พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 31 ตุลาคม 2567
เวลาเราไปที่ไหนนาน ๆ ไม่ว่าจะไปทำธุระ ไปเที่ยว รวมทั้งไปปฏิบัติธรรม มักจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับเราคือคิดถึงบ้าน อันนี้เป็นความรู้สึกที่หลายคนคุ้นเคย เวลาใจเราไปเที่ยวล่องลอยไปที่ไหน ๆ ก็น่าจะดีถ้าหากว่าใจคิดถึงบ้านอยู่บ่อย ๆ
บ้านในที่นี้ก็หมายถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ถ้าใจคิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน มันจะกลับมาเลย กลับมาอยู่กับสิ่งที่ทำ กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว จากเดิมที่ใจลอย คิดโน่นคิดนี่ ก็จะกลายเป็นความรู้สึกตัวขึ้นมา
ให้เราลองสังเกตเวลาใจลอย คิดเรื่องงานเรื่องการก็ดี คิดถึงคนที่รักคนที่ห่วงใยก็ดี คิดถึงเรื่องเที่ยวเรื่องสนุกก็ดี ถ้าหากว่าใจเราคิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันในขณะนั้น ๆ มันจะกลับมาเลย
ซึ่งต่างจากเวลาตัวเราไปเที่ยวแล้วเกิดคิดถึงบ้านขึ้นมา มันก็ได้แต่คิดถึงบ้านแต่ว่าตัวก็ยังอยู่ที่เดิม แล้วก็อาจจะยังมีความทุกข์เพราะว่าโหยหาบ้านถึงแม้จะไปเที่ยวก็ตาม แต่เวลาใจของเราท่องเที่ยวล่องลอยไปที่ไหนก็ตาม ทันทีที่คิดถึงบ้าน คิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันกลับมาเลย แล้วก็จะเกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจเราอยู่บ่อย ๆ แม้กระทั่งขณะที่เราสวดมนต์เมื่อสักครู่นี้ เราสวดมนต์ครึ่งชั่วโมงแต่ว่าใจลอยนี่อาจจะไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาที่สวดมนต์โดยเฉพาะคนที่สวดมนต์ได้คล่อง แต่ว่ามันจะไม่ลอยไปนาน สุดท้ายนี่มันก็จะคิดถึงหรือระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วใจก็จะกลับมาเลย
นี่คือภาวะของจิตที่เราควรทำให้เกิดมีขึ้นบ่อย ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องอาศัยความตั้งใจด้วย ตั้งใจว่าถ้าทำอะไรอยู่ก็ตาม หากใจลอยไป ก็จะกลับมาระลึก ด้วยความระลึกได้ถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่
แต่ก่อนไม่มีความคิด ไม่มีความตั้งใจอย่างนั้น มันก็ลอยไปเรื่อย แต่พอเราเห็นประโยชน์ของการที่ใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นนี่มันมีประโยชน์หลายอย่างทีเดียว ทำให้ใจเราปลอดโปร่ง
ถ้าหากว่ากำลังเครียดเพราะนึกถึงงาน ถ้าหากว่ากำลังกลุ้มเพราะกำลังคิดถึงคนรักที่กำลังมีปัญหา หรือรู้สึกห่วงใยลูกในยามที่เราห่างไกลเขาโดยที่เราก็ทำอะไรไม่ได้ เกิดความเครียดขึ้นมา แต่พอใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ความรู้สึกกังวล ความรู้สึกเครียด ความรู้สึกหนักอกหนักใจ มันก็หายไปเลย
ฉะนั้นที่เรามาฝึกกันที่นี่ ก็ฝึกเพื่อให้ใจระลึกได้ไวในสิ่งที่กำลังทำอยู่ สิ่งที่ช่วยทำให้ใจระลึกได้ไวก็คือสติ สติคือความระลึกได้ เราใช้สติในการระลึกได้ หรือนึกถึงสิ่งที่ผ่านหูผ่านตา สิ่งที่เป็นอดีตมาบ่อยแล้ว มาโดยตลอดก็ว่าได้ แต่ว่าการใช้สติเพื่อระลึกได้ว่า กำลังทำอะไรอยู่เราไม่ค่อยใส่ใจกันเท่าไหร่ ผลก็คือเราใจลอยไหลไปตามความคิดจนบางทีหยุดไม่ได้ หรือกว่าจะหยุดนี้ก็ล้า กว่าจะหยุดก็เรียกว่าผ่านไปครึ่งคืนแล้ว นอนไม่หลับ
คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะความคิดหมายความว่า คิดในเรื่องที่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์ ที่จริงความคิดมันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ถ้าเรารู้ทันมัน ปัญหาคือว่าเราไม่ค่อยรู้ทันความคิดเท่าไหร่ ก็เลยปล่อยให้ความคิดลากลู่ถู พาใจไปไหนก็ไม่รู้ ภาวะบางอย่างเราก็เรียกว่าเกิดการใจลอย
แล้วพอเราไม่รู้ทันความคิดเราก็หลงเข้าไปในความคิด พอหลงเข้าไปในความคิดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะลืมไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ ลืมไปว่ากำลังสวดมนต์ ลืมไปว่ากำลังฟังคำบรรยาย หรือว่าบางทีลืมไปว่ากำลังขับรถด้วยซ้ำ
เคยมีโยมคนหนึ่งอาสาพาพระไปส่งที่วัดเพราะว่าไปทางเดียวกับบ้านของตัว ก็ขับอยู่นานทีเดียว ส่วนหนึ่งเพราะรถติดด้วย คือเกือบชั่วโมงได้ เสร็จแล้วพอใกล้ถึงวัดแทนที่จะเลี้ยวซ้ายก็ตรงไป พระก็เลยถามว่าโยมจะไปไหน โยมก็ตกใจเลย เพราะแกลืมไปเลยว่ามีพระอยู่เบาะหลัง
ตอนนั้นโยมตั้งใจว่าจะขับรถกลับบ้านเพราะลืม ลืมพระ ทำไมถึงลืม เพราะใจลอย พอขับรถก็เลยนึกถึง แต่ว่าจะขับรถไปบ้านของตัว ตอนไปครึ่งทางยังจำได้ว่ามีพระอยู่เบาะหลัง แต่ว่าพอคิดไปโน่นคิดไปนี่เนื่องจากรถติด คิดถึงงานคิดถึงการต่าง ๆ มันลืมไปเลย ลืมไปเลยว่านิมนต์พระนั่งรถเพื่อพาไปส่งวัด
แต่บางทีก็มีอีกแบบหนึ่ง ก็คือว่านิมนต์พระจะไปส่งที่วัด แต่พอถึงทางแยกแทนที่จะตรงไปก็เลี้ยวซ้าย พระก็ถามว่า นี่โยมจะไปไหน จะขับรถไปไหน ก็ไปส่งท่านอาจารย์ไงครับ วัดอาตมานี่มันตรงไปนะ ไม่ใช่เลี้ยวซ้าย โยมก็ตกใจเลยเพราะว่าที่เลี้ยวซ้ายคือทางไปบ้าน ไม่ได้ลืม ไม่ได้ลืมพระว่าพระอยู่เบาะหลัง
แต่ว่าด้วยความที่ใจลอย พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านหรือทางแยกเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านนี่ก็ทำไปอัตโนมัติเลย ตั้งใจว่าจะพาพระไปส่งวัด ปรากฏว่าลืมไป กลับบ้านเลย หรือว่าพาไปทางที่คุ้นเคย เพราะตอนนั้นลืม ลืมตัว ก็เลยทำตามความเคยชิน เคยกลับบ้านทางนี้ก็เลยเลี้ยวซ้ายทันทีที่เห็นทางแยก
อันนี้ก็เป็นเพราะว่า การหลงเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในความคิดก็เลยลืม ไม่ใช่ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่เท่านั้น บางทีก็ลืมว่าพาคนมาด้วย ยังดี บางทีลืมลูก อย่างผู้หญิงคนหนึ่งนี่จะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า กลางวันที่บ้านไม่มีใครอยู่ เผอิญมีลูกเล็กแค่ขวบเดียว ก็ต้องเอาลูกขึ้นรถมาด้วย ลูกก็นั่งอยู่เบาะหลัง มีเบาะพิเศษ
พอขับรถมาถึงศูนย์การค้ามันมีลานจอดรถโล่ง ๆ แบบบิ๊กซีอย่างนี้ ก็จอด แล้วก็ลงจากรถเลยเพื่อไปซื้อของในห้าง ลืมลูกไปเลย ทิ้งลูกไว้ในรถ เพราะอะไร เพราะใจลอยคิดถึงเรื่องงานการบ้าง คิดถึงเรื่องว่าจะซื้อของอะไรบ้าง เพราะว่ามันจะมีงานเลี้ยงที่บ้านตอนค่ำ อันนี้เรียกว่าหลงเข้าไปในความคิด พอหลงเข้าไปในความคิดมันก็ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ บางทีก็ลืมข้าวลืมของ ลืมแว่นตา ลืมโทรศัพท์ หนักกว่านั้นคือลืมลูก แล้วเด็กนี่อยู่ในรถกลางวันแสก ๆ ไม่มีร่ม ไม่มีชายคาที่จะบังรถเลยนี่จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น ก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นมาได้
ฉะนั้นการที่ปล่อยใจลอยจนลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ใจไม่รู้จักกลับมายังสิ่งที่กำลังทำอยู่เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว หรือรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นี่บางครั้งมันก็ก่อให้เกิดความเสียหายที่มากมาย อย่างน้อย ๆ ก็ทำอะไรก็ทำแบบผิด ๆ ถูก ๆ ซึ่งเกิดขึ้นกับเราบ่อย เพราะว่าใจลอย แต่ถ้าเราฝึกใจให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาสู่สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นน้อย
คนเรามันก็คงยากที่จะไม่ให้ใจลอยใจเผลอไผลไปคิดโน่นคิดนี่ นี่เป็นธรรมดาของจิต เพราะจิตมันชอบเที่ยว แต่สิ่งที่เราทำได้ง่ายกว่าก็คือกลับมา พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน อะไรพาใจกลับมา คือสติ สติช่วยทำให้ใจนึกได้ นึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เรียกว่าทำให้ใจนี่มันนึกถึงบ้านได้เร็ว บ้านในที่นี้ก็หมายถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน
คราวนี้การที่ใจมันหลงเข้าไปในความคิด นอกจากมันทำให้ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ลืมสิ่งที่กำลังทำในปัจจุบัน ทำให้ทำผิด ๆ ถูก ๆ หรือทำให้เกิดปัญหาตามมาแล้ว สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือว่าเกิดอารมณ์ เพราะความคิดกับอารมณ์นี่มันมาด้วยกัน
คิดถึงคนรักที่ตายจากไปก็เกิดความเศร้า คิดถึงเงินที่หายก็เกิดความเสียดาย อาลัย เสียใจ คิดถึงคนที่เขาต่อว่าด่าทอเราก็เกิดความโกรธ คิดถึงงานการที่ยังค้างคาอยู่ก็เกิดความกังวล เกิดความเครียด ความคิดกับอารมณ์มันมาด้วยกัน คิดถึงขนมหวานก็ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน คิดถึงโชคลาภที่จะเกิดขึ้นก็เกิดความดีใจ
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะคิดถึงเรื่องที่มันทำให้เกิดความโกรธ ความเศร้า ทำให้เกิดความวิตกกังวล ทำให้เกิดความเครียด ไอ้พวกนี้แหละคือตัวการที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ โดยเฉพาะเมื่อมันมีอารมณ์เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ทันอารมณ์นั้น ก็เข้าไปยึดอารมณ์นั้น หรือก็หลงเข้าไปในอารมณ์ พอหลงเข้าไปในอารมณ์แล้ว อารมณ์มันก็จะครองจิตครองใจ โดยเฉพาะถ้าเป็นความโกรธนี่มันก็สามารถจะสั่งให้เราทำในสิ่งที่เลวร้ายได้ เช่น ต่อว่าด่าทอ หรือบางทีเกิดการทำร้ายกัน
พ่อคนหนึ่งมีลูกวัยรุ่น ลูกตอนที่ยังเด็ก ๆ นี่ก็น่ารักดีแต่พอวัยรุ่นแล้วก็เริ่มเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งในสายตาของพ่อนี่ก็คือเกเรเลยแล้วก็ดื้อ กลับบ้านดึก เรียนก็ไม่ค่อยเรียน ชอบแวบไปหาเพื่อน พ่อห้ามก็ไม่ฟัง กว่าจะกลับบ้านก็ดึก การเรียนก็แย่ ตอนหลังพ่อก็เลยห้ามเลย ห้ามไปหาเพื่อนกลางคืน มีคืนหนึ่งลูกไม่เชื่อฟังพ่อ ไปหาเพื่อน แถมเอารถของพ่อนี่ขับไปด้วย พ่อรู้เข้านี่โมโหมาก ตามไปบ้านเพื่อน เรียกกลับมา มาถึงบ้านก็ทะเลาะกัน ทะเลาะกันอย่างหนัก
พ่อก็คงจะด่าว่าลูก ลูกก็ตอบโต้ สวน พ่อโมโหมากเลย ลูกทำไมถึงวาจาหยาบคายแบบนี้ เถียงพ่อ ด่าพ่อ ปรากฏว่าไปคว้าปืนขึ้นมายิงลูก ยิงลูกตายด้วยความโกรธ พอตายนี่ก็ตกใจว่า ฉันทำอะไรนี่ ด้วยความลืมตัว ด้วยความเสียใจก็เลยยิงตัวเองตายไปอีกคน อันนี้เพราะความโกรธแท้ ๆ โกรธจนลืมตัว แล้วพอลืมตัวเราก็สามารถที่จะทำร้ายคนที่ตัวเองรักได้ ไม่ใช่พ่อเท่านั้นที่ฆ่าลูก บางทีลูกก็ฆ่าพ่อ
อย่างหลวงพ่อคำเขียนเคยเล่า ลูกชายมีเมีย เมียกับพ่อไม่ถูกกัน ทะเลาะกันเป็นประจำ วันหนึ่งลูกชายไปทำนา เมียขี่มอเตอร์ไซค์มาร้องห่มร้องไห้บอกว่าถูกพ่อด่า ลูกคงจะเคยว่ากล่าวพ่อไปหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำอย่างนั้น แต่ว่าพ่อนี่ พอเมียมาพูดอย่างนี้ลูกชายก็โกรธมาก ตอนนั้นมีปืนอยู่ แล้วก็เอาปืนขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาพ่อ พ่อนี่ก็ ตอนนั้นก็กำลังสานกระบุงตะกร้าอยู่ ตรงเข้าไปหาพ่อพร้อมกับเอาปืนจ่อ พ่อบอก อย่ายิง ๆ ๆ ลูกก็ไม่ฟัง ยิงพ่อตาย พอยิงพ่อตาย ตกใจ กูทำอะไรนี่
ตอนนั้นทำไมถึงทำอย่างนั้น ลืมตัวไง ลืมตัวเพราะอะไร เพราะหลงเข้าไปในความโกรธ ความโกรธมันสั่งให้ยิงพ่อ ก็ทำตามด้วยความไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ในภาวะตอนนั้นมันลืมเลยว่า พ่อลูกนี่มันไม่มีแล้ว ลืมความเป็นพ่อ ลืมความเป็นลูก น่ากลัวมากคนเรานี่เวลาหลงเข้าไปในอารมณ์นี่ อันนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่า เศร้าโศกเสียใจดำดิ่งอยู่ในความทุกข์จนกระทั่งฆ่าตัวตาย ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือเพราะว่าอะไรก็แล้วแต่ นี่ก็เหมือนกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เริ่มต้นจากการที่ปล่อยใจลอย คิดสารพัด จนกระทั่งดำดิ่งเข้าไปในอารมณ์
ทั้งหมดนี้เริ่มจากการที่ไม่มีสติ ไม่มีสติรู้ทันความคิด ปล่อยให้หลงเข้าไปในความคิด แล้วสุดท้ายก็หลงเข้าไปในอารมณ์ มันน่ากลัวมากไอ้การที่ขาดสติ เพราะว่าอารมณ์นี่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วเวลาเราเผลอคิดไป แต่ถ้าเรามีสติแล้วมันก็จะไม่จมเข้าไปในความคิดจนกระทั่งหลุดเข้าไปในอารมณ์
ฉะนั้นการที่เรามาฝึกสติกันนี่มันถือว่าเป็นการสร้างต้นทุนให้กับชีวิตที่สำคัญ จะเรียกว่าเป็นการฝึกวิชาชีวิตที่สำคัญก็ได้ ไอ้วิชาชีพนี่หรือวิชาการต่าง ๆ เราก็เรียนมาเยอะแล้ว แต่ว่าวิชาชีวิตนี่มันเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ แล้วไม่ใช่เรียนรู้จากการอ่าน จากการคิด หรือแม้แต่จากการฟัง แต่จะต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติ ให้มีวิชาติดตัว วิชานี่ก็คือวิชารู้สึกตัว
สติมันทำให้เรารู้สึกตัวได้ไว ทำให้ใจไม่หลงเข้าไปในความคิด อาจจะหลงแต่ว่าถอนออกมาได้ไว หรือว่าปล่อยวางความคิดได้เร็ว พอปล่อยวางความคิดได้เร็วการที่มันจะถลำดิ่งจมลงไปในอารมณ์มันก็ยาก หรือถึงแม้อารมณ์จะเข้ามาครอบงำแต่ว่ามันก็ไม่สามารถจะบัญชาบงการให้เราพูดหรือทำอะไรในสิ่งที่เกิดความเสียหาย เกิดโทษในภายหลัง เพราะว่ามีสติเป็นเครื่องยับยั้ง มีความรู้สึกตัวที่ช่วยทำให้ปลดเปลื้องใจออกจากอารมณ์ได้
แล้วการเจริญสติมันก็ไม่ได้ยากอะไร มันไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายจากเรา มันไม่ต้องการเวลาพิเศษว่าจะต้องมาเวลานี้ ว่าปฏิบัติเวลานี้ ไม่ต้องการสถานที่ที่พิเศษ ใหม่ ๆ สำหรับผู้ที่เป็นผู้เริ่มต้นหรือต้องการฝึกให้คล่องแคล่วชำนาญก็อาจจะต้องหาเวลามาปฏิบัติอย่างเต็มที่ เข้มข้น
อย่างมาปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่ว่าแม้จะอยู่ที่บ้านก็ทำได้ แม้ว่าจะทำงานก็ทำได้ เพราะว่าเราเพียงแต่ว่าใช้เวลาที่มีอยู่ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนถึงเข้านอน ทั้งวันนี่เราทำอะไรสารพัด แต่สิ่งที่เราทำนี่ถ้าเราทำด้วยความรู้สึกตัว ทำอย่างมีสติ มันก็เป็นการปฏิบัติไปในตัวแล้ว
หลักมันก็มีง่าย ๆ ก็คือว่า ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น ทำอะไรด้วยใจเต็มร้อย เวลาตื่นขึ้นมาเก็บที่นอน เอ้า ใจก็อยู่กับการเก็บที่นอน เก็บที่นอนอย่างมีสติ มีสติหมายความว่าเวลามันเผลอคิดไปโน่นนี่ก็ให้ใจระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่แล้วกลับมา
ใหม่ ๆ มันก็จะระลึกได้ช้า ใจลอยไปไกลแล้ว ทำเกือบจะเสร็จแล้วค่อยนึกขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่เป็นไร พอเราลุกขึ้นไปล้างหน้า เราก็ตั้งสติใหม่ เดินไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว แต่พอถูฟันได้ประเดี๋ยวเดียว ไปอีกแล้ว อันนี้ธรรมดาเพราะมันเป็นนิสัย
แต่พอเราตั้งใจว่า ให้ใจมันระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ประเดี๋ยวมันก็จะกลับมา แล้วทำอย่างนี้บ่อยขึ้น ๆ มันก็จะกลับมาได้เร็วเข้า ๆ นี่เป็นการฝึกในชีวิตประจำวันนอกเหนือจาการฝึกในรูปแบบ
ฉะนั้นถ้าเรามาวัดแม้จะไม่ได้ฝึกในรูปแบบ ไม่ได้เดินจงกรม ไม่ได้สร้างจังหวะ แต่เวลาเราเดินไปที่ศาลาหน้าเพื่อกินข้าว หรือเวลาที่เรากินข้าว เราก็ทำอย่างมีสติเท่าที่เราจะทำได้ ใจมันลอยอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราตั้งใจว่าจะให้รู้เนื้อรู้ตัวขณะที่กินข้าว ประเดี๋ยวมันก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราตั้งใจอะไรไว้ มันก็จะกลับมา แล้วมันจะกลับมาเร็วขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
ทำอย่างนี้ทั้งวัน สติเราก็จะมีความคล่องแคล่วปราดเปรียวมากขึ้น แต่ว่ามันคงจะไม่ได้เห็นผลชัดเจนภายใน 1 วัน แต่ถ้าทำหลายวันก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับใจของเราเมื่อมีสติ ให้ทำด้วยความรู้สึกสบาย ๆ ไม่ต้องเคร่งเครียด ไม่ต้องคิดจะเอาชนะจิตด้วยการควบคุมไม่ให้มันคิด มันจะไปอย่างไรก็เราห้ามไม่ได้แต่ว่าเราจะฝึกให้มันกลับมา
ถ้าเราฝึกให้กลับมาอยู่บ่อย ๆ ใจก็จะมีความรู้สึกตัวได้ไว พอเรารู้สึกจะได้ไว เราก็จะพบว่าความทุกข์นี่มันลดน้อยลง เพราะว่าพอรู้สึกตัวได้ไวการที่มันจะจมเข้าไปในความคิด ถลำเข้าไปในอารมณ์ก็จะน้อยลง และทุกข์เพราะความคิดมันก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ หรือว่าทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ได้
ถ้าเราเข้าใจคุณค่าของสติ ความรู้สึกตัว และรู้หลักในการปฏิบัติ มันก็จะไม่ใช่เรื่องยาก.