พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
เมื่อราว ๆ สัก 50 กว่าปีก่อน มีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งมาฉายในเมืองไทย ดังมากตั้งแต่อยู่ในเมืองนอกแล้ว เพราะว่าดัดแปลงมาจากนิยายที่ดังมาก นิยายเรื่องนั้นชื่อว่า Love Story หนังก็ชื่อเรื่องเดียวกัน
ที่มันดังส่วนหนึ่งก็เพราะว่าการโฆษณาด้วย สมัยนั้นก็โฆษณาทางโทรทัศน์วิทยุ มี สปอต(spot)แล้ว เขาก็เอานักโฆษณามือหนึ่งของเมืองไทยมาบรรยาย มีสองประโยคที่เขานำมาเป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้เรียกว่าติดหูหรือว่าติดใจคนไทยโดยเฉพาะวัยรุ่นในสมัยนั้นมาก
ประโยคที่ว่าคือ หากจะรักก็ต้องลืมคำว่าเสียใจ คนที่อายุพอ ๆ กับอาตมาก็คงจะจำได้ เป็นคำที่คนเอามาพูดถึงโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ความหมายมันก็ตีความแตกต่างกันไป แต่ว่านัยของประโยคนี้คือ ความรักกับความเศร้าโศกเสียใจเป็นเรื่องที่มาคู่กัน เมื่อมีความรักหรือรักใคร มันก็ต้องตามไปด้วยความเสียใจ
แต่ว่าใน spot โฆษณานี้ เขาก็บอกว่าเสียใจก็จริง แต่ให้ลืมซะ อย่าไปคิดถึงมัน ซึ่งที่จริงมันก็คงไม่ใช่วิธีที่ถูก เพราะว่าเมื่อความเสียใจเกิดขึ้นเราก็ต้องเตรียมพร้อมเพื่อที่จะยอมรับมัน
ที่จริงเรื่องความรักกับความเสียใจ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานานแล้ว อย่างมีเรื่องเล่าว่า คราวหนึ่งนางวิสาขาสูญเสียหลานสาวซึ่งโปรดปรานมาก เรียกว่าใกล้ชิดเลยทีเดียว หลานสาวเสียตั้งแต่อายุยังไม่มาก ยังสาวอยู่ นางวิสาขาเสียใจ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็คงหวังว่าจะได้ธรรมะจากพระพุทธเจ้าช่วยให้คลายความเศร้าโศก
พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่า หากมีสิ่งเป็นที่รักร้อย ก็ทุกข์ร้อย หากมีเก้าสิบ ก็ทุกข์เก้าสิบ หากมีแปดสิบ ก็ทุกข์แปดสิบ ไล่ลงไปจนกระทั่งถึงว่า หากมีสิ่งเป็นที่รักสอง ก็ทุกข์สอง หากมีสิ่งเป็นที่รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง หากไม่มีสิ่งเป็นที่รักก็ไม่มีความทุกข์ความเศร้าโศกความเสียใจ
แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสต่อว่า ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์ ความคับแค้นใจ เกิดขึ้นในโลกนี้ได้ก็เพราะอาศัยสิ่งเป็นที่รัก ถ้าไม่มีสิ่งเป็นที่รัก ความโศกความเศร้าเสียใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ บุคคลที่ไม่มีสิ่งเป็นที่รักก็ย่อมไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ เพราะฉะนั้นบุคคลที่ไม่ปรารถนาความเศร้าโศกเสียใจก็ไม่ควรมีสิ่งเป็นที่รัก
อันนี้เป็นคำเทศนาที่ทรงแสดงให้กับนางวิสาขา ตอนหลังก็มีคนนำมาพูดถึงกันจนกระทั่งถึงปัจจุบัน อย่างที่ได้ยินบ่อย ๆ ก็คือว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ที่ว่าทุกข์เกิดขึ้นก็เพราะว่าการมีสิ่งเป็นที่รักนี้ ไม่ว่ามีอะไรก็ตามรวมทั้งสิ่งอันเป็นที่รัก ในที่สุดก็ย่อมสูญไป เมื่อสูญไปก็ย่อมเกิดความเศร้าโศกเสียใจ เป็นธรรมดาของโลก ไม่ว่ามีอะไร สุดท้ายมันก็หมด
ฉะนั้น ถ้าเราไม่อยากทุกข์ไม่อยากเศร้าโศกเสียใจ มีอะไรก็ต้องเผื่อใจไว้หรือเตรียมใจไว้รับมือกับการที่สูญเสียสิ่งนั้น เพื่อว่าพอมันสูญเสียไปจะได้ไม่ทุกข์
มันเป็นธรรมดาของโลก มีกับหมด เป็นของคู่กัน เช่นเดียวกับได้แล้วก็เสีย มีอะไรที่ได้มาก็ต้องเสียสิ่งนั้นไป ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าไม่เป็นเพราะคนขโมยไปหรือว่าไฟไหม้น้ำพัดพาไป มันก็มีอันเสื่อมสลาย ฉะนั้น ถ้าหากว่าได้อะไร แล้วก็ไม่อยากทุกข์ ก็ต้องเตรียมใจพร้อมรับกับการเสียสิ่งนั้น
เจอใครก็ตามโดยเฉพาะคนที่สนิทหรือว่าเป็นที่รัก มันก็ไม่สามารถจะเจอได้ตลอด สุดท้ายก็ต้องจาก อันนี้คือสัจธรรมความจริงของโลก
ฉะนั้น ถ้าหากว่า เมื่อการจากเกิดขึ้นแล้วไม่อยากทุกข์ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเผื่อใจไว้ แล้วก็พร้อมที่จะยอมรับเมื่อการจากได้เกิดขึ้น เช่นเดียวกับพบกับพราก มันก็เหมือนกัน มีพบแล้วก็ต้องมีพราก
มีความสุขกับการได้พบอะไร ถ้าไม่อยากทุกข์เมื่อเกิดการพรากจากกันก็ต้องเผื่อใจเอาไว้ หรือว่าเตรียมพร้อมเพื่อที่จะได้ยอมรับเมื่อการพลัดพรากเกิดขึ้น
คำชื่นชมก็เหมือนกัน ใคร ๆ ก็ปรารถนาคำชื่นชม แต่ถ้าไปยินดีกับคำชื่นชมจนเหลิง พอเจอคำต่อว่าด่าทอ ก็ย่อมทุกข์ย่อมโกรธ ที่จริงถ้าหากว่าเพลิดเพลินหลงใหลในคำชม อย่าว่าแต่คำต่อว่าด่าทอเลย แม้กระทั่งเมื่อคำชมนั้นมันเจือจางลงก็ทุกข์
คำชมสมัยนี้มันก็มาในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น เรตติง เรตติงก็เป็นคำชม หรือว่ายอดไลก์ สมัยนี้รวมถึงยอดวิว (view) ด้วย เวลายอดไลก์ ยอดวิว เรตติงพุ่ง หรือว่า ยอดไลก์เพิ่มขึ้นมาสูง ถ้าไปเพลิดเพลินดีใจกับมัน แล้วก็ลืมเผื่อใจยอมรับ ลืมเผื่อใจไว้ว่าสักวันหนึ่งคำชมก็จะลดลง เรตติงก็จะตก ยอดวิวก็จะหาย ถึงตอนนั้นมาถึงก็จะทุกข์
แต่ถ้าเกิดว่าปรารถนาความชื่นชม ปรารถนายอดไลก์ ปรารถนาเรตติง แล้วถ้าไม่อยากทุกข์แล้วก็ต้องเผื่อใจไว้ หรือว่าเตรียมพร้อมเพื่อที่จะยอมรับเมื่อถึงคราวที่คำชมมันหล่นหาย เรตติงตก ยอดไลก์ตก
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักถึงความจริงอันนี้ มีอะไรก็ไม่เคยนึกเลยว่า สักวันหนึ่งมันจะหมด ได้อะไรก็ยินดีโดยที่ไม่เคยนึกว่า สักวันหนึ่งก็จะเสียมันไป เจอใครพบใครมีความยินดีปรีดา จนลืมไปว่าสักวันหนึ่งต้องพรากหรือต้องจากกัน เวลาได้รับคำชม เรตติงพุ่ง ยอดไลก์เพิ่มก็ดีใจ แต่ไม่ได้เฉลียวใจว่าสักวันหนึ่งมันก็จะแปรเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นก็เลยลงเอยด้วยความทุกข์
แต่ถ้าหากพวกเราได้ตระหนักถึงความจริงอันนี้ ซึ่งมันเป็นสัจธรรม สัจธรรมที่ชื่อว่า อนิจจัง หรือว่า โลกธรรมที่มีขึ้นมีลง เวลาเรามีอะไรเราก็มีด้วยความไม่ประมาท หรือจะเรียกว่า “รู้จักมี” ก็ได้ เพราะเรารู้จักมี เวลาหมดเราก็ไม่ทุกข์ ถ้าเราได้ “เราได้เป็น” เราก็จะไม่ทุกข์เมื่อเสียสิ่งนั้นไป
แต่จะทำอย่างนั้นได้มันต้องมีสติ มีสติมีปัญญาคู่กัน ปัญญาคือความเข้าใจในสัจธรรมความจริงว่า อะไร ๆ ก็ไม่เที่ยง เข้าใจความจริงว่า มีกับหมด ได้กับเสีย เจอกับจาก พบกับพราก เป็นของคู่กัน รวมทั้งคำชมคำสรรเสริญกับคำต่อว่าด่าทอ ถ้าเข้าใจความจริงแบบนี้เรียกว่ามีปัญญา
แต่ถ้าปัญญายังไม่ถึงพร้อม ยังไม่แจ่มแจ้งไปถึงใจ ยังไงมันก็ต้องมีสติ เพราะว่าเวลามีแล้วมันเพลิน เพลินในการมี อาจจะขาดสติ
สติสำคัญคือ มันช่วยเตือนใจให้ระลึกได้ เพราะว่าที่มีในวันนี้ สักวันหนึ่งก็ต้องหมด ที่ได้ในวันนี้ สักวันหนึ่งก็ต้องเสียไป พบกันไม่ว่าวันนี้หรือเมื่อวานนี้ สักวันหนึ่งก็ต้องพราก เจอกันสักวันหนึ่งก็ต้องจากกัน
เพราะฉะนั้นก็อย่าไปดีใจมาก การไม่ดีใจมากก็เป็นการเผื่อใจเอาไว้ เพราะถ้าดีใจมากถึงเวลาเสียใจก็จะเสียใจมาก เพลินกับคำชมก็จะต้องทุกข์เมื่อเจอคำตำหนิ
แต่ถ้าไม่ดีใจมากหรือเฉย ๆ มีก็เฉย ๆ ได้ก็เฉย ๆ ถึงเวลาหมดถึงเวลาเสีย มันก็จะไม่ทุกข์ อะไรที่มันลอยขึ้นสูง ตกมาเจ็บทั้งนั้น ถ้าไม่อยากเจ็บเพราะตก ก็อย่าไปปล่อยให้มันลอยขึ้น ยืนอยู่บนพื้น เดินอยู่บนพื้นดินอย่างนี้ ได้หรือเสียมีหรือหมดก็ยังเหมือนเดิม มีก็ไม่พอใจลอย ได้ก็ไม่เพลิดเพลินเคลิบเคลิ้ม
รวมถึงอย่างอื่นด้วย เช่น อร่อย เจอของถูกใจ ก็อย่าไปยินดีมากเพราะว่ามันเป็นของไม่เที่ยง สักวันหนึ่งก็ต้องเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ เจอความสงบแล้วก็อย่าไปเพลิดเพลินยินดีหลงใหลมันมาก เพราะว่าสักวันหนึ่งมันก็แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นความอึกทึกครึกโครม นี้เป็นความจริงตามหลักอนิจจัง
ฉะนั้น เราเจอสิ่งที่ถูกใจ เจอสิ่งที่น่ายินดี ก็อย่าไปเพลิดเพลินมาก แล้วก็เตือนใจตัวเองว่ามันไม่เที่ยง สิ่งนี้จะเป็นการช่วยทำให้เรามีความพร้อม แล้วก็ยอมรับเมื่อสิ่งต่าง ๆ แปรเปลี่ยนไป
คนเราจะต้องมีความฉลาดในการตระหนักว่า เมื่อเรามีหรือได้อะไร เราต้องเจออะไรในภายหลังหรือภายภาคหน้า วันนี้เรามีความสุข สุขภาพดี แต่เราก็รู้ว่าในภายภาคหน้ามันก็จะแปรเป็นอื่น
อย่างที่เราสวดทุกเช้า เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว เป็นการเตือนใจสำหรับคนที่ยังมีความสุขอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ มีสุขภาพดี มีครอบครัวที่อบอุ่น คนรักยังอยู่พร้อม มีกำลังวังชา กินอิ่มนอนอุ่น ก็ต้องรู้ว่าวันหน้ามันจะไม่ใช่เป็นอย่างวันนี้ วันหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นพรุ่งนี้ อาจจะเป็นอีก 1 ปีข้างหน้าหรืออาจจะเป็นคืนนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
นี้คือสิ่งที่เราต้องเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ เวลาเราได้พบสิ่งดี ๆ เจอสิ่งเป็นที่รัก เจอคนรักหรือว่าเจอสิ่งที่ถูกใจ เราต้องรู้ว่าต่อไปเราจะต้องสูญมันไป อันนี้ไม่ใช่เป็นการมองในแง่ลบแต่เป็นการเตือนให้เราไม่ประมาท เพื่อที่เราจะได้พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งนั้นด้วยใจที่ไม่ทุกข์
แล้ววิธีการที่เราจะไม่ทุกข์ได้คือ การยอมรับ ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของโลก มันเป็นธรรมดาชีวิต มีความสำเร็จวันนี้วันหน้าก็อาจจะเจอความล้มเหลว
ฉะนั้นถ้าเราเตือนใจอยู่เสมอ ถึงเวลาที่มันผันผวนปรวนแปรไปเราก็ไม่ทุกข์ เวลาสูญเสียคนรัก สูญเสียสิ่งที่รักก็จะไม่โศกเศร้าคร่ำครวญมากเพราะว่าเตรียมใจไว้แล้ว หรือว่ายอมรับมันได้ เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดาโลก เขาเรียกว่ารู้เท่าทันความเป็นธรรมดาของโลก
เช่นเดียวกัน เวลาเราเกิดมา เราก็ต้องยอมรับว่า เราไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้ว เราจะอยู่ค้ำฟ้า สักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย คนที่เกิดมาโดยที่ไม่ตระหนักเรื่องนี้เลย มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่คอยเตือนใจว่าสักวันหนึ่งเราก็จะต้องตาย อย่างนี้เรียกว่าอยู่อย่างประมาท เราทำอะไรก็ตาม ต้องรู้ว่าเราจะต้องเจออะไรข้างหน้า
มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาเรียกแท็กซี่เพื่อจะไปวัดพระแก้วเพราะว่านัดกับพี่สาวเอาไว้ แต่ปรากฏว่าเช้าวันนั้นรถติดมาก ขยับเขยื้อนได้ทีละนิด จึงโทรไปเลื่อนนัดพี่สาว บอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะไปถึง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไปได้ไม่ไกล ก็ต้องโทรบอกพี่สาวว่า เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมง แล้วก็โทรไปเลื่อนอยู่หลายครั้ง จนหงุดหงิดหัวเสียมาก
เขาสังเกตคนขับแท็กซี่ไม่มีอาการหงุดหงิดเลย แถมยังเปิดวิทยุฟังเพลง สบายใจ ชายหนุ่มคนนั้นก็เลยสงสัยถาม “พี่ไม่หงุดหงิดเลยเหรอรถติดอย่างนี้” คนขับตอบ “ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม หงุดหงิดรถก็ติดเท่าเดิม”
คำพูดแกดี ความหงุดหงิดไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลย แถมทำให้แย่ลงเพราะทำให้เราเป็นทุกข์ด้วย สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น รถไม่ได้เคลื่อนเร็วขึ้น แถมทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ หลังจากนั้นก็คุยกัน สักพักแกก็เล่าเรื่องตัวแกเองเคยทำงานบริษัท ได้เงินดีแต่ว่าไม่ค่อยมีอิสระ “ผมก็เลยเปลี่ยนมาขับแท็กซี่ มันอิสระดี”
แล้วแกก็พูดประโยคหนึ่งน่าสนใจ “ผมรู้ว่าเมื่อเลือกอาชีพอะไร จะต้องเจออะไรบ้าง เมื่อผมเลือกที่จะขับแท็กซี่ ผมก็ต้องยอมรับว่ารถติดเป็นธรรมดา” คนเราถ้าเลือกจะมีอาชีพอะไร เราก็ต้องรู้ว่าจะเจออะไร เมื่อเลือกที่จะขับรถแท็กซี่ก็ต้องรู้ว่าจะต้องเจอรถติด ฉะนั้นแกจึงยอมรับได้เมื่อเจอรถติด
คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว มีชีวิตในโลกนี้ ก็ต้องรู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง อันนี้เป็นคุณูปการของพระพุทธเจ้าที่บอกให้เรารู้ว่าเราต้องเจออะไร ไม่ใช่ได้เจอแค่สุข เจอทุกข์ด้วย เมื่อเจอสิ่งเป็นที่รัก เจอคนรัก ก็ต้องเจอกับการสูญเสียในที่สุด
อย่างในบทอภิณหปัจจเวกขณ์ ที่เตือนใจเราได้ดี เมื่อเกิดมาแล้วเราต้องเจอกับอะไร 1) เจอความแก่ 2) เจอความเจ็บป่วย 3) เจอความพลัดพรากสูญเสียจากของรัก คนรัก แล้วก็ 4) เจอความตาย
ฉะนั้น ถ้าเราเลือกที่จะมีชีวิต ก็ต้องรู้ว่าจะต้องเจออะไร เหมือนอย่างคนขับแท็กซี่คนนั้น เลือกจะขับแท็กซี่ก็ต้องรู้ว่าต้องเจอรถติด เมื่อเราเลือกที่จะมีอะไรก็ต้องรู้ว่าจะต้องเจออะไร นั่นคือหมด เมื่อเลือกที่จะได้อะไรก็ต้องรู้ว่าต้องเจอกับอะไรนั่นก็คือเสีย เมื่อเลือกที่จะรักก็ต้องรู้ว่าจะต้องเจอกับการสูญเสียคนรัก เมื่อเลือกที่จะมีความคาดหวังก็ต้องพร้อมที่จะเจอความผิดหวัง
ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเราจะต้องเจออะไรแล้วเราพร้อม มันก็ไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่เราไปเพลิดเพลินยินดีกับสิ่งที่ถูกใจ เช่น มี ได้ สำเร็จ คำชม แล้วเราก็ลืมไปว่าเราต้องเจอกับอะไรในภายภาคหน้า อย่างนี้เรียกว่าประมาท หรือว่าเป็นเพราะไม่รู้ความจริงของโลกของชีวิต แล้วก็ลืมตัวด้วย
การไม่รู้ความจริงก็เรียกว่าเป็นความหลง การไม่รู้ตัวหรือลืมตัวก็เป็นความหลงอีกแบบหนึ่ง หลงมี 2 แบบ คือ หลงอย่างแรกคือไม่รู้ตัว หลงอย่างที่สองคือไม่รู้ความจริง
ไม่รู้ตัวก็คือขาดสตินั่นแหละ ฉะนั้นเวลาเราเจออะไรที่ถูกใจ เจอคนรัก เจอของรัก มีสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกใจ ได้สิ่งต่าง ๆ ที่น่าพึงพอใจ เราก็ต้องรู้ว่าเราต้องเจอกับอะไร พอเรารู้แล้ว เราก็ต้องเตือนใจเราอยู่เสมอไม่ให้ไปหลงเพลินกับสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ เพื่อที่ว่าพอสูญเสียมันไป ใจก็จะไม่ทุกข์มาก
เหมือนขับแท็กซี่แม้ว่าจะขับได้ฉลุย เจอทางโปร่งโล่ง แต่ก็รู้ว่าเดี๋ยวไม่นานก็เจอรถติดแล้ว พอเจอรถติดก็ไม่ทุกข์ การที่เราเตือนใจตัวอยู่เสมอถึงความจริงของชีวิต แล้วก็ไม่ปล่อยใจเพลิดเพลินหลงใหลเมื่อเจอสิ่งที่ถูกใจ เช่น ความสำเร็จ คำชื่นชม
การได้พบคนรัก หรือการมีสิ่งที่ถูกใจ เตือนใจตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าไปเพลิดเพลินหลงใหล การที่เรามีสติดูใจของตัวเอง มันช่วย เพราะถ้าเราไม่มีสติดูใจ มันก็จะเพลิดเพลินหลงใหลไปกับสิ่งที่มี สิ่งที่ถูกใจได้ง่าย ๆ จนลืมไปว่าจะต้องเจอกับความสูญเสีย ความพลัดพราก ความผันผวนปรวนแปร และพอเกิดขึ้นแล้วก็ทุกข์
ทุกข์แล้วก็ยังปล่อยให้ความทุกข์มันครอบงำใจ แทนที่จะรู้เท่าทันแล้วก็ปล่อยวาง หรือแทนที่จะรู้เท่าทันแล้วก็ไม่ปล่อยให้มันครองใจ
การรู้เท่าทันธรรมดาของโลก การรู้เท่าทันความจริงของชีวิต และการรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในยามที่เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจมันสำคัญมากเลย แล้วที่จริงมันไปด้วยกัน
เพราะถ้าหากว่าเรามีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อมีเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว ถ้าเราหมั่นดูใจอยู่เสมอ เราก็จะรู้ว่า กายและใจมันก็ไม่เที่ยง แล้วเราก็จะรู้ต่อไปว่า มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ต่อไปมันก็จะทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ตอนนี้ สิ่งที่ถูกใจก็ดี มันก็ไม่เที่ยง แล้วก็ไม่ใช่ของเรา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น พอมันแปรเปลี่ยนไปก็ไม่ทุกข์ ถึงยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ พอมันแปรเปลี่ยนไป แม้จะทุกข์แต่ว่าเตรียมใจเผื่อใจไว้แล้ว มันก็ทุกข์น้อยฃ
ขณะเดียวกันความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจก็รู้ทัน ไม่ปล่อยให้มันครองใจ รู้จักรับมือกับมัน ไม่ยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา มีความเศร้ามีความทุกข์มีความเสียใจแต่ว่ามันก็ทำอะไรใจไม่ได้ อันนี้เรียกว่ารู้เท่าทันจิตใจของตน
ถ้าเรารู้เท่าทันธรรมดา ทั้งธรรมดาของโลกและธรรมดาของใจ เราก็อยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความทุกข์น้อย สามารถจะเผชิญกับความผันผวนปรวนแปรต่าง ๆ ได้ แม้เวลามีความรักมันก็ไม่จำเป็นต้องลืมคำว่าเสียใจก็ได้ เพราะว่ามันพร้อมที่จะเจออยู่แล้ว ถ้าสมัครใจที่จะเลือก
มีสิ่งเป็นที่รักมันก็พร้อมที่จะเจอกับความเศร้าโศกเสียใจเมื่อพลัดพรากสูญเสีย หรือไม่เช่นนั้นก็รู้ว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับมันมาก อันนี้เรียกว่าเป็นการรู้เท่าทันธรรมดา ซึ่งจำเป็นมากกับการอยู่ในโลกนี้อย่างไม่ทุกข์.