พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 29 ตุลาคม 2567
ชายคนหนึ่งดีใจมากเมื่อรู้ว่าภรรยาตั้งครรภ์ ก็ดูแลเอาใจใส่ภรรยาอย่างดีเลย จนกระทั่งเมื่อภรรยาใกล้คลอด ก็เตรียมตัวอย่างดี สำรวจเส้นทางที่จะขับรถพาภรรยาไปคลอดที่โรงพยาบาล วางแผนว่าจะเอารถคันไหนพาไป ต้องเอาของที่จำเป็นอะไรไปบ้างติดรถ ใกล้วันคลอดก็เติมน้ำมันเต็มถังเลย
จนถึงใกล้วันจะคลอด ภรรยาก็บอกสามีว่าใกล้จะคลอดแล้ว สามีก็บอกภรรยาว่าอย่าตกใจนะ ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผมวางแผนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว แล้วพอเวลานั้นมาถึง ชายคนนี้ก็รีบขับรถไปโรงพยาบาลทันทีเลย ขับรถเร็วมาก
พอถึงโรงพยาบาลถึงรู้ว่าไม่ได้พาภรรยาขึ้นรถมาด้วย ตกใจรีบขับรถกลับบ้าน ก็พอดีสวนทางกับรถพยาบาลที่พาภรรยาไปส่งโรงพยาบาล
คนเป็นสามีบอกภรรยาว่าอย่าตกใจนะ ผมเตรียมพร้อมแล้ว แต่พอถึงเวลาคนที่ตกใจลนลานก็คือสามี อุตส่าห์ขับรถอย่างด่วนจี๋ไปโรงพยาบาล ปรากฏลืมทิ้งภรรยาไว้ที่บ้าน ทั้งที่เตรียมทุกอย่าง แต่สิ่งที่ไม่ได้เตรียมคือเตรียมใจ
เตรียมวางแผนว่าจะใช้ถนนเส้นไหนพาภรรยาไปโรงพยาบาล จะขนจะเอาของอะไรติดรถไปด้วย เติมน้ำมันเต็มถัง เตรียมพร้อมทุกอย่าง แต่ว่าสิ่งที่ไม่ได้เตรียมก็คือการเตรียมใจ พอถึงเวลาภรรยาใกล้คลอด ปวดท้อง ก็ตกใจ แล้วทำตามแผนทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว คือลืมพาภรรยาขึ้นรถมาด้วย
อันนี้ก็เป็นเรื่องจริงของดาราชื่อดังคนหนึ่งของฮอลลีวูด เจมส์ สจ๊วต ซึ่งดังมากเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจมส์ สจ๊วต ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า คนเรานี้แม้จะเตรียมอะไรต่ออะไรมามากมาย แต่ถ้าไม่ได้เตรียมใจ หรือฝึกใจเอาไว้นี่ สิ่งที่วางแผนเอาไว้ก็แทบจะไร้ค่า
เหมือนกับคนที่เตรียมตัวสอบ ไม่ว่าจะเป็นการสอบไล่ หรือว่าสอบสัมภาษณ์ เตรียมมาอย่างดีทุกอย่างเลย จะอ่านหนังสือเล่มไหน มีการเดาวางแผน ดักล่วงหน้าว่าเขาจะออกข้อสอบเรื่องอะไร แต่พอถึงวันสอบ ไปห้องสอบ ปรากฏว่าตกใจหรือเครียด แล้วพอเข้าไป สอบได้ไม่นานก็ตอบไม่ได้ เป็นอย่างนี้กันเยอะ
เตรียมตัวมา เตรียมตัวสอบเป็นเดือนเลย อ่านหนังสือ อ่านตำรา แต่ว่าลืมเตรียมใจ พอเข้าห้องสอบก็เกิดความตื่น เรียกว่าตื่นสนาม หรือบางทีก็เครียดวิตกกังวล เพราะว่าคาดหวังสูงกับผลการสอบ สุดท้ายก็สอบไม่ได้ ได้คะแนนไม่ดี
อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นนักเรียนที่เรียกว่าขยันมาก แล้วก็ฉลาดตั้งแต่เรียนที่โรงเรียน พอไปเรียนที่อังกฤษก็เรียกว่าผลการเรียนดีเยี่ยม ฝรั่งสู้ไม่ได้ คนถามว่าเคล็ดลับของอาจารย์ป๋วยคืออะไร
แน่นอนนะว่าอาจารย์ป่วยก็เตรียมตัวตั้งแต่เปิดเทอมใหม่ ๆ ก็เตรียมตัวแล้วนะว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหน เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่ว่าไปตายเอาดาบหน้า แต่พอถึงวันสุดท้ายก่อนจะสอบ หนังสือหนังหาอาจารย์ป๋วยเลิกอ่านเลย ไม่อ่าน แต่ว่าไปเดินเล่นในสวน บางทีก็เล่นดนตรี หรือไม่รู้ว่าไปดูละครด้วยหรือเปล่า ที่อ่านหนังสือมาอย่างต่อเนื่องเป็นเดือน ๆ นี้ เลิกเลย หยุด วันสุดท้ายไม่แตะหนังสือเลย เพื่ออะไร
เพื่อทำให้ใจผ่อนคลาย สมองโล่งโปร่ง ก็เลยทำให้เวลาสอบนี่ก็ได้คะแนนดี เรียกว่าฝรั่งเองก็สู้ไม่ได้ อันนี้ก็แสดงว่าอาจารย์ป๋วยไม่ได้เตรียมตัวด้วยการอัดข้อมูลลงไปในหัวเท่านั้น แต่ว่าเตรียมใจด้วย เพราะรู้ว่าสอบจะได้ผลดีหรือไม่ อยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีความรู้มากแค่ไหน ความรู้เยอะอัดแน่นอยู่ในหัว แต่พอถึงเวลาสอบ เครียดวิตกกังวล ตื่นสนาม ก็สอบไม่ได้
แต่ที่จริงการเตรียมจิตเตรียมใจ นอกจากการทำใจให้ผ่อนคลายแล้ว ที่สำคัญก็คือการเตรียมจิตเตรียมใจให้มีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น บางครั้งสิ่งที่เราวางแผนเอาไว้ แม้จะวางแผนไว้ดีแต่พอเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ปรากฏว่าตื่นตกใจ หรือว่ามีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น แต่ถ้าเราฝึกสติ หรือฝึกจิตเอาไว้ มันก็ทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
หลายคนรู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องเจ็บป่วย ก็ไม่รอให้แก่ชราก่อน เตรียมตัว เตรียมเรื่องประกันภัย เตรียมเงินเตรียมทอง เตรียมหลายอย่าง แม้กระทั่งหยูกยา พยายามหาความรู้เกี่ยวกับโรคภัยต่าง ๆ รวมทั้งติดต่อหมอที่จะช่วยดูแล หา โรงพยาบาลที่จะเลือกว่าอยู่โรงพยาบาลไหน แต่พอเกิดเจ็บป่วยจริงปรากฏว่า มารู้ว่าสิ่งที่ไม่ได้เตรียมเลยคือเตรียมใจ เตรียมสติเอาไว้ เพราะว่าพอป่วยเข้าจริง ๆ ก็ทุกข์ทรมานมาก ทั้งความกลัว ทั้งความวิตกกังวล
บางคนแม้จะสนใจธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะมาเยอะ ฟังธรรมะมามาก เกี่ยวกับเรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต ความไม่เที่ยงของสังขาร แล้วคิดว่ามีความรู้ทางด้านธรรมะพอตัวที่จะรับมือกับความเจ็บป่วยได้ แต่พอป่วยหนักๆ เข้า ปรากฏว่าธรรมะที่เรียนรู้มา อ่านมาฟังมา เอามาใช้ได้น้อยมาก เรียกว่าเอาไม่อยู่
ทุกข์ทรมานมาก เพราะว่าสิ่งที่เราคาดการณ์มันเป็นแค่ความคิด มันไม่ใช่ความจริง พอเจอความจริงเข้าไป มันเอาไม่อยู่ ความรู้ที่มี สิ่งที่เตรียม สิ่งที่วางแผนเอาไว้ แต่สิ่งที่จะช่วยได้คือสติ ถ้ามีสติก็สามารถจะช่วยทำให้รับมือกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่เตรียมมาก่อน สิ่งที่เตรียมมาล่วงหน้าก็มีประโยชน์ แต่ว่ามันไม่สามารถที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ได้ เพราะเวลาเจ็บป่วย หรือเจ็บปวดนี้ บางทีตื่นกลัวตื่นตระหนก จิตหวั่นไหว ใจเสียศูนย์ไปเลย เพราะว่าจิตปรุงแต่ง นึกไปถึงความตาย ไม่เคยฝึกจิตเตรียมใจรับมือกับความคิดที่ปรุงแต่งสารพัดแบบนั้น ปล่อยให้ความคิดมันลากพาไป นึกถึงความตายก็เกิดความตื่นตระหนก ไม่มีสติรับมือกับความตื่นตระหนก ก็เรียกว่าทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ อย่างนี้เกิดขึ้นกับหลายคน
มีหมอคนหนึ่งแกก็รู้เรื่องโรคดี แล้วแกก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก แกคิดว่าธรรมะจากหลวงพ่อที่ได้ฟังมา อาจจะรวมถึงบุญญาบารมีที่ได้ใกล้ชิดกับหลวงพ่อ จะช่วยให้รับมือกับความเจ็บป่วยได้ แต่พอถึงเวลาเจ็บป่วย เอาไม่อยู่ ธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมา ไม่ช่วยเลย เพราะว่ามันเป็นแค่การได้ยินได้ฟัง แต่ว่าไม่ได้เอามาปฏิบัติให้อยู่กับเนื้อกับตัว ที่สำคัญก็คือการมีสติ มีสมาธิ
เครื่องรางของขลังที่หลวงพ่อให้ก็ช่วยได้บ้าง ได้สายสินจน์ น้ำมนต์ ก็ช่วยได้บ้าง แต่ว่าเนื่องจากไม่ได้เตรียมจิตเตรียมใจ หรือฝึกจิตฝึกใจไว้เลยในเรื่องของการมีสติ ปรากฏว่าเอาไม่อยู่ ทุกข์ทรมานมาก เมื่อยาเอาไม่อยู่แล้ว ครั้นจะหวังธรรมะเป็นที่พึ่งก็เอามาใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าธรรมะใช้ไม่ได้ แต่ว่าธรรมะที่ฝึกเอาไว้ สะสมเอาไว้ มันไม่มากพอ
ฉะนั้นคนเราอย่าไปรอว่า เมื่อเกิดเหตุปัจจุบันทันด่วน หรือว่าเกิดความผันผวนปรวนแปรในชีวิตแล้ว แม้จะเตรียมอะไรมามากมาย แต่ถ้าไม่ได้เตรียมใจไว้เลย หรือไม่ได้เตรียมใจให้มากพอ ก็อาจจะเสียศูนย์ได้ง่าย ๆ ทุกข์ทรมานมาก หรือว่าลืมเนื้อลืมตัว
อย่างเรื่องของดาราคนที่ว่านี้ ก็ยังดีที่ว่าแม้จะลืมพาภรรยาขึ้นรถไปโรงพยาบาล แต่ว่าภรรยาก็ยังไปคลอดที่โรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่บางครั้งคนเราเจอทุกข์ เจอเหตุการณ์ร้ายแรงที่มันหนักกว่านี้เยอะ เพราะฉะนั้นการฝึกจิตเตรียมใจเอาไว้ หรือว่าการเจริญสติเป็นสิ่งสำคัญมาก
ในยามที่เรายังหนุ่มยังสาว ยังมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย ยังไม่เจอความสูญเสีย ถือว่าเป็นโชค แต่ว่าโชคนี้มันมีไว้ให้เพื่อให้เราได้มีเวลาเตรียมการ เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะปล่อยตัวปล่อยใจ ถือว่าโชคดีแล้ว หรือว่าเพลินไปกับการที่มีสุขภาพดี มีกำลังวังชา อันนี้เรียกว่าประมาท
ฝึกเอาไว้ การเจริญสติ ถึงแม้จะไม่มีเวลามาเข้าคอร์ส แต่ก็ฝึกได้ในชีวิตประจำวัน ทำอะไรก็ทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว เบื้องต้นก็ให้มารู้กายก่อน
เพราะว่าชีวิตประจำวันของเราหลายอย่างมันเป็นการใช้กายทำกิจวัตรโดยที่ไม่ต้องใช้ความคิดมาก เก็บที่นอน ล้างหน้า ถูฟัน อาบน้ำ ล้างจาน กวาดบ้าน แม้กระทั่งกินข้าว พวกนี้มันไม่ต้องใช้ความคิดอะไร ในขณะที่เราใช้กายทำกิจวัตรต่างๆ ก็ให้มารู้กาย
แม้มันจะเผลอคิดไปโน่นคิดไปนี่ อาจจะเรียกว่า 90% ของเวลาที่เราทำกิจต่างๆ มันก็คือการเผลอคิดหรือว่าหลง มันมีแค่ 10% หรือ 5% ที่รู้ตัว หรือมีสติ หรือว่ารู้กายว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็อย่าท้อ ก็ทำไปเรื่อย ๆ
วันๆ หนึ่งเนี่ยเราตื่นนอนทำกิจต่างๆ 16-17-18 ชั่วโมง ถ้าเราพยายามเจริญสติ รู้บ้าง ลืมบ้าง ใหม่ ๆ ก็อาจจะมีสติรู้ตัวกับกิจวัตรประจำวัน อาจจะแค่ 5% แต่ถ้าทำทุกวัน ๆ มันก็จะเพิ่มมากขึ้น แล้วมันจะพัฒนาขึ้น จากเดิมที่เป็นการรู้กาย ตอนหลังก็เริ่มมารู้ทันความคิด เวลาใจมันเผลอคิดไป คิดไป 7-8 เรื่อง ก็เริ่มรู้แล้ว
แต่ก่อนคิดไป 10 เรื่องถึงค่อยมารู้ตัวว่าเผลอไป แต่ตอนหลัง 7-8 เรื่องก็รู้แล้ว มันจะกลับมาเร็วขึ้น ๆ อันนี้เรียกว่าจากรู้กายมาเป็นรู้ใจ พัฒนาขึ้น ไม่ใช่แค่รู้กายเคลื่อนไหว แต่รู้ใจคิดนึก
บางอย่างมันเป็นการคิดนึกไปเรื่อยเปื่อย โดยที่กำลังทำอะไรที่คุ้นเคยเป็นนิสัย แต่บางอย่างมันมีความคิดเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบ รูปกระทบตา เสียงกระทบหู บางทีตาอ่านเห็นข้อความ มันก็เกิดความคิดปรุงแต่งเรื่อยเปื่อย หรือเป็นลูกโซ่ แล้วตอนหลังก็มีอารมณ์เกิดขึ้นด้วย อย่างเวลามีการกระทบขึ้นมา มีใครพูดไม่ถูกหู มีใครทำอะไรที่ไม่ถูกใจ มันก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา หงุดหงิดไม่พอใจ
ถ้าเราเจริญสติอยู่เรื่อย ๆ จากรู้ทันความคิดมันก็จะรู้ทันอารมณ์ แล้วพอมันรู้ทันอารมณ์ มันก็ช่วยทำให้อารมณ์มันครองใจเราได้ไม่นาน เจอเรื่องที่ตกใจ ก็ตกใจไม่ได้นานก็รู้ตัว มีเรื่องมากระทบทำให้โกรธ ก็โกรธไม่นานก็รู้ตัว บางทีมันเห็นด้วย เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น เห็นแล้วก็หลุด หรือว่าเห็นแล้วก็ผ่าน
มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากการรู้กายมาเป็นรู้ทันความคิด แล้วต่อไปก็รู้ทันอารมณ์ ตกใจกลัว ไม่พอใจ หงุดหงิด เครียด คนส่วนใหญ่นี้ พอมันมีอารมณ์เกิดขึ้นจากการกระทบ หรือจากการที่มีสิ่งเร้า มันหลงไปเลย หลงไปกับอารมณ์ ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ จนกว่าจะมีเรื่องมาขัดจังหวะ
อย่างเช่น โกรธที่มีคนมาต่อว่ามานินทา มาวิจารณ์ ยังโกรธอยู่ แต่พอดีเห็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้ง 30 ปีแล้ว ก็ดีใจเลย ความโกรธก็หายไป ที่มันหายไปไม่ใช่เพราะว่ามีความสามารถในการรู้ทันอารมณ์ แต่เป็นเพราะว่ามันมีอารมณ์อื่นมาแทนที่ พอดีใจความโกรธก็หาย แต่ดีใจสักพัก พอไปเห็นข้อความบางข้อความทางโทรศัพท์มือถือ ก็เสียใจขึ้นมาทันทีเลย เพราะว่าเพื่อนรักเสียชีวิต มีคนส่งข้อความมาทางไลน์
ชีวิตของคนเราโดยสรุปทั่วไปมันก็เป็นแบบนี้ มันมีอารมณ์เกิดขึ้น แล้วก็ไหลไปตามอารมณ์ สุดแท้แต่ว่าจะมีสิ่งเร้าสิ่งกระทบอะไร แต่ถ้าเกิดว่าเราเจริญสติ เริ่มจากการมารู้กาย แล้วก็รู้ความคิด ต่อไปมันก็จะรู้ทันอารมณ์ ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำใจเรา มันก็ทำให้เราเริ่มจะเป็นอิสระจากสิ่งเร้า สิ่งกระทบ
ไม่ใช่ว่าพอมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ไม่น่าพอใจก็หงุดหงิด หัวเสียโมโห พอเจอใครทำอะไรถูกใจ กินอาหารที่ถูกใจ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที จิตใจผู้คนมันก็เป็นอย่างนี้สุดแท้แต่สิ่งเร้า ไม่สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองเป็นอิสระจากสิ่งเร้าได้ จนกว่าจะมีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งเร้าก็มาครอบงำใจ มาผลักไสใจให้ทุกข์ไม่ได้
คราวนี้พอรู้ทันอารมณ์แล้ว ต่อไปมันจะรู้ทันเวทนาแล้ว เวลามีความเจ็บความปวด ร่างกายก็ปวดทั้งกายปวดทั้งใจ แต่ตอนหลังนี้กายปวดก็จริง แต่ว่าใจไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้ปวดด้วย ถึงเวลาเจ็บป่วย ยาเอาไม่อยู่ กายมันปวดแต่ว่าใจไม่ได้ปวดด้วย เรียกว่าไม่เข้าไปเป็นผู้ป่วย อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนบอก เห็นความปวดแต่ไม่เป็นผู้ปวด
พูดอย่างนี้หลายคนก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าแม้แต่ความคิดยังไม่เห็นเลย หรืออารมณ์ยังไม่เห็นเลย ถ้าความคิดเกิดขึ้นแล้วไม่เห็นความคิด ไม่รู้ทันความคิด อารมณ์เกิดขึ้นแล้วไม่เห็นมัน ไม่รู้ทันมัน มันก็ยากที่จะเห็นความปวดแต่ไม่เป็นผู้ปวด
คนที่ไหลไป ปล่อยใจไปตามกระแสอารมณ์ หรือถูกบีบคั้นด้วยอารมณ์ หรือว่าถูกกรีดแทงด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉา หรือถูกความเครียดมันหน่วงทับเอา บีบคั้นเอา พวกนี้เรียกว่าเป็นเพราะไม่รู้ทันอารมณ์
แทนที่จะเห็นอารมณ์ก็เข้าไปเป็น หรือเข้าไปหลงในอารมณ์นั้น แทนที่จะเห็นความโกรธก็เป็นผู้โกรธ แทนที่จะเห็นความเศร้าก็เป็นผู้เศร้า แทนที่จะเห็นความเครียดก็เป็นผู้เครียด แล้วก็ถูกมันเล่นงานจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนจิตใจรุ่มร้อน เพราะฉะนั้นพอมีอะไรมากระทบ พอเกิดเหตุการณ์อะไรหนักๆ ขึ้นมา เป๋เลยนะ เสียศูนย์เลย
แต่ถ้าเกิดว่าเราพยายามฝึก เริ่มตั้งแต่ทำสิ่งง่าย ๆ รู้กายเวลาเคลื่อนไหว เวลาเดินขึ้นบันได เดินไปหน้าปากซอย หรือว่าเดินระหว่างกุฏิ รวมทั้งเดินบิณฑบาต ถ้าฝึกเอาไว้ต่อไปมันก็จะรู้ทันความคิดได้เร็ว แล้วต่อไปก็จะเป็นอิสระจากอารมณ์ได้เร็ว
แล้วต่อมาพอเจอเวทนาเข้า แทนที่ใจจะไปจดจ่ออยู่กับเวทนา ไปยึดเวทนาว่าเป็นเรา เป็นของเรา จนกระทั่งจิตใจเครียด จิตใจโวยวายตีโพยตีพาย ก็หลุดมาได้ กายป่วยใจไม่ป่วย อันนี้ก็ทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อม หรือสามารถที่จะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่หลงตัว ไม่ลืมตน ไม่ปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ เข้าครอบงำ
อันนี้คือสิ่งที่เราควรจะเตรียมตัวไว้ ยิ่งตอนนี้ ยิ่งถ้าหากว่าไม่มีอะไรมาทำให้ชีวิตเกิดความวุ่นวาย เกิดปัญหา หรือถึงมีก็ยิ่งดี ถ้ามันมีไม่มากก็เอามาเป็นเครื่องฝึก
ฝึกให้มีสติ ฝึกให้รู้ทันอารมณ์ สามารถใช้สติรับมือกับความผันผวนปรวนแปร หรือว่าเหตุร้ายต่าง ๆ ได้ ถึงเวลาตกใจก็ตกใจไม่นาน ถึงเวลาโกรธก็โกรธไม่นาน ถึงเวลาเศร้าก็เศร้าไม่นาน หลุดมาได้ อันนี้เพราะว่าไม่ประมาทกับชีวิต รู้จักฝึกจิตฝึกใจเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ