอได้ฟังคำบอกเล่าของพระหนุ่ม ท่านก็สอนว่าธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนี้แหละ มันชอบคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกล เป็นธรรมดาของจิตที่จะคิดไปอย่างนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่าท่านก็ไม่ได้ถือโทษ หลวงลุงก็ไม่ได้ถือโทษ แล้วก็สอนให้รู้ธรรมชาติของจิตว่ามันเป็นอย่างนี้
พระหนุ่มฟังด้วยความสำนึกผิดก็บรรลุเป็นพระโสดาบันเลย เพราะว่ารู้แจ้งว่าจิตเป็นอย่างนี้เอง ความผิดพลาดที่ตัวเองทำ มันก็กลายเป็นบทเรียนที่สอนให้เห็นโทษของการที่ไม่รู้ทันจิต ก็กลายเป็นดีไป
มันชี้ให้เห็นเลยว่า คนเราเวลาคิด ถ้าคิดเรื่อยเปื่อย จินตนาการไป มันก็อดไม่ได้ที่จะเห็นเอาเรื่องที่คิดนี้เป็นจริงเป็นจัง และพอคิดแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะทำตามที่คิด อยากจะฟาด ฟาดเมียเพราะเมียมาแย่งลูกจนลูกตกลงจากเกวียน ก็เลยเอาด้ามพัดนี่ฟาดหัวหลวงลุงแทน เพราะตอนนั้นอินมากกับความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมา
คนเราเป็นอย่างนี้อยู่เสมอโดยเฉพาะเวลามีอารมณ์บางอย่าง อย่างในกรณีพระหนุ่มนี่ ก็ความน้อยอกน้อยใจทำให้ปรุงแต่งไปเตลิดเปิดเปิงจนเป็นเรื่องเป็นราว
มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ได้เงินมาหลายล้านเลย พอได้แล้วเกิดความหวงว่าถ้าเกิดคนอื่นเขารู้ว่าเราถูกลอตเตอรี่ จะมาขอเรา อาจจะแกล้งมายืมเงินเรา แต่พอเราให้ยืมแล้วก็ชักดาบเบี้ยว วันพรุ่งนี้ตอนเราไปทำงานก็คงจะมีคนที่มาใช้ลูกไม้นี้กับเรา จะมาขอยืมเงินเราแล้วก็เบี้ยวไปเลย
ตอนเช้าพอไปทำงาน ก็มีเพื่อนเอาเอกสารมาให้ผู้หญิงคนนี้เซ็น วันนั้นเพื่อนอารมณ์ดี ยิ้มให้กับเพื่อนคนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่ไม่ได้รู้ว่าเพื่อนถูกลอตเตอรี่
ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเห็นเพื่อนเดินยิ้มกริ่มให้เธอ ก็คิดในใจเลย ยายคนนี้นี่มาทำดีกับเราวันนี้ เพราะตั้งใจจะมาหลอกเอาเงินเราแน่นอน จะแกล้งยืมเงิน อ้างว่าลูกไม่สบาย หรือไม่เช่นนั้นก็อ้างว่าพ่อป่วย มาเรียกร้องความเห็นใจจากเรา เพื่อให้เราให้ยืมเงิน พอเราให้ยืมเงินแล้วเขาก็จะเบี้ยวไม่คืน
ลูกไม้นี้ฉันรู้นะ อย่ามาหลอกฉันให้ยากเลย มาตอแหลกับฉันแบบนี้ ไม่ได้คิดเฉย ๆ นะ พูด้ขึ้นออกมาเลยว่าไม่ต้องมายิ้มให้ฉันเลยนะ ฉันรู้นะว่าเธอจะมาหลอกเอาเงินฉัน อย่ามาหลอกฉันให้ยากเลย พูดไม่พอนะด่าด้วย
เพื่อนคนนั้นตกใจเลย อะไรฉันก็แค่ยิ้มด้วยความปรารถนาดี แล้วก็เอาเอกสารมาให้เซ็น กลับมาด่าว่าฉันรุนแรง ผู้หญิงคนแรกพอด่าไปแล้วนึกขึ้นมาได้ ตายแล้ว นี่เพราะอะไร เพราะว่ามันหลงเชื่อความคิด
คนเราพอคิดยืดยาวปรุงแต่งไปด้วยอำนาจของกิเลส จะเป็นเพราะความน้อยใจก็ตามอย่างกรณีหลานพระสังฆรักขิต หรือว่าเพราะความหวงแหนเงิน แล้วก็คิดในทางลบทางร้ายว่าคนอื่นเขาจะมาหลอกเอาเงิน จะมาหาอุบายเอาเงินฉัน พอคิดแบบนี้เข้า พอเห็นใครที่เดินเข้ามาหา ก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าเขาจะมาใช้อุบายมาหลอกฉัน มาทำดีกับฉัน สมควรที่จะต้องด่ากลับไป
คนเรามักถูกความคิดหลอกแบบนี้ง่ายมากย โดยเฉพาะคนที่ชอบคิดปรุงแต่ง ยิ่งมีอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นความน้อยใจ ความหวงแหน หรือว่าความโกรธ ง่ายมากที่อารมณ์เหล่านี้จะปรุงแต่งสร้างเรื่องสร้างราว แล้วเราก็หลงเชื่อจนกระทั่งเผลอทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ ทำไปแล้วถึงค่อยมารู้ตัวว่าตายแล้ว ฉันทำอะไรลงไป
บางทีก็ไม่ได้ไปทำร้ายใคร แต่ทำร้ายตัวเอง อย่างอาแปะเมื่อ 30-40 ปีก่อน ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ดีใจมาก คนเราเวลาได้โชคได้ลาภมันก็อดไม่ได้ที่จะไปอวด อวดว่าฉันได้ถูกลอตเตอรี่แล้ว
สมัยก่อนมันไม่มี Facebook ที่จะอวด ก็ไปอวดที่ตลาด ถือลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แล้วก็กระโดดโลดเต้นที่ตลาด ตะโกนบอกว่ากูถูกรางวัลที่ 1 แล้ว กูถูกรางวัลที่ 1 แล้ว ดีใจประกาศให้คนในตลาดรู้ แล้วตอนนั้นแกก็นึก ต่อไปนี้กูไม่จนแล้ว ต่อไปนี้หนี้สินกูจะปลดหนี้ให้หมดเลย ลาก่อนความยากจน ลาก่อนหนี้สิน
ตอนที่คิดแบบนี้ก็เผลอฉีกลอตเตอรี่ขาดเป็นชิ้น ๆ เลย พอฉีกลอตเตอรี่เสร็จ ก็ ตกใจรีบกวาดเอาชิ้นส่วนลอตเตอรี่นี้มาปะติดปะต่อกัน แต่ว่ามันต่อไม่ได้แล้วเพราะฉีกเป็นชิ้น ๆ ปรากฏว่าล้มฟุบเลย ไม่กี่วันต่อมาก็กลายเป็นคนวิกลจริตไป
อันนี้เพราะว่าตอนที่ดีใจ มันคิดปรุงแต่งไปนะว่าหนี้สินเป็นอันหมดแล้ว ลาก่อนหนี้สิน ลาก่อนความยากจน ความยากลำบาก คิดไปด้วยก็ฉีกลอตเตอรี่ไปด้วย มันไม่ได้ฉีกความยากจนทิ้ง มันฉีกลอตเตอรี่ แล้วสุดท้ายลาภที่หวังว่าจะได้ก้อนใหญ่ก็สูญไปเลย
ความคิดปรุงแต่งที่เกิดนี้เพราะความดีใจ ความดีใจก็ทำให้หลงตัวลืมตนได้เหมือนกัน เพราะดีใจแล้วมันอดไม่ได้ที่จะปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา
นี่ไม่นับคนที่ประสบเคราะห์ อย่างผู้หญิงคุณป้าคนหนึ่งแกไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งหมอก็บอกว่า ป้า ๆ ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน หมอคนนี้พูดตรงมากเลย
ป้าแกตกใจมาก แกไม่เคยคิดนะว่าจะเป็นมะเร็ง จะเป็นโรคร้าย และยิ่งกว่านั้นคือจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน ไม่เคยคิดถึงความตายมาก่อน กลับไปบ้านก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เสื้อผ้าหน้าผมไม่สนใจ ห่อเหี่ยว ซึม เครียด วิตกกังวล ปรากฏว่าอยู่ได้แค่ 12 วันก็เสียชีวิต
ทำไมถึงเสียชีวิตเพียงแค่ 12 วัน ทั้งที่หมอนี่บอกว่า 3 เดือน ที่จริงคนไข้บางคนนี่สามารถจะอยู่ได้นานกว่าที่หมอบอกเสียด้วยซ้ำ บางคนอยู่ได้ 3 ปี แต่ว่าคุณป้าคนนี้อยู่ได้แค่ 12 วัน เพราะอะไร
เพราะว่าพอแกกลับไปนี้ แกก็คิดสารพัดเลยว่าเป็นมะเร็งอย่างนี้ แล้วใครจะดูแลฉัน มันคงจะต้องทุกข์ทรมานมาก เห็นภาพของคนที่เป็นมะเร็งในหมู่บ้าน แล้วตัวเองก็นึกว่าจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน ใครจะดูแล ลูกสาวจะดูแลได้เหรอ ตัวมันเองก็เอาตัวไม่รอด หวังพึ่งพาลูกไม่ได้เลย แล้วยังนึกถึงหลานอีก เขาจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเรา แม่ของหลานก็พึ่งพาไม่ได้ หลานก็ยังเล็ก แล้วใครจะส่งเสียหลาน ใครจะดูแลหลาน
คิดไปสารพัดเลยทั้งที่ยังไม่เกิดนะไอ้ที่คิดวิตก แต่มันคิดไปล่วงหน้าแล้ว ปรากฏว่าใจเสียเลย ทั้งเครียด ทั้งกลัว สุดท้ายก็ตาย ตายนี่ไม่ใช่เพราะมะเร็งมันลาม แต่ตายเพราะว่าความเครียด ความวิตก ความกลัว ซึ่งเกิดจากการคิดปรุงแต่ง
ธรรมดาจิตมันก็คิดไปสารพัด แต่ว่าถ้าคนเราไปหลงเชื่อความคิดว่ามันเป็นความจริง ใจมันก็เสีย พอใจเสียเข้า ร่างกายมันก็แย่ตามไปด้วย สุดท้ายก็ตายเร็ว นี่เป็นเพราะอะไร เพราะว่าไปหลงเชื่อความคิดโดยที่ไม่รู้ว่าความคิดมันชอบปรุงแต่งไปสารพัด ไปเอาจริงเอาจังกับความคิด จนไปนึกว่ามันคือความจริง ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
คนเราถ้าหากว่าหลงเชื่อความคิดของตัวเองทุกเรื่อง ถ้าหลงเชื่อความคิดของตัวเองทุกเรื่องนี้มันแย่นะ โดยเฉพาะเวลามีอารมณ์ในทางลบเกิดขึ้น น้อยใจ หวงแหน ระแวง กลัว หรือว่าตื่นตระหนก โกรธ
บางคนนี่หวงแหนแฟนมากเลย เวลาใครมา เวลาผู้ชายคนไหนมา ก็จะคิดไปแล้วว่าเขามาจีบแฟนเราหรือเปล่า เขาจะมาแย่งแฟนเราไหม ทั้งที่เขาอาจจะมาเรื่องธุระการงาน แต่ว่าปรุงแต่งไปแล้วว่ามันมาเอางานการมาเป็นข้ออ้าง มันตั้งใจจะมาแย่งแฟนเรา
หรือบางทีก็คิดว่าแฟนเรานอกใจ คิดเป็นตุเป็นตะทั้งที่อาจจะไม่มีหลักฐานหรือว่าเหตุการณ์ที่มันจะทำให้คิดเช่นนั้นได้ แต่เพราะความคิดปรุงแต่งไป ความหวงแหน ความหึงหวง มันทำให้คิดไปสารพัด สุดท้ายตัวเองก็ทุกข์ แล้วก็ทำให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นนี้แย่ไปด้วย
คนเรานี่เชื่ออะไรมันก็ไม่แย่เท่ากับเชื่อความคิดของตัวเอง เคยมีอาม่าคนหนึ่งแกถูกหลอก ถูกแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์หลอก หลอกให้แกเอาเงินไปลงทุนเป็นล้านเลย เพราะว่ามิจฉาชีพหลอกว่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าซื้อหุ้นหรือว่าฝากธนาคารด้วยซ้ำ แกก็โดนหลอกไปเป็นล้าน หลังจากที่รู้ความจริง แกบอกว่าเป็นเพราะไปหลงเชื่อมิจฉาชีพ ทีหลังอย่าไปหลงเชื่ออะไรง่าย ๆ อย่าไปหลงเชื่อใครง่าย ๆ ที่จริงหลงเชื่อมิจฉาชีพนี้ยังไม่ร้ายเท่ากับไปหลงเชื่อความคิดของตัวเอง
ที่มิจฉาชีพมันหลอกแกได้ เพราะแกไปหลงเชื่อความคิดของตัว ความคิดที่ว่าถ้าลงทุนกับเขาแล้วจะรวยเร็ว การลงทุนนี้มันน่าเชื่อถือ มันต้องมีความคิดแบบนี้มาก่อน มันถึงจะหลงเชื่อมิจฉาชีพได้ มิจฉาชีพจะมาหลอกเรายังไง ถ้าเราไม่หลงเชื่อความคิดของเรา มันไม่มีทางที่มิจฉาชีพจะหลอกเอาเงินเราได้ ที่มันหลอกเอาเงินเราได้ เพราะเราเชื่อความคิดเราก่อน
แล้วที่จริงหลายคนแม้จะไม่ถูกหลอกด้วยเพราะมิจฉาชีพ แต่ว่าชีวิตก็ย่ำแย่เพราะว่าความคิดมันหลอก หลอกเรื่องการพนัน หลอกเรื่องอบายมุข โดยที่ไม่มีมิจฉาชีพมาเกี่ยวข้องเลย แต่ว่าชีวิตก็ย่ำแย่
เพราะฉะนั้นการรู้ทันความคิดนี้มันสำคัญมากเลย และก่อนที่จะ และการที่จะรู้ทันความคิดที่จะพาเราเข้ารกเข้าพงได้ มันต้องฝึกรู้ทันความคิดที่เป็นตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน อย่างเช่นความคิดเรี่ยราด ความคิดเพ้อเจ้อ ความคิดพวกนี้มันไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ แต่มันเกิดขึ้นทุกวัน ๆ
เวลาเราอาบน้ำ เวลาเราถูฟัน มันก็จะมีความคิดเรี่ยราด มีความคิดเพ้อเจ้อ ซึ่งแม้จะไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ถ้าเราฝึกรู้ทันมันเอาไว้ ไม่ปล่อยให้มันพาจิตกระเจิดกระเจิง รู้จักปล่อย รู้จักวาง รู้จักทักท้วงมันบ้าง
ต่อไปถ้าเป็นความคิดที่มันปรุงแต่งไปในทางลบทางร้าย ที่ก่อให้เกิดโทษ ถ้าเราหลงตามมัน เราก็จะรู้จักทักท้วงมันได้ ถ้าปล่อยให้จิตใจนี้หลงเชื่อความคิดที่เรี่ยราด ความคิดเพ้อเจ้อ ต่อไปความคิดปรุงแต่งที่มันแย่ ๆ เราก็จะหลงเชื่อได้ง่าย ถึงตอนนั้นก็อาจจะสายไปแล้ว เพราะว่าทำอะไรที่แย่ไปเรียบร้อยแล้ว.