พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 17 ตุลาคม 2567
คงทราบกันดีว่าวันนี้เป็นวันออกพรรษา วันออกพรรษาอาจจะมีความหมายก็เฉพาะกับคนที่เข้าพรรษา ใครที่ไม่ได้เข้าพรรษาก็คงจะไม่สนใจและไม่มีความหมายกับเขาเท่าไหร่ คนที่เข้าพรรษาที่ว่านี้ในฐานะที่เป็นพระ เป็นแม่ชี หรือว่าเป็นฆราวาส
เข้าพรรษา ก็มาเข้ากันได้หลายวิธี บางคนก็ทำอยู่ที่บ้าน เข้าพรรษาด้วยการถือศีล อย่างที่มีการรณรงค์ งดเหล้าเข้าพรรษา อันนี้ก็มี หลายคนที่เข้าพรรษาแบบนี้ ก็คือว่าอยู่บ้าน แต่ว่ารักษาศีลอย่างน้อยก็ 1 ข้อ หรือว่าศีล 5 แล้วก็มีหลายคน พอถึงวันพระก็จึงมาเข้าวัด เพื่อมาจำศีลหรือมาสมาทานศีล 8
คนที่เข้าพรรษาไม่ว่าด้วยวิธีใด วันออกพรรษาจึงจะมีความหมายสำหรับเขา และ เมื่อถึงวันออกพรรษา ก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้กลับมาทบทวนหรือว่ามามองตน
อย่างเช่นเมื่อถึงวันออกพรรษาแล้ว ถามเขาว่ารู้สึกอย่างไร ส่วนใหญ่ที่เข้าพรรษา หมายถึงวันนี้ก็รู้สึกดีใจ รู้สึกปลอดโปร่ง รู้สึกผ่อนคลาย โดยเฉพาะคนที่รอวันนี้มาตั้งแต่เข้าพรรษาแล้ว มีหลายคนพอเข้าพรรษาแล้ว เตรียมนับถอยหลังเลยว่าเมื่อไหร่จะออกพรรษาเสียที ฉะนั้นพอออกพรรษาแล้วเขาจะรู้สึกดีใจ
แล้วเมื่อดีใจ ก็ถามต่อไปว่า ดีใจเพราะอะไร บางคนบอกว่า ดีใจเพราะว่าจบสักที จบสักทีก็หมายถึงว่าออกพรรษาเสียที ซึ่งมันบ่งเป็นนัยว่าช่วงที่เข้าพรรษาอยู่นี้ ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ หรืออาจจะมีความทุกข์ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นพอถึงวันออกพรรษาก็ดีใจ จบสักที
อันนี้ก็ยังดีที่ยังพาตัวเองมาจนถึงวันนี้ได้ แม้ว่าจะเจอความยากลำบาก ความเหงา หรือเจอความไม่สะดวกสบาย ยังอุตส่าห์พาตัวเองมาจนถึงวันนี้ มันไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้าพรรษาแล้วจะมาถึงวันนี้ได้ บางคนก็ออกไปก่อนเพราะทนไม่ไหว แล้วก็มีข้ออ้างว่าห่วงลูก ห่วงแม่ แต่จริงๆ ก็คือว่า ทนไม่ไหว
เพราะฉะนั้น คนที่แม้จะเจอความยากลำบาก เจอกับสิ่งที่ไม่ถูกอกถูกใจ แต่ว่ามาจนถึงวันนี้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี สมควรแล้วที่จะดีใจ ดีใจที่จบเสียที แต่มันจะดีกว่านี้หากว่าดีใจเพราะว่าเราทำได้ เราทำได้
เราทำได้ก็คือว่า แม้จะรู้ว่ามันยาก บางคนก็ไม่ใช่แค่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ ตามพระวินัย แต่ว่ายังสร้างเงื่อนไขที่เข้มงวดให้กับตัวเองมากขึ้น เช่น บางคนก็ตั้งใจว่าจะฉันมื้อเดียว บางคนตั้งใจว่าจะภาวนาทุกวัน ๆ ละ 3-4 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ในที่สุดก็ทำได้ทุกวันอย่างที่ตั้งใจ อย่างนี้สมควรที่จะดีใจเมื่อมาถึงวันนี้ เพราะว่าภูมิใจที่ตัวเองทำได้
ระหว่างการดีใจเพราะมันจบเสียที กับดีใจเพราะเราทำได้ มันต่างกัน ดีใจเพราะจบสักทีหมายถึงว่า ดีใจที่ความทุกข์ลำบากมันจบ แต่ว่าไม่ได้อะไรเลย ขณะที่คนที่เขาบอกว่า ดีใจเพราะเราทำได้ อย่างน้อย ๆ ก็ได้ความภาคภูมิใจ
ภูมิใจที่ทำได้ เกิดความมั่นใจที่จะเจอกับอุปสรรคยากลำบากที่มากกว่านี้ในภายภาคหน้า มันจะเป็นต้นทุนชีวิต ในการเผชิญกับความทุกข์ สู้กับอุปสรรค หรือในการฝึกฝนตนที่เข้มงวดกว่านี้
และเมื่อเราถามความรู้สึกของตัวเราเอง พบความรู้สึกที่ดีใจนั้นว่าเพราะอะไรแล้ว ก็น่าจะถามตัวเองต่อไปว่า 3 เดือนที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรดี ๆ บ้าง เราทำอะไรดีที่น่าภาคภูมิใจบ้าง แม้กระทั่งคนที่บอกว่าดีใจเพราะว่ามันจบเสียที เขาก็คงจะได้ทำอะไรดี ๆ อยู่บ้างไม่มากก็น้อยตลอด 3 เดือน
เวลา 3 เดือน ก็ไม่ใช่เป็นเวลาที่น้อย เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะมาทบทวน หรือไตร่ตรองว่า เราได้ทำอะไรดี ๆ บ้าง บางคนอาจจะบอกว่าสิ่งดีๆ ที่ได้ทำ ก็คือว่า ตื่นเช้าทุกวันมาทำวัตรสวดมนต์ ไม่ได้ขาดเลย แม้บางวันจะฝนตก บางวันง่วงเหลือเกิน ก็ยังลุกขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ไม่ขาดเลย หรือบางคนอาจจะบอกว่าก็ขาดบ้าง แต่ว่าไม่เกิน 5 วัน
บางคนก็อาจจะบอกว่าบิณฑบาตทุกวันเลย อย่างที่ตั้งกติกาหรือข้อวัตรให้กับตัวเองว่าตราบใดที่อยู่วัด เป็นพระหรือเป็นแม่ชีก็จะไปบิณฑบาตทุกวัน ยกเว้นวันที่ทางวัดงด
บางคนก็อาจจะบอกว่า สิ่งดีๆ ที่ภาคภูมิใจ ก็คือว่า ได้ลดละหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยติด ตอนที่เป็นโยมหรือก่อนเข้าพรรษา บางคนติดบุหรี่ บางคนติดเหล้า แต่ว่าพอบวชแล้วหรือมาอยู่วัด ก็เลิกได้ หรืออาจจะเลิกไม่ได้เด็ดขาด แต่ก็น้อยมาก
บางคนอาจจะบอกว่า ตอนเป็นโยมติดโทรศัพท์มือถือมากเลย แต่ว่าพอมาอยู่วัด มาบวช หรือมาปฏิบัติธรรมในฐานะที่เป็นโยมก็แล้วแต่ ไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลย หรือว่าถึงจะใช้ ก็ใช้โทรศัพท์ติดต่อผู้คน แต่ไม่ได้เปิดดู Social Media ไถโทรศัพท์เพื่อดู Facebook, Tiktok, YouTube เลย
อันนี้ก็ถือว่าเป็นความดีอย่างหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจ ดีในแง่ที่ว่าฝึกฝนตน อดกลั้น
บางคนอาจจะบอกว่าได้ลดละหรือเลิกเลย อย่างการพนันออนไลน์ ก่อนบวชนั้นติดมาก แต่ว่าพอมาบวชแล้วเลิกได้ตลอด 3 เดือน
บางคนอาจจะบอกว่าติดเกมออนไลน์ หมดเวลาไปหลายชั่วโมงในแต่ละวัน จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่พอมาบวชแล้ว เลิกเล่นได้ หรือว่าเล่นน้อยมาก อันนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ
บางคนก็อาจจะบอกว่ากลัวความมืด แต่ว่าพอมาอยู่วัดแล้ว กล้าสู้กับความกลัว มันกลัวความมืด ก็ไม่ยอมแพ้ เดินออกจากกุฏิคนเดียวในยามเช้ามืด หรือว่ากลับกุฏิในยามค่ำคืนคนเดียวจนคุ้นจนชิน อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี น่าภาคภูมิใจ
รวมทั้งการที่ได้ให้เวลากับการภาวนา เจริญสติ ทำสมาธิ หรือฟังธรรมที่บางคนอยู่บ้านบอกว่าตั้งใจจะฟังธรรมให้ได้อย่างน้อย 1 กัณฑ์ทุกวัน ก็ทำได้
บางคนตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือธรรมะ เล่มหนาๆ อย่างพุทธธรรม 1000 หน้า วันละ 10 หน้า ปรากฏว่าอ่านได้ครบจบเล่มจนถึงวันออกพรรษา อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ
ลองใคร่ครวญดูว่า เราได้ทำอะไรดี ๆ บ้างในช่วงเข้าพรรษา ถึงแม้ว่าเราจะดีใจที่มันจบเสียที แต่ว่าถ้าเราได้เห็นว่าเราได้ทำอะไรดี ๆ หลายอย่าง มันก็จะเป็นต้นทุนให้กับจิตใจของเราในการที่จะทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่เฉพาะรอเข้าพรรษาปีหน้า แต่ว่าทำต่อเนื่องไปเลย
คราวนี้นอกจากสิ่งดี ๆ ที่เราได้ทำแล้ว อาจจะถามตัวเองว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ตลอด 3 เดือน อันนี้สำคัญ ที่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ไม่ว่าเราจะเจอความทุกข์ ความสุข แต่ว่าทุกอย่างมันมาให้เราได้เรียนรู้ ทุกประสบการณ์มีคุณค่าในการเรียนรู้ทั้งนั้น
บางคนอาจจะพบว่า ไม่ได้คิดเลยว่าการอยู่ง่ายกินง่ายทำให้เรามีความสุขได้ แต่ก่อนคิดแต่ว่าจะมีความสุขได้ต้องมีสิ่งปรนเปรอ สิ่งเสพทางตา ทางหู จะสุขได้ต้องกินบ้าง ดื่มบ้าง เที่ยวบ้าง เล่นบ้าง ช้อปปิ้งบ้าง หรือว่ากินเยอะ ๆ เที่ยวเยอะ ๆ เล่นเยอะ ๆ เคยนึกว่าความสุขมันมีได้ก็เพราะกินดื่มเที่ยวเล่นช็อป ไม่เคยพบมาก่อนเลยว่า การอยู่ง่ายกินง่ายในวัด มันก็ทำให้มีความสุขได้
หรือบางคนพบว่า ไม่เคยคิดเลยว่าจะอยู่ได้โดยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ตอนเป็นโยมนึกไม่ออกเลยว่าจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ เพราะว่าถ้าไม่มีแล้วกระสับกระส่าย แต่ว่าพอมาอยู่วัดมาเข้าพรรษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะมีอาการกระสับกระส่ายแทบลงแดงเมื่อไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ
แต่พออยู่ไป อยู่ไป มันก็อยู่ได้ แล้วก็สบายด้วย ไม่มีเรื่องหนักอกหนักใจ ไม่มีเรื่องวิตกกังวล สามารถจะทำสิ่งดี ๆ ที่ตั้งใจทำอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มาทำวัตรได้ทุกวันเพราะว่าไม่ได้เล่นโทรศัพท์จนดึกดื่น ดูซีรีย์ เล่นเกม ปฏิบัติตามข้อวัตรได้ถูกต้อง หรือว่าทุกวัน
หลายคนจะพบว่า การที่ไม่ได้กินดื่มเที่ยวเล่นช็อปหรือว่าเสพ มันก็ทำให้คนเรามีความสุขได้ ความสุขไม่ได้เกิดจากการเสพอย่างเดียว ไม่ได้เกิดจากการกินดื่มเที่ยวเล่นช็อปอย่างเดียว มันเกิดจากการที่เราได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ มีคุณค่า
หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้ เราก็ทำได้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยคิดว่าถ้าขาดมันแล้ว เราจะทุกข์ทรมาน ถ้าไม่ได้สูบบุหรี่ ไม่ได้กินเหล้า จะอยู่ไม่ได้ แต่ว่าพอเลิกเหล้าได้ เลิกบุหรี่ได้ มันสดชื่นแจ่มใส หลายคนอาจจะพบว่ารู้อย่างนี้ เลิกมานานแล้ว
มันได้เห็นความสุขอีกแง่มุมหนึ่ง ไม่ใช่จากการเสพ แต่รวมถึงสุขจากการที่ได้ลดละ หรือสุขจากการที่ได้ทำ ทำอะไร เช่น ทำสมาธิภาวนา เจริญสติ มันก็ทำให้มีความสุขได้
และขณะเดียวกันก็พบว่า ความทุกข์ของคนเราจริงๆ แล้วที่สำคัญก็คือ ทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะความวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง กังวลไปล่วงหน้า กลัวไปล่วงหน้าทั้งที่ข้างหน้าไม่มีอะไร เช่น คนที่กลัวผี จริง ๆ ก็ไม่มีผีมาโผล่ให้เห็น แต่มันคิดไปแล้ว ที่กลัวนี้คือกลัวผีในความคิดหรือพูดง่าย ๆ ว่า กลัวความคิด
แล้วความวิตกกังวลหลายอย่างที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เพราะความจริงบางอย่างที่ไม่ชอบได้เกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่วิตก สิ่งที่กลัว ก็คือสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่คิดว่ามันจะเกิด หรืออาจจะเกิดขึ้น พูดง่าย ๆ คือวิตกกังวลเพราะความคิด
หลายคนก็มาเห็นว่า นี้คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ทุกข์เพราะความคิด ความยากลำบากยังไม่เท่าไหร่ ถ้ายากลำบากแล้วยอมรับได้มันก็ไม่ทุกข์ แต่พอยอมรับไม่ได้ บ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ทุกข์ 1 ก็กลายเป็นทุกข์คูณ 2 คูณ 3
หลายคนก็มาได้เห็น มาเรียนรู้ตรงนี้เมื่อตอนมาบวช หรือว่าตอนมาปฏิบัติธรรม หรือว่าตอนเข้าพรรษา และที่มาเห็นตรงนี้ได้ก็เพราะว่า มันมีเวลาที่จะได้ใคร่ครวญ แล้วมันก็ไม่มีสิ่งที่จะชักจูงให้หันเหความสนใจออกไป
ถ้าตราบใดที่คนเรายังมีสิ่งเสพ สิ่งปรนเปรอ สนองความอยาก มันจะไม่มีทางรู้เลยว่า มันมีความสุขชนิดอื่นที่ดีกว่านั้น แต่พอไม่ได้เสพ ใหม่ ๆ อาจจะรู้สึกกระสับกระส่าย เกิดความทุกข์ แต่ธรรมชาติคนเราไม่ยอมจำนนกับความทุกข์ง่าย ๆ เมื่อไม่สามารถจะเอาความสุขจากสิ่งเสพได้ก็จะไปหาความสุขจากสิ่งอื่น ซึ่งดีกว่า
บางคนก็รู้สึกเพลินกับการถักถลกบาตร หรือว่าเพลินกับการเดินจงกรม เพลินกับการเจริญสติ ถ้ามีโทรศัพท์อยู่ใกล้มือ ถ้ามีสิ่งเสพอยู่รอบตัว มันไม่มีทางที่จะเอาเวลามาใช้กับการเดินจงกรม มาเจริญสติ หรือมาทำสิ่งที่ดูเหมือนน่าเบื่อ
แต่พอไม่มีสิ่งเสพมาปรนเปรอ มันก็มีเวลา มีพลังงานที่จะทำสิ่งอื่น ที่อาจจะดูน่าเบื่อ แต่ทำไปทำไป มันให้ความสุขกับเราได้ แม้แต่การปลูกต้นไม้ การกวาดใบไม้ก็ทำให้หลายคนรู้สึกปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้นมาได้ ทั้งที่แต่ก่อนคิดว่าถ้าไม่มีโทรศัพท์เล่น ถ้าไม่มีเกมออนไลน์เล่น ไม่มี Social Media ไว้เสพ คงจะทรมาน
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราควรจะได้ถามตัวเองว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ไม่ว่าเป็นพระ เป็นแม่ชี เป็นโยม ไม่ว่าอยู่วัด หรืออยู่บ้าน แต่ว่าเมื่อเข้าพรรษาในแบบฉบับของตัวแล้ว เราได้เรียนรู้มากขึ้น
ถึงแม้ว่าประสบการณ์บางอย่าง มันจะทำให้เราทุกข์ ทำให้เรานอนไม่หลับ อาจจะเพราะความเหงา ความหงุดหงิด แต่ว่าถ้าใคร่ครวญให้ดี ๆ เราจะพบว่า ที่ทุกข์นี้ เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะว่าสิ่งนอกตัว ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจ แต่เป็นเพราะใจของเรา ที่ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือใจที่คิดฟุ้งปรุงแต่ง
ก่อนที่เราจะออกพรรษา หรือก่อนที่จะเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง ควรจะได้ใคร่ครวญว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากประสบการณ์ในช่วงเข้าพรรษา เพื่อที่เราจะได้มีต้นทุน ได้เรียนรู้ในการดำเนินชีวิต
ที่จริงวันนี้ นอกจากเป็นวันออกพรรษาแล้ว มันยังเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในหมู่พระเราเรียกว่าวันมหาปวารณา
ปวารณา ความหมายหนึ่งคือ การยอมให้ขอ อันนี้โยมปวารณากับพระว่า พระคุณเจ้า ถ้าต้องการเดินทางก็บอกด้วย จะขับรถไปส่งหรือว่าถ้าหิว ต้องการยารักษาโรค ก็บอก จะจัดหาอาหารมาให้ จะจัดยามาให้
เพราะว่าพระเรา ถ้าโยมไม่ได้ปวารณา จะขอไม่ได้ แม้จะใช้อุบายอย่างไร ก็ถือว่าผิด แต่ถ้าเกิดโยมปวารณาแล้ว ก็ขอได้ แต่ก็ขอตามที่เขาปวารณา ไม่ใช่ขอนอกขอบเขตที่เขาปวารณา อันนี้เป็นความหมายหนึ่ง
อีกความหมายหนึ่งก็คือ ให้ว่ากล่าว หมายถึงพระว่ากล่าวพระด้วยกัน อย่างน้อย ๆ วันมหาปวารณาคือ วันที่พระได้ทำพิธีปวารณา บอกกล่าวแก่หมู่สงฆ์ว่า ยอมให้ว่ากล่าว ยอมให้ทักท้วง ไม่ว่าจะได้เห็นก็ดี ได้ยินก็ดี หรือแม้แต่ระแวงสงสัยว่าข้าพเจ้าได้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็ขอให้ว่ากล่าว ตักเตือน ด้วยความหวังดี ด้วยความเอ็นดู
ท่านใช้คำว่าเอ็นดูคือเมตตา เมื่อข้าพเจ้าเห็น ก็จะแก้ไข อันนี้ก็คือสิ่งที่พระได้ปวารณาต่อกัน ซึ่งมันมีสาระที่ดี เพราะว่าคนเราจะเจริญงอกงามได้ ไม่ว่าในทางธรรมหรือแม้แต่ในทางโลก ก็เพราะว่ารู้จักเปิดรับคำทักท้วง
ยิ่งในทางธรรมด้วยแล้ว ยิ่งจำเป็นมาก เพราะว่าลำพังตัวเราเอง เราจะตักเตือนตัวเราเอง หรือติเตียนตัวเราเอง มันก็ยาก ทั้ง ๆ ที่มันเป็นหน้าที่ อย่างที่เราเพิ่งสวดไปเมื่อสักครู่ว่า ตัวของเราเอง ติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ นี่คือหนึ่งในธรรม 10 ประการ
เรามีหน้าที่ตักเตือนตัวเอง แต่บางทีก็อาจจะมองไม่เห็น ต้องอาศัยคนอื่นมาช่วยทักท้วง อย่างที่เราสาธยายเมื่อสักครู่ว่า ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ติเตียนตัวเราเองโดยศีลหรือไม่ ติเตียนว่าทำพฤติกรรมกายวาจาเหมาะไหม ถูกต้องไหม เพราะหน้าที่ของพระคืออันนี้
เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกายวาจาใด ๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ อันนี้คือธรรมะข้อแรกเลย เมื่อเรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกริยานั้น ๆ
และที่จริงไม่ใช่กริยาอย่างเดียว คุณธรรมภายในก็ต้องมีด้วย อย่างที่ตอนสุดท้ายท่านบอกว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่ผู้อื่นทักท้วง สอบถาม แล้วเราก็ไม่อับอายที่จะบอก
เพราะฉะนั้นคนเราก็ต้องใจกว้างที่จะเปิดรับฟังคำทักท้วง เพราะมันจะทำให้เราเจริญเติบโตงอกงามได้ แล้วโดยเนื้อหาสาระของวันปวารณาไม่ใช่แค่เปิดให้พระด้วยกันทักท้วง ไม่ว่าจะเป็นพระอ่อนพรรษา เป็นอาวุโส เป็นภันเต จะเป็นเจ้าอาวาส ก็ยอมให้ลูกวัดตักเตือนได้ เหมือนกับที่พระสารีบุตรยอมให้สามเณรที่เป็นลูกศิษย์ตักเตือนได้
และไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว แม้กระทั่งฆราวาสญาติโยมก็ตักเตือนได้ แล้วที่จริง พวกเราทุกคน ก็ควรจะมีท่าทีแบบนั้น ก็คือว่า ยอมอนุญาตให้ผู้อื่นทักท้วงได้ โดยที่ไม่โกรธ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ฝึกได้
ฉะนั้น อันนี้ก็คือความหมายของวันมหาปวารณา ซึ่งถ้าเราเอาสิ่งที่เราเรียนรู้จากการเข้าพรรษาจนมาถึงวันนี้ เอามาใช้ไม่ว่าความดีที่เราได้ทำ สิ่งดีๆ ที่เราได้บำเพ็ญ หรือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และสิ่งที่เราไม่ได้ทำอันนี้ก็ควรจะมองให้เห็นด้วย
มีความผิดพลาดอะไร ที่เราได้ทำ มีความบกพร่องตรงไหน ก็ควรจะมองเห็น รับรู้ยอมรับ แม้ว่าตัวมานะหรืออัตตาเราจะไม่อยากยอมรับ แต่ถ้าเราเห็น แล้วก็ยอมรับมัน มันก็เอามาเป็นบทเรียนได้ เอามาเป็นเครื่องเตือนใจเราได้
อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนชอบพูดอยู่เสมอ คนเรามันต้องผิดก่อน มันถึงจะถูกได้ เราต้องโง่ก่อน จึงจะฉลาด
เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราเคยทำผิดทำพลาด มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เอามาเป็นบทเรียนเตือนใจ ให้เราทำถูก อะไรที่เราหลงก็เอามาเป็นบทเรียน เพื่อให้เราทำให้เกิดรู้ขึ้นมา ความโง่ของเราก็เอามาเป็นเครื่องเตือนใจให้ฉลาด
อันนี้ก็ทำให้วันเข้าพรรษา และการปฏิบัติของเรามีคุณค่า เพราะว่าทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งดี ๆ ที่เราทำ หรือว่าสิ่งบกพร่องที่เราได้เผลอทำ มันก็มีคุณค่าต่อการพัฒนาชีวิตของเราให้เจริญงอกงาม.