พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567
พวกเราที่มาวัดเชื่อว่าไม่ได้เป็นคนติดเหล้า แต่ถ้าเกิดเราเห็นคนกำลังเมาเหล้าอยู่ต่อหน้าเรา เราจะนึกคิดอย่างไร
มีชาย 3 คนเป็นเพื่อนกัน มีอาชีพเป็นช่างวาดภาพโฆษณา วันหนึ่งก็ไปกินอาหารในร้าน ก็เห็นผู้ชายอีกโต๊ะหนึ่งกำลังกินเหล้าแล้วก็เมาเลย
1 ใน 3 ของช่างวาดชื่อเกษียร ก็พูดโพล่งขึ้นมาเลยว่า “โง่ฉิบหาย กินเหล้าแต่ดันให้เหล้ากิน”
สองเดือนต่อมา ก็มีงานเลี้ยง 3 คนนี้ก็ไปร่วมงาน บนโต๊ะจีนนี้ก็มีเบียร์อยู่ขวดหนึ่ง 3 คนนี้ไม่เคยกินเบียร์ก็เลยลองชิม ๆ ดูหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดื่มมาก ผ่านไปไม่นานขณะที่เกษียรกับเพื่อน ๆ กำลังวาดรูปอยู่ เกษียรก็สั่งเบียร์มาดื่ม เพื่อนคนหนึ่งก็เลยท้วงว่า “อ้าว ไหนว่าเขา ทำไมวันนี้ถึงกินซะเอง”
เกษียรก็บอกว่า “นายไม่รู้อะไร เหล้ามันเป็นของคนสถุนนะ แต่ว่าเบียร์นี่มันช่วยผ่อนคลายเป็นเรื่องของชนชั้นสูง”
หลังจากนั้นเกษียรก็สั่งเบียร์มากินอยู่เรื่อย ๆ ขณะทำงาน จากเดิมแค่ครึ่งขวด ตอนหลังก็วันละขวด แล้วก็เพิ่มเป็น 2 ขวด 3 ขวด 4 ขวด 5 ขวดเลย วันไหนไม่กินเบียร์ก็ทำงานไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ตะโกนให้เด็กนี้ไปซื้อเหล้าแม่โขงมาเป๊กนึง
เพื่อนคนเดิมก็ท้วงขึ้นว่า “อ้าว ไหนว่าเหล้าเป็นของสถุน แล้วทำไมวันนี้ถึงไปสั่งเหล้ามากิน” เกษียรอธิบายว่า “นายไม่รู้อะไร นายต้องมีเหตุผลหน่อย อาชีพอย่างเรามันจะซื้อเบียร์ได้เท่าไหร่กัน ถ้ากินเบียร์วันละ 5 ขวด มันจะไหวเหรอ แต่เหล้านี่เป๊กเดียวเอาอยู่”
เดิมบอกว่าเหล้าเป็นของสถุน แต่ตอนนี้บอกว่าเหล้ามันดีกว่าเบียร์ แค่เป๊กเดียวเอาอยู่ ตอนหลังเกษียรกินเหล้าไม่ใช่เฉพาะเวลาทำงาน ไม่ได้ทำงานก็กิน ไม่ใช่แค่เป๊กเดียวแต่กินเป็นขวดเลย
ต่อมาเกษียรก็ป่วยเป็นอัมพาต เส้นเลือดในสมองแตก สุดท้ายก็ตายเพราะเหล้า จากเดิมคนที่เคยดูถูกดูแคลนคนกินเหล้าว่าโง่ แต่ตอนหลังก็กลับกลายเป็นคนเมาเหล้าเสียเอง
เรื่องแบบนี้มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ บางคนนี้เป็นพระ เป็นพระที่เคร่งด้วย เวลาใครทำเวลาพระรูปไหนทำผิดวินัยต้องอาบัตินี้ก็จะท้วง แล้วคอยตามจี้ใครต้องอาบัติแม้เล็กน้อยนี้ก็ไม่ลดละ เรียกว่าเคร่งมากจนเพื่อนพระด้วยกันก็ระอา เพราะว่าจ้องจับผิดพระรูปอื่น ๆ อยู่ตลอด แต่ต่อมาก็ลาสิกขา
ไปเป็นฆราวาสได้ไม่นาน ปรากฏว่ากลายเป็นคนติดเหล้า มันห่างไกล จากพระที่เคร่งถือศีล 227 ข้อ พอมาเป็นฆราวาสอย่างมากก็ถือได้แค่ 5 ข้อ ศีลข้อที่ 5 รักษาไม่ได้ กินเหล้าจนไม่เป็นอันทำงาน เมามายจนกระทั่งทำงานต่อไปไม่ได้ ไม่มีใครจ้าง
ผันตัวเองมาอยู่วัด อาศัยข้าวก้นบาตร แล้วก็กินเหล้าหนักจนกระทั่งพระก็ไม่ให้อยู่ ก็ไปนอนข้างถนน คุ้ยเขี่ยขยะเพื่อเอามาเอาของไปขายขนาดนั้นทีเดียว ตอนหลังก็โดนรถชนตาย จากพระที่มีคนกราบไหว้กลายเป็นขี้เมาหยำเป
อันนี้มันก็เป็นเรื่องที่เราเห็นได้บ่อย ๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะว่าคนที่เคยดูถูกดูแคลนคนกินเหล้า เสร็จแล้วก็กลายเป็นคนเมาเหล้าเสียเอง
กรณีอื่น ๆ ก็มี เช่น บางคนก็ดูถูกดูแคลนคนที่ชอบเล่นการพนันหาว่าโง่ เล่นพนันมันจะรวยได้ยังไง มันมีแต่เสีย ไม่มีได้หรอก แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นคนติดพนันเสียเองหนักด้วย จนไม่มีใครอยากจะคบหาเพราะว่าชอบยืมเงินคนไปเล่นพนัน ก็จบไม่สวยเหมือนกัน
มีลูกหลายคนที่ไม่ชอบพ่อ บางทีถึงขั้นเกลียดเลยเพราะพ่อเจ้าชู้บ้างล่ะ หรือพ่อนี้ชอบทำร้ายแม่ แต่พอตัวเองโตขึ้นแล้วเป็นหนุ่มก็กลับกลายเป็นคนเจ้าชู้เสียเอง หรือว่าพอมีเมียก็ทำร้ายทุบตีเมีย ความรู้สึกรังเกียจพ่อที่ทำไม่ดีกับแม่หรือว่าเจ้าชู้ แต่สุดท้ายตัวเองก็เป็นเสียเอง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เรามักจะเห็นอยู่บ่อย ๆ
นักศึกษาที่วิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองว่าคอรัปชั่น เวลาเลือกตั้งก็ซื้อเสียง แล้วจะเอาเงินมาซื้อเสียงได้ยังไงก็ต้องโกงหรือทุจริต เสร็จแล้วพอไปเป็นนักการเมือง ทีแรกอาจจะหวังมีอุดมคติอยากจะช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยเหลือชาวบ้าน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นนักการเมืองที่คอรัปชั่นเหมือนกัน ซื้อเสียงใช้เงินหว่านโปรย ทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจ มีพฤติกรรมไม่ต่างจากนักการเมืองที่ตัวเองเคยประณามสมัยเป็นหนุ่ม
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราเห็นได้ทั่วไป บางคนนี้ถึงกับมีอุดมคติเข้าป่าจับอาวุธสู้กับรัฐบาล ยอมตายเพื่อประชาชน ด่านักการเมือง แต่พอตัวเองเป็นนักการเมืองเสียเอง ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากคนที่ตัวเองเคยประณาม
มีหลายคนตอนที่เป็นหนุ่มวัยรุ่นเห็นพระข้างบ้านหรือว่าพระที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน เอาแต่ดูหนัง เล่นเกมออนไลน์ หรือว่ากินข้าวเย็น หรือว่าฟังเพลง เห็นภาพเหล่านี้แล้วก็รังเกียจ รู้สึกไม่ค่อยมีศรัทธากับพระแบบนี้เท่าไหร่ ไม่นับถือ
แต่พอมาบวชพระ ทีแรกก็เป็นพระเรียบร้อย แต่ไป ๆ มา ๆ กลับกลายเป็นพระอย่างที่ตัวเองได้เคยดูถูก ก็คือวัน ๆ ก็เอาแต่เล่นเกม ดูหนัง ดูซีรีส์ หรือไม่ก็ฟังเพลง กินข้าวเย็น มันเป็นไปได้ยังไง แต่มันก็เป็นไปแล้ว แล้วก็เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
มันมีสำนวนที่สมัยก่อนเขาเรียกว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” อิเหนานี้ก็หมายถึงตัวละครในวรรณคดี แต่สมัยนี้คงไม่ค่อยรู้จักแล้วล่ะอิเหนา แต่ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ว่าแต่เขาแต่เราเป็นเอง” แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น
ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเวลาเห็นคนที่มีพฤติกรรมไม่ดี ที่ไม่น่าเคารพ หรือว่าไม่น่านับถือ ก็ไม่ได้คิดที่จะระมัดระวังว่าตัวเองอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เหมือนกับที่เกษียรเห็นคนกินเหล้าจนเมา เห็นแล้วก็ดูถูก แต่ไม่ได้คิดที่จะมองในอีกมุมหนึ่งว่า “เออ เราต้องระวังนะ เราอย่าประมาท”
ที่จริงเกษียรเขาประมาท เพราะเขาคิดว่าเขาฉลาด เขาไม่โง่หรอก อันนี้แหละประมาท แล้วคนที่พลิกผันกลายเป็นสิ่งตรงข้ามได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะความประมาท ประมาทว่าฉันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ฉันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก
ลูกชายที่เห็นพ่อทุบตีแม่หรือว่าเจ้าชู้ ก็คิดว่า “ฉันไม่เป็นอย่างพ่อหรอก” อันนี้คิดหรือพูดด้วยความประมาท แล้วส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเอาแต่เพ่งโทษคนอื่นแต่ว่าไม่ได้มองตน คนเรานี้ถ้าหากว่าลืมมองตน เอาแต่เพ่งโทษคนอื่น มันก็ง่ายมากที่จะถูกกิเลสชักนำ
เวลาไปอยู่ในสถานการณ์ หรืออยู่ในสถานะเดียวกันกับคนที่ตัวเองเคยต่อว่า ดูถูก หรือรังเกียจ พวกที่เขาเมาเหล้านี้ เขาอาจจะเคยเป็นคนที่เรียบร้อย มีศีล แต่ว่าพอเจอแรงกดดันบีบคั้นต่าง ๆ ทีแรกอาจจะดับเครียดด้วยการกินเหล้านิด ๆ หน่อย ๆ แต่ตอนหลังก็ติดอกติดใจ
เคยไปช่วยคนไทยที่ญี่ปุ่นเมื่อสัก 30 ปีก่อน สมัยนั้นคนไทยทั้งหญิงและชายไปทำงานกันเยอะ แล้วก็มีกลุ่มคนไทยอยู่ที่เมืองหนึ่งชื่อเมือง นากาโน่ (Nagano) ประมาณ 20-30 คนได้ ที่เป็นผู้ชายก็ทำงานพวกก่อสร้างหรือทำงานโรงงาน
(((ปรากฏ)))ว่าคนไทยกลุ่มนี้ก็มีหัวหน้า มีเป็นรุ่นพี่ รุ่นพี่คนนี้ก็ดูจะเป็นคนมีเหตุมีผล รู้จักดูแลตัวเอง แกก็เป็นห่วงรุ่นน้องที่เป็นคนไทยด้วยกัน เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็ติดเหล้า ติดพนัน ได้เงินมาก็กิน เที่ยว แล้วก็เล่น
เล่นนี้เล่นการพนัน แล้วก็เล่นหวย เที่ยวนี้ก็เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ดื่มด้วยดื่มเหล้า กิน-ดื่ม-เที่ยว-เล่น แกก็พยายามห้าม แล้วก็พยายามแนะนำเด็ก ๆ รุ่นน้องให้เว้นเรื่องพวกนี้ แล้วแกก็บ่นไอ้พวกนี้มันไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเอง ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ ที่บ้านก็ยากจนแต่ทำไมไม่เก็บเงินส่งให้ที่บ้าน
แกก็มาเล่าวันหนึ่งแกก็พยายามที่จะบอกรุ่นน้องให้อย่างน้อยก็เลิกกินเหล้า แล้วแกก็ดูพูดจามีหลักมีฐาน แต่หลังจากนั้นผ่านไป 3-4 ปี ไปเจอแกใหม่ แกเมาเสียแล้ว เรียบร้อย อันนี้ก็น่าเห็นใจ เพราะว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นบางทีมันมีความเครียด หรือมันมีสิ่งแวดล้อมที่ล่อเร้าเย้ายวน มีเงินเยอะแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็ต้องเข้าสังคม
สุดท้ายก็เอาเหล้านี้แหละเป็นเครื่องย้อมใจเวลาเครียด อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมาก คนเรามันแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นคนอื่น แล้วเป็นคนที่ตัวเองนี้เคยดูถูก เคยประณามด้วย ไม่ใช่แค่ไม่อยากจะเอาเยี่ยงอย่าง แต่ว่าประณามหาว่าโง่ ใช้ไม่ได้ แล้วก็นึกในใจว่า “กูไม่เป็นอย่างนั้นหรอก” แต่สุดท้ายก็เป็น
อันนี้เพราะว่านอกจากประมาทแล้ว เป็นเพราะการไม่รู้จักมองตน ที่จริงมันไปด้วยกัน พอไม่มองตนมันก็ประมาท เพราะถ้ามองตนก็จะเห็น “เออ เรานี่ก็มีกิเลสนะ บางครั้งจิตใจเราก็อ่อนแอนะ” แล้วมองตนมันก็จะเห็นว่าตัวเองนี้อาจจะพ่ายแพ้ต่อกิเลส หรือต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวนได้ มันจะเกิดความระมัดระวัง ไม่ประมาท
แล้วก็ขณะเดียวกันก็จะไม่คิดประณามคนนั้นคนนี้ เพราะรู้ว่ากิเลสมันแรง แล้วก็สิ่งล่อเร้าเย้ายวนมันก็เยอะ แล้วบางอย่างมันเป็นเรื่องของการซึมซับด้วย มันก็แปลกนะมนุษย์เรายิ่งไม่ชอบใคร เกลียดใคร เราก็ยิ่งซึมซับรับเอาพฤติกรรมของเขาที่เราไม่ชอบเข้ามาไว้ในตัวเรา
ลูกที่ไม่ชอบพ่อ เพราะพ่อชอบใช้อำนาจกับลูก หรือว่าเจ้าชู้ หรือว่าชอบทำร้ายแม่ สุดท้ายก็ซึมซับรับเอาทุกอย่างที่ตัวเองเกลียดจากพ่อนี้มาไว้ในตัวเองหมดเลย มันไม่ใช่พ่อกับลูกอย่างเดียว เวลาเราไม่ชอบใคร ทะเลาะกับใคร ขัดแย้งกับใคร โกรธใคร เราก็จะรับเอาพฤติกรรมนิสัยไม่ดีของเขามา
เช่น เขาเป็นคนที่ชอบใช้อารมณ์ ชอบปล่อยข่าวลือ ชอบนินทา แล้วเราไม่ชอบเลยคนแบบนี้ แต่ยิ่งไม่ชอบก็ยิ่งซึมซับรับเอาพฤติกรรมของคนเหล่านี้มา เสร็จแล้วก็ทำกับคนอื่นแบบนี้บ้าง ทีแรกก็อาจจะเอาวิธีการนี้ไปใช้กับคนที่ตัวเองไม่ชอบ เขานินทาเรา เราก็นินทาเขา เขาใส่ร้ายเรา เราก็ใส่ร้ายเขา ตอนหลังก็ไปทำอย่างนี้กับคนอื่นด้วย
ฉะนั้นยิ่งไม่ชอบใคร ยิ่งเป็นปฏิปักษ์กับใคร ก็ยิ่งซึมซับรับเอาพฤติกรรมอย่างนี้มาใช้กับตัวเอง มันไม่ต่างจากตำรวจกับโจร ตำรวจยิ่งปราบโจรมากเท่าไหร่ ปรากฏว่าทีละน้อย ๆ นี้มีพฤติกรรมไม่ต่างจากโจรเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่หลายคนก็พูดกัน ยิ่งสู้รบตบมือกับโจรมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งซึมซับรับเอานิสัย พฤติกรรม วิธีการของโจร มาใช้กับตัวเอง จนกระทั่งบางทีก็กลายเป็นผู้ร้ายในเครื่องแบบอย่างที่เรามักจะเห็นตามข่าว หรือว่าได้ดูตามภาพยนตร์ หรือนิยาย
อันนี้มันสะท้อนจากเรื่องจริง ฉะนั้นการรู้จักมองตน แล้วก็เตือนตนนี้สำคัญมากเลย เพราะถ้าเราไม่มองตน ไม่เตือนตน เราก็จะเผลอปล่อยให้กิเลสนี้มันเข้ามาครอบงำจิตใจ แต่ธรรมชาติของคนเรามันไม่ค่อยมองตนเท่าไหร่ เราชอบเพ่งโทษคนอื่น เราชอบเพ่งโทษคนอื่น
ไอ้การที่เราเพ่งโทษจดจ้องคนอื่นนี้แหละ มันทำให้เราเผลอลืมมองตัวเอง คนที่ส่งจิตออกนอกบ่อย ๆ รวมทั้งการเพ่งโทษคนอื่น มันทำให้ตัวเองง่ายมากที่จะโดนกิเลสครอบงำ โดยเฉพาะเมื่อไปตกอยู่ในสถานการณ์เงื่อนไขเช่นเดียวกับคนเหล่านั้น
อย่างนักศึกษาที่อุดมการณ์แรงกล้า คิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ มีอุดมคติ แต่พอไปเป็นนักการเมืองเข้า ไม่รู้เท่าทันกิเลสของตัวเอง อาจจะเกิดความหลงใหลยึดติดในอำนาจ แล้วก็หลงใหลในลาภสักการะ ก็กลายเป็นคนที่ทุจริตหรือว่าคดโกงได้ง่าย ซึ่งอันนี้ก็น่าเห็นใจเพราะว่าสิ่งล่อเร้าเย้ายวนมันเยอะ
ตอนที่เป็นนักศึกษานี้สิ่งล่อเร้าเย้ายวนมันน้อย กิเลสยังมีไม่ได้ต่างจากตอนที่เป็นนักการเมือง แต่ว่าพอมีสิ่งล่อเร้าเย้ายวนเยอะ กิเลสมันก็แรงกล้าแล้วเข้ามาครอบงำจิตใจ ฉะนั้นการรู้จักมองตน รู้จักเตือนตรงนี้สำคัญมากเลย แล้วถ้าเรามองตนอยู่บ่อย ๆ เราจะเห็น รานี้มันมีกิเลสที่คอยจ้องเล่นงาน ควบคุมจิตใจเราอยู่เสมอ
ในแง่หนึ่งมันจะทำให้เรารู้จักถ่อมตัวมากขึ้น ไม่ดูถูกใครง่าย ๆ แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำอย่างเขาแต่ก็จะไม่ดูถูกคนอื่น เพราะรู้ว่าเราอาจจะเป็นอย่างเขาเมื่อไหร่ก็ได้ ในแง่หนึ่งก็ทำให้เราระมัดระวัง ระมัดระวังตัว ไม่ยอมพลาดท่าเสียทีให้กับกิเลสง่าย ๆ หรือถึงพลาดท่าเสียทีก็พยายามปรับปรุงแก้ไข
แต่ถ้าไม่มองตน แต่ไปเพ่งโทษคนอื่น มันจะมีความโกรธ ความเกลียด แล้วไอ้ความโกรธความเกลียดนี้แหละที่มันสามารถจะทำให้เราพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัวอื่นเช่นความโลภได้ง่าย แล้วถ้าเราเห็นกิเลสภายในใจเรา เห็นจุดอ่อนภายในใจเรา นอกจากเราจะถ่อมตัวแล้ว เราก็จะเห็นใจคนอื่นที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสจนกระทั่งเสียผู้เสียคน
เห็นใจเพราะรู้ว่าไอ้กิเลสนี้มันฉลาดมาก กิเลสนี้มันสามารถที่จะหลอกให้เราหลงและตกอยู่ในอำนาจของมัน ฉะนั้นพอเราเข้าใจอย่างนี้ เราก็จะเห็นใจคนอื่น เข้าใจเขาว่าทำไมเขาทำอย่างนั้น เห็นใจเขาว่าเขาพ่ายแพ้ต่อกิเลสเพราะเขาไม่รู้ทันกิเลส ซึ่งถ้าเรารู้จักมองก็จะเอาเขามาเป็นครู มาสอนใจเราว่า “เออ เราต้องระวังอย่าเป็นอย่างเขานะ”
เห็นคนแบบนี้แล้ว อย่าไปดูถูก อย่าไปต่อว่า แต่ว่าเอามาเป็นครูสอนเราว่า เราต้องระวัง อย่าเป็นอย่างเขา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนเมา นักการเมืองทุจริต หรือว่าคนที่ติดพนัน ไอ้พวกนี้เป็นครูสอนเรา ไม่ใช่เป็นเป้าของการดูถูกเหยียดหยาม แต่สอนให้เราระมัดระวัง
แม้กระทั่งพ่อที่ทำร้ายแม่ หรือว่าเจ้าชู้ หรือว่าติดเหล้า คนเหล่านี้เขาสอนเป็นบทเรียน เป็นครูสอนลูกได้ว่าต้องระวัง เพราะถ้าไม่ระวัง เดี๋ยวก็จะเป็นอย่างพ่อ ที่จริงพ่อที่เคยที่ทุบตีลูก ใช้กำลังกับลูก หรือว่าใช้กำลังกับภรรยา หรือว่าเจ้าชู้
ที่จริงตอนที่เขายังเด็ก เขาก็เคยเกลียดพ่อแบบนี้เหมือนกัน เพราะพ่อของเขามันก็ทำอย่างนี้ ก็เลยเกลียด แต่พอเกลียดแล้วพอโตขึ้นกลายเป็นหนุ่ม กลายเป็นผู้ใหญ่ ก็ซึมซับรับเอาพฤติกรรมของพ่อนี้มาใช้กับลูก หรือมาใช้กับภรรยา
เพราะฉะนั้นเราต้องหมั่นมองตนอยู่เสมอ อย่ามัวแต่เพ่งโทษคนอื่น เพราะถ้าเราเพ่งโทษคนอื่น เราจะเผลอ ไม่ดูแลใจ แล้วกิเลสมันก็จะมาครอบงำ ฉะนั้นการมีสตินี้มันจึงสำคัญมากเลย เพราะสติช่วยทำให้เราไม่มัวแต่เพ่งโทษคนอื่น แต่ว่าคอยหมั่นมองใจ หมั่นมองตน แล้วคอยเตือนตนอยู่เสมอ ยิ่งเราเตือนตนมากเท่าไหร่ ไม่ประมาท ไม่ดูแคลนกิเลส เราก็มีโอกาสที่จะรับมือกับกิเลสได้ดีขึ้น.
…