พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567
การเจริญสติ ถ้าเราทำสม่ำเสมอจนกลืนไปกับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าทำอะไรก็ทำอย่างมีสติ ทำด้วยความรู้สึกตัว ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง แล้วก็วางใจถูก ใจก็จะเบาขึ้น แล้วก็มีความสงบเย็นมากขึ้น
ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีความคิดหรืออารมณ์มารบกวน มันก็ยังมีความคิดและอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่อเจอสิ่งกระทบ หรือเจอเหตุการณ์ไม่ว่าบวกหรือลบ ถึงแม้มันจะมีความคิดและอารมณ์เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถจะบีบคั้น เผาลน กรีดแทง หรือว่าย่ำยีจิตใจได้ เพราะมีสติ ทำให้รู้ทันความคิดและอารมณ์ ไม่เข้าไปยึด เข้าไปผลักไส หรือปล่อยใจให้หลงจมเข้าไปในความคิดและอารมณ์นั้น
เวลามีความคิดลบ อารมณ์อกุศลเกิดขึ้นในใจ ไม่ได้แปลว่าเราจะทุกข์ทันที จะทุกข์ก็ต่อเมื่อปล่อยให้มันครอบงำใจ หรือเข้าไปยึด อีกนัยหนึ่งก็คือการถลำจมหลงเข้าไปในความคิดและอารมณ์เหล่านั้น ปล่อยให้มันท่วมท้น หรือว่าบีบคั้นจิตใจ
มีความคิดมีอารมณ์เกิดขึ้นแต่ว่ามันทำอะไรจิตใจไม่ได้ มีแต่จะระงับหรือว่าจางหายไป อีกส่วนหนึ่งก็เพราะว่าพอเราเจริญสติ หรือมีสติมีความรู้สึกตัวบ่อยๆ ใจจะอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับสิ่งที่กำลังทำมากขึ้น จะไม่เถลไถลลอยไปอดีต หรือว่าหลงไปในอนาคตพร่ำเพรื่อตลอดทั้งวันอย่างแต่ก่อน
ใจที่ไหลไปอดีต ลอยไปอนาคต สุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยการจมอยู่กับอารมณ์ หรือว่าจมอยู่ในความทุกข์ เพราะเวลาใจไหลไปอดีต ไปนึกถึงเรื่องราวที่เจ็บปวดในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียของรัก การพรากจากคนรัก การถูกต่อว่าด่าทอ ถูกกลั่นแกล้งทรยศ
เหตุการณ์ผ่านไปแล้วก็จริง แต่พอนึกถึงมัน ส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดความเศร้า เกิดความเสียใจ เกิดความคับแค้น บางทีก็เกิดความพยาบาทฝังใจ ซึ่งพวกนี้มันเป็นอารมณ์ที่กรีดแทงใจ เผาลนใจมาก
ถ้าไม่ไหลไป เดี๋ยวก็ลอยไปในอนาคต ไปนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอนาคต คนเราชอบคาดการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต และด้วยความที่มีสัญชาตญาณระแวง
มันเป็นสัญชาตญาณระแวงภัยที่สะสมมา สืบทอด ส่งถ่ายกันมาตั้งแต่สมัยมนุษย์เรายังอยู่ในป่า ยังต้องสู้รบตบมือกับสิงสาราสัตว์ หรือเอาตัวรอด ที่เราเอาตัวรอดมาได้เพราะเรามีความระแวงภัย มันก็เหมือนกับสัตว์นานาชนิดที่รอดมาได้เพราะมันระแวงภัย
สัญชาตญาณเหล่านี้ส่งทอดมาถึงเรา พอเราคาดการณ์ถึงอนาคต มันก็อดไม่ได้ที่จะนึกไปในทางลบทางร้าย ซึ่งถ้าวางใจเป็นก็ดี ทำให้เรารู้จักระมัดระวังป้องกันตัว แต่ส่วนใหญ่พอแค่นึกไปถึงอนาคตในทางลบทางร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานการ เรื่องสุขภาพ เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องคนรัก มันก็อดไม่ได้ที่จะกังวลวิตก สุดท้ายก็เลยเกิดความเครียด
ส่วนใหญ่ความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว เกิดขึ้นเพราะใจที่ไหลไปอนาคต บ่อยครั้งปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไร เราอยู่ในกุฏิก็สบายดี แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยการอยู่กุฏิกลางป่า โดยเฉพาะเวลาค่ำคืน ก็อดไม่ได้ที่จะระแวง คิดนึกไป ปรุงแต่งไป แล้วก็กลัว พอกลัวก็นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ทั้งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เรียกว่าทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องอนาคต ก็คิดเกี่ยวกับเรื่องอดีต
แต่พอเรามีสติ ก็จะรู้ทันความคิดที่มันเผลอไหลไปอดีต ไหลไปอนาคต ก็พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน การเจริญสติบ่อยๆ มันทำให้ใจอยู่กับปัจจุบันได้ต่อเนื่อง อยู่กับเนื้อกับตัว มีความรู้สึกตัว ความคิดก็จะลดลง น้อยลง โดยเฉพาะความคิดเกี่ยวกับอดีตหรืออนาคตในลักษณะที่เป็นความคับแค้นใจ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต หรือว่าความกังวลกับอนาคต
แต่ก็ยังคิด ยังไตร่ตรองเรื่องราวในอดีตได้อยู่ โดยเฉพาะเมื่อคิดอย่างมีสติ เราก็รู้ว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไข เมื่อคิดถึงอนาคตเราก็ไม่วิตกกังวลออกนอกหน้า ทำให้เกิดความเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
บางอย่างก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ความตาย อย่างที่เราได้สวดเมื่อสักครู่ แต่เมื่อเราระลึกนึกถึง เราก็ไม่ได้วิตกกังวลตื่นตระหนกตกใจ เกิดความไม่ประมาท เห็นความจำเป็นของการเตรียมตัว ฝึกจิตฝึกใจให้พร้อมรับมือกับภัยอนาคตที่จะมาถึง ขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์คุ้มค่า ใช้เวลาในปัจจุบันให้ดี
เพราะฉะนั้นพูดโดยสรุปแล้ว ถ้าเราเจริญสติ มีสติ มีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง ใจเราจะสงบเบากว่าแต่ก่อน แม้จะยังมีความคิดมีอารมณ์เกิดขึ้น ก็ไม่ทำร้ายเราอย่างแต่ก่อน ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างผาสุก ได้รู้จักกับคำว่าสงบเย็น เป็นความสงบเย็นที่ไม่ต้องไปปิดกั้นการรับรู้
ไม่ใช่ว่าต้องปิดหูปิดตา เก็บตัวอยู่ในห้อง หรือว่าปิดโทรศัพท์ เก็บตัวอยู่ในป่า อยู่ในวัด ในกุฏิ ไม่ออกไปเกี่ยวข้องกับผู้คน ไม่ใช่อย่างนั้น ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติได้ ยังเจอสิ่งกระทบเหมือนเดิม แต่ว่าเมื่อมีอะไรมากระทบแล้ว ใจก็ไม่กระเทือนเพราะสิ่งที่กระทบ แล้วก็ไม่กระเทือนเพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งกระทบนั้น
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ใจสงบโปร่งเบามากขึ้น ยังไม่เพียงพอเพราะว่าเราสามารถจะทำอะไรได้มากกว่านั้น เมื่อเรารู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์แล้ว ต่อไปเราก็ควรจะรู้ทันกิเลสที่มันอยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์ด้วย
การที่เรารู้ทันความคิดและอารมณ์ แล้วปล่อยวางมันได้ มันก็ดี แต่ว่าตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่เบื้องหลัง มันก็จะปรุงความคิดปรุงอารมณ์อยู่เรื่อย ๆ ถ้าเราเผลอมันก็รบกวนจิตใจ ทำให้เราทุกข์ทำให้เครียด
เพราะฉะนั้นเวลาเจริญสติ นอกจากการรู้ทันความคิดรู้ทันอารมณ์แล้ว ต่อไปเราก็ต้องสามารถจะรู้ทันกิเลสที่อยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์เหล่านั้น เช่น เวลาเราซื้อของแพง แล้วมันมีความรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกเสียดาย ว่าทำไมต้องซื้อของแพงกว่าเขา ทำไมฉันไม่รอซื้อตอนที่มันราคาถูกกว่านี้ มีการโทษตัวเอง
แม้ว่าการเจริญสติช่วยทำให้เราไม่ถูกรบกวนด้วยความคิดและอารมณ์เหล่านั้น แต่ก็น่าจะมองให้เห็นว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังความคิดอารมณ์เหล่านั้น นั่นคือความหวงแหนในเงิน ยึดติดในเงิน ความตระหนี่หรือเปล่า บางทีเราซื้อของแพงกว่าคนอื่นแค่ 10 บาท 20 บาทหรือ 100 บาท แต่ทำไมมันถึงมารบกวนจิตใจ คิดนึกถึงเรื่องนั้นอยู่เรื่อย ๆ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เรายังมีความยึดติดในทรัพย์ มันก็เลยเป็นทุกข์เมื่อจ่ายของแพง
หรือเวลามีคนมาไม่ใช่แค่ท้วงติง อาจจะแนะนำเรา แล้วเราเกิดความไม่พอใจ คิดนึกถึงเหตุการณ์อย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ อันนี้เป็นสัญญาณว่ามันมีกิเลสตัวหนึ่งที่คอยมารบกวน หรืออยู่เบื้องหลัง ชักใยความคิดอารมณ์เหล่านั้น เช่น มานะ
ความรู้สึกว่า กูเก่ง ธรรมชาติของคนเราก็มีตัวนี้ทั้งนั้น เขาเรียกว่าอีโก้ มันทำให้รู้สึกหรือทำให้เกิดความยึดมั่นสำคัญหมายว่ากูเก่ง เพราะฉะนั้นจึงทนไม่ได้ที่มีคนมาแนะนำ ยิ่งมาท้วงติงหรือว่ามาวิจารณ์ ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจะไม่ถึงกับมีความโกรธ แต่มันมีความขุ่นมัวผุดขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ
นึกถึงเหตุการณ์ หรือนึกถึงถ้อยคำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ อันนี้แสดงว่ามันกำลังเป็นสัญญาณบอกแล้วว่า มันมีกิเลสตัวที่ชื่อมานะ คอยรบกวนเรา ซึ่งจะว่าไปก็เป็นของดีที่ทำให้เรารู้ว่ามีกิเลสตัวไหนมาก่อกวน
ถ้าชีวิตเราราบรื่นสบาย ๆ ไม่มีความคิดอารมณ์ใด ๆ รบกวน เราก็อาจจะเกิดความคิดว่าเราไม่มีกิเลสแล้ว แต่ที่จริงมันยังมีอยู่ แล้วมันก็กบดานอยู่ เวลามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น มันก็จะก่อกวนอาละวาด ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ทำให้เรารู้ว่า มีการบ้านที่ต้องทำต่อ
บางคน น้องสาวมายืมเงิน ผลปรากฏว่ามีความขุ่นมัวมากเลย เดินจงกรมคิดแต่เรื่องนี้ ว่าน้องสาวมายืมเงิน แม้จะมีสติเห็นความคิด ความหงุดหงิดไม่พอใจ แล้วก็วางลง แต่ว่ามันก็โผล่มาอีก บางทีเดินจงกรมเป็นชั่วโมง มันก็ยังมารบกวน ถึงแม้ว่าจะไม่มากเหมือนเมื่อก่อน ก็แสดงว่ามันมีความตระหนี่อยู่เบื้องหลัง ที่คอยชักใยความคิดและอารมณ์เหล่านั้น
เวลาเราปฏิบัติต้องมองให้เห็น ไม่ใช่แค่รู้ทันความคิดและอารมณ์ แต่ต้องรู้ทันกิเลส บางครั้งตื่นเช้าขึ้นมาเรานึกแล้ว กังวลว่าวันนี้จะโพสต์อะไรดีขึ้น Facebook Instagram มันไม่ใช่แค่วางแผนธรรมดา แต่มันมีความรู้สึกกังวล หรือความรู้สึกหนักอกหนักใจ อันนี้แปลว่าอะไร แปลว่ามันมีตัวมานะอยู่เบื้องหลัง
อยากมีตัวตนในโลกไซเบอร์ อยากมีอยากให้คนเขาชื่นชมเรา ถ้าวันไหนไม่โพสต์ หรือโพสต์ไม่ดี ก็จะรู้สึกไม่สบายใจ เพราะว่าเรตติ้งน้อย หรือว่ายอดวิวน้อย หรือว่าคนกดไลค์น้อย หรืออย่างน้อยก็ต้องกด ต้องโพสต์มันทุกวัน ให้คนรู้ว่ายังมีเราอยู่ในโลกนี้ อันนี้มันก็ออกมาจากตัวมานะ ที่อยากให้คนให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับ อยากมีตัวตนในโลกเสมือน ไม่ต้องพูดถึงตัวตนในโลกจริง
เวลาเราเดินจงกรมแล้วมันคิดถึงเรื่องงานเรื่องการ งานเรื่องนี้งานเรื่องนั้นผุดขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ มันมีความอารมณ์ในลักษณะที่เป็นความห่วงกังวล ความเครียด แม้เราจะรู้ทันมัน ไม่ปล่อยให้มันรบกวนจิตใจ แต่นี่ก็เป็นสัญญาณว่ามันมีกิเลสตัวหนึ่งที่คอยอยู่เบื้องหลังชักใย ตัวนั้นคืออะไร
ก็คือตัวหน้าตา หรือมานะ อยากให้คนชม แต่ถ้าหากว่างานนั้นมันจะไม่ดี ก็กลัวคนจะไม่ชมเรา หรือว่าไปยึดมั่นถือมั่นกับงานว่าเป็นเรา เป็นของเรา ไปยึดมั่นในหน้าตา ตรงนี้ถ้าเราไม่รู้ทัน มันก็จะรบกวนเราอยู่เรื่อย ๆ
หลายคนเวลาเจริญสติ ก็แค่ทำให้ความคิดและอารมณ์ไม่มารบกวนจิตใจเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าตัวกิเลสก็ยังอยู่พรั่งพร้อมบริบูรณ์ นี่ก็เป็นสิ่งที่หลายคนที่มาปฏิบัติ
คนที่ทำงานเครียด ๆ มากๆ แล้วมาสนใจการเจริญสติ เพราะเขารู้สึกว่าทำให้สบายหายเครียด แต่กิเลสยังอยู่ครบเลย เพราะฉะนั้นถึงจุดหนึ่ง มีความทุกข์มีความเครียด มีความวิตกกังวล สุดท้ายก็ยังไม่สามารถพบความสงบได้ เพราะว่าแม้จะสงบจากความคิด สงบจากอารมณ์ แต่ถ้ายังไม่สงบจากกิเลส มันก็จะหนีความทุกข์ใจไม่พ้น
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ทันกิเลสพวกนี้แล้ว แม้มันจะยังมีอยู่ แต่ว่ามันก็จะมีพิษสงน้อยลง เพราะเรารู้ทันมัน กิเลสพวกนี้มันอยู่ได้เพราะเราไม่รู้ตัว เพราะความหลงของเรา แล้วมันไม่ชอบคือการรู้ทัน ถ้าเรารู้ทันตัวอัตตามานะ หรือว่ารู้ทันตัวโลภะราคะ มันก็จะฝ่อลงไปอย่างรวดเร็ว
ที่จริงทั้งหมดนี้ มันคือตัวที่ท่านเรียกว่าอุปาทาน อุปาทานที่สำคัญ ๆ ก็คือ อุปาทานหรือความยึดมั่นในกาม ในรสชาติเอร็ดอร่อย รูปรสกลิ่นเสียงที่น่าพอใจ รวมทั้งเงินทอง ทิฏฐุปาทาน ความคิดมั่นถือมั่นในความเห็น เวลามีคนที่เขาแย้งเรา เขาเถียงเรา ก็มีความคิดผุดขึ้นมารบกวนอยู่เรื่อย ๆ อันนี้แหละเพราะว่ามีความยึดมั่นถือมั่นในความเห็น
เวลามีคนทำอะไร คิดอะไรแตกต่างจากเรา แล้วเราก็ไม่พอใจขุ่นมัว เพราะคิดว่าเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พอไม่ถูกต้องมาก ๆ ก็กลายเป็นไม่ถูกใจ แล้วที่ตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งคืออัตวาทุปาทาน คือความยึดติดในความเชื่อ หรือความสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวกู ตัวนี้เป็นตัวปรุงแต่งมานะขึ้น ที่มารบกวนชักใยความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่มารบกวนเรา ต้องรู้เท่าทัน
ไม่ใช่แค่รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ แต่รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันอุปาทาน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก
แล้วถ้าเกิดว่าเรารู้เท่าทันตัวกิเลส ตัวอุปาทาน เราก็จะพบกับความสงบเย็นในจิตใจได้มากขึ้น แม้ว่ายังต้องเจอกับอนิฏฐารมณ์ ยังต้องเจอกับคำตอบว่าด่าทอ ยังต้องเจอกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ แต่ใจมันสงบได้ แต่สงบแล้วก็ยังไม่พอ เพราะว่าในการปฏิบัติเพื่อความปกติสุข หรือความพ้นทุกข์ในใจ มันต้องไปให้ถึงขั้นสว่างด้วย ไม่ใช่แค่สงบ
การภาวนาที่ทำให้ใจสงบเราเรียกว่าสมถะ แต่การภาวนาที่ทำให้สว่างเราเรียกว่าวิปัสสนา และการเจริญสติช่วยให้ทำให้เราไม่ใช่แค่ใจสงบ แต่ว่าสว่าง คือเกิดปัญญา ปัญญาที่ว่านี้คือการเห็นความจริงของกายและใจ อันนี้เป็นเบื้องต้นเลย
เห็นว่าความคิดและอารมณ์มันก็ไม่เที่ยง มาแล้วก็ไป ถ้าเราเห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ ความไม่เที่ยงของความคิด เราก็จะเอาเป็นเอาตายกับมันน้อยลง เวลามีความเศร้าโศก ความโกรธ เราก็ไม่ไปเอาเป็นเอาตายกับมัน เพราะเรารู้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เดี๋ยวมันก็หายไป ความเครียด ความตื่นตกใจ ความกลัวก็เหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่รู้ทันธรรมชาติของอารมณ์ แบบนี้เราก็จะปล่อยให้มันครอบงำใจ
เมื่อใดก็ตามที่เรารู้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่เที่ยง มันมาแล้วก็ไป ไม่ใช่แค่อารมณ์ที่เป็นลบ บวกด้วยก็เหมือนกัน เราก็จะไม่เพลินไปกับความดีใจมาก ใครชมอะไรแล้วเราปลื้ม เราก็จะไม่หลงปลื้มกับมันมาก เพราะเรารู้ว่าเดี๋ยวมันก็หายไป ได้โชคได้รางวัลก็ไม่ดีใจกับมันมาก เพราะรู้ว่าดีใจก็อย่างนั้นๆ แหละ เพราะว่าเดี๋ยวมันก็ไป
แต่มันก็ไม่ใช่แค่ความไม่เที่ยง ต่อไปเราก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เวลาเดินจงกรมถ้าเรามีสติ เราเดินอย่างมีสติ เดินด้วยความรู้สึกตัว เราก็จะรู้เลยหรือเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ที่เดินไม่ใช่เราเดิน แต่มันเป็นรูปที่เดิน ที่ยกมือไม่ใช่เรายก แต่มันเป็นรูปที่ยก
แต่ก่อนเคยสำคัญมั่นหมายเป็นเรา ๆ ร่างกายนี้ทำอะไรก็เราทำๆ แต่ตอนหลังนี้มันไม่ใช่แล้ว มันจะเห็นว่าถ้าไม่ใช่รูปทำ ก็เป็นนามทำ รูปทำก็คือเดิน ยกมือ หรือว่าถือแปรงฟัน
ส่วนนามทำก็คือการคิด แต่ก่อนมีความคิดเกิดขึ้นก็ กูคิด เราคิด มีความโกรธเกิดขึ้นก็ กูโกรธ แม้กระทั่งความเจ็บความป่วย ความคันก็แทนที่จะเห็นว่ามันเป็นความเจ็บที่เกิดขึ้นกับกาย ก็ไปคิดว่ากูเจ็บ ก็กลายเป็นว่าไม่ใช่กายเจ็บแล้ว กูเจ็บ ตัวนี้มันเป็นตัวเพิ่มทุกข์ให้มากขึ้น
แต่ถ้าเราเจริญสติรู้กาย ก็จะเห็นว่าที่ทำไม่ใช่เราทำ มันเป็นรูปที่ทำ เวลาเราเจริญสติเห็นความคิดเห็นอารมณ์ เราก็จะรู้ว่า ที่คิดไม่ใช่เราคิด มันเป็นนามที่คิด ความโกรธที่เกิดขึ้นไม่ใช่เราโกรธ มันเป็นแค่ความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ ความดีใจก็เหมือนกัน ไม่ใช่เราดีใจ
เหมือนกับเด็ก 10 ขวบที่บอกอาจารย์ประสงค์ว่า หนูเห็นข้างในมันดีใจ เด็กไม่ได้บอกว่าหนูดีใจ เด็กบอกว่าหนูเห็นข้างในมันดีใจ ความดีใจไม่ใช่ฉัน ความดีใจไม่ใช่ของฉัน มันแค่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ เท่ากับว่าเราได้ขยับเข้าใกล้เรื่องอนัตตา คือการเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา หรือเป็นตัวตน
การเจริญสติ ช่วยทำให้สลายหรือคลายความยึดมั่นในตัวกู แต่ก่อนนี้ไปยึดมั่นว่ากูทำ กูเจ็บ กูปวด แต่ตอนหลังมันจะสลายออกมาเป็นรูป เป็นนาม อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนเวลาท่านพูดถึงการเจริญสติ ท่านก็จะชี้ให้เห็นว่า การเจริญสติ มันทำให้เกิดการถลุง แร่ถ้ามันถูกถลุงเมื่อไหร่ มันก็จะออกมาเป็นส่วน ๆ
ตอนที่เราไม่ปฏิบัติ เราก็จะเห็นว่ามันมีเรา ๆ ตลอดเวลา แต่พอเจริญสติมันก็จะเห็นว่า มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ ไม่มีเรา ซึ่งอันนี้สำคัญมาก เพราะว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะเราไปหลงยึดว่าความโกรธเป็นเรา เราโกรธ ความเศร้าเป็นเรา เราเศร้า ความเจ็บเป็นเรา เราเจ็บ
ถ้าคนเราสามารถที่จะมองให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของรูปกับนาม เวลากายปวด ก็จะปวดแต่กาย ใจไม่ปวด
มีสมัยหนึ่งหลวงปู่บุดดาท่านไปรับนิมนต์ฉันบ้านโยม มีพระหลายรูปไปด้วย ปรากฏว่าอาหารที่ท่านฉันและพระฉัน มีพิษ ปรากฏว่าทุกรูปยกเว้นหลวงปู่บุดดา อาเจียนจนหมดแรง ต้องไปนอนพัก แต่หลวงปู่ท่านอายุมากกว่าใคร ราว ๆ 80-90 ท่านไม่ได้อาเจียนโอ้กอ้าก หรือเพลียเหมือนกับพระรูปอื่น ยังนั่งคุยกับโยม
ท่านคุยด้วยเพื่อให้กำลังใจโยมที่เป็นเจ้าของ บางครั้งท่านจะอาเจียนก็เอากระโถนมาใส่ เสร็จแล้วท่านก็คุยต่อ ลูกศิษย์ก็แปลกใจมาก ว่าหลวงปู่อายุมากแล้ว แต่ทำไมไม่มีอาการเหมือนพระที่หมดสภาพไปเลย หลวงปู่คงมีอะไรดี
หลวงปู่ท่านก็อธิบายว่า ร่างกายเวลามันเจอยาเบื่อยาเมา ก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่ใจมันไม่ได้โดนด้วย อย่าเอามาปนกัน เรื่องของกายเรื่องของใจ หมายความว่าความอ่อนเพลียความทุกข์ที่เกิดขึ้น ท่านตระหนักชัดว่ามันเป็นเรื่องของกาย ใจก็เลยไม่ทุกข์
แต่คนส่วนใหญ่คนทั่วไปก็ไปสำคัญมั่นหมายว่ากูทุกข์ๆ แทนที่จะมองเห็นว่ากายทุกข์ ก็ไปสำคัญมั่นหมายว่ากูทุกข์ พอกูทุกข์ ความทุกข์ก็คูณ 3 คูณ 4 แต่พอเห็นว่ามันเป็นแค่กายทุกข์ ไม่ใช่ใจทุกข์ ที่โดนยาเบื่อนี้คือกาย ใจไม่ได้โดนด้วย ความทุกข์ก็หาร 3 หาร 4 ไปเลย
เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นความจริงว่า แม้กระทั่งตัว มันไม่ใช่เรา มันเป็นรูปเป็นนาม คือเข้าใจเรื่องอนัตตา มันช่วยลดความทุกข์ได้เยอะเลย แล้วต่อไปเราก็จะเห็นว่าจริงๆ แล้ว เหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัย ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ อยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่เกิดขึ้น อยู่ที่การผลักไสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ไม่พอใจ ที่เกิดขึ้น อยู่ที่การไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
พอรู้ตรงนี้ก็ปรับใจให้เป็นกลางต่อสิ่งที่มากระทบได้ ความทุกข์ที่มันเคยเกิดขึ้นเพราะวางใจผิด ก็อาจจะเลือนหายไป อันนี้เรียกว่าเป็นอานิสงส์ของความสว่างที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติ พูดง่ายๆ ก็คือว่ามีปัญญาเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความสงบจากการเจริญสติ
และปัญญาที่เกิดขึ้นมันช่วยถอนรากถอนโคนที่มาแห่งความทุกข์ หรือสมุทัยได้ ยังไม่นับการที่เราได้เห็นว่าเรามีนิสัยใจคออย่างไร บางคนก็เพิ่งมารู้ว่าเป็นคนชอบคิดลบคิดร้าย เป็นคนที่เจ้าอารมณ์ ก็ตอนที่มาปฏิบัตินี่แหละ
ก่อนหน้านั้นไม่รู้ พอมาปฏิบัติก็เห็นความคิดลบคิดร้ายเกิดขึ้น ความขี้อิจฉา หรือความขี้โกรธเจ้าอารมณ์ บางคนตลอดทั้งชีวิตนี้ไม่เคยรู้เลย แต่พอมาปฏิบัติก็เห็นเลย ใหม่ๆ ก็ทำใจไม่ได้ แต่ตอนหลังก็ยอมรับว่าเราก็เป็นปุถุชน
อันนี้คือความจริงขั้นพื้นฐานที่ได้จากการปฏิบัติธรรม แต่ว่าเป็นความจริงที่ยังมีตัวมีตนอยู่ จนกระทั่งปฏิบัติจนเห็นว่าจริงๆ แล้วมันไม่มีเรา มันเหลือรูปกับนาม ตรงนี้จะช่วยลดทอนความทุกข์ได้ มันทำให้เกิดความสว่าง การปฏิบัติมาถึงตรงนี้จึงจะนับว่าเป็นวิปัสสนา ถ้าไม่ถึงตรงนี้มันก็ยังเป็นแค่สมถะ ซึ่งก็ยังมีประโยชน์
ฉะนั้นการภาวนา ก็ขอให้เข้าถึงความสงบ ไม่ใช่สงบเพราะตัดการรับรู้ แต่สงบเพราะรู้ทันความคิดและอารมณ์ แล้วก็ก้าวไปให้ถึงความสว่าง คือปัญญาที่เข้าใจความจริงของชีวิต หรือว่าความจริงเกี่ยวกับรูปและนาม.