พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 13 ตุลาคม 2567
ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับเชิญให้ไปเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งในกรุงเทพ รายการนี้เริ่ม 9 โมง แต่ว่าพอถึงเวลาก็มีนักศึกษามาเพียงแค่ 5 คน แกก็ถามอาจารย์ที่เชิญว่าจะต้องรอนานเท่าไหร่ นักศึกษาถึงจะมาครบ อาจารย์บอกว่าอาจจะต้องรอถึง 10 โมง หรือสัก 10 โมงครึ่ง แต่ว่าโชคดีที่รายการนี้พอถึง 9 โมงครึ่ง นักศึกษาก็มาครบ 60 คน
อาจารย์แทนที่จะเริ่มสอน ก็คุยกับนักศึกษาว่าที่มาเข้าชั้นเรียนเพราะอะไร หลายคนตอบเพราะอยากจะได้ความรู้ บางคนบอกว่าเมื่อจบไปเป็นครูจะได้เอาสิ่งที่เรียนไปสอนนักศึกษา สอนนักเรียน บางคนบอกว่าจะเอาไปปรับใช้กับชีวิต ก็ดูดี ๆ ทั้งนั้น แต่อาจารย์บอกว่าเอาเหตุผลจริง ๆ ดีกว่า ครูไม่ว่าหรอก ไม่มีผิด ไม่มีถูก
นักศึกษาก็เลยบอกว่ามาเอาหน่วยกิต หมายถึงว่ามาเอาชั่วโมง เพราะว่านักศึกษาจะเรียนจบได้ก็ต้องเข้าคลาสพิเศษ 100 ชั่วโมง วิชานี้มีเรียน 3 ชั่วโมง ก็เลยมาเข้าจะได้ 3 ชั่วโมง แสดงว่าไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้อะไรเลย
แล้วพอเริ่มสอน ก่อนจะสอนอาจารย์พิเศษก็ถามอาจารย์ที่มาเชิญว่าปกติรายการอื่น ๆ เป็นอย่างไร อาจารย์ก็บอกว่าบางคนมาเซ็นชื่อแล้วก็ไป หลายคนถึงแม้จะอยู่แต่ก็ไม่ได้สนใจฟัง ไถโทรศัพท์มือถือ แล้วส่วนใหญ่อยู่ไม่ครบชั่วโมง
แต่ว่าอาจารย์พิเศษคนนี้แกก็มีวิธีที่จะชวนนักศึกษามาเรียนรู้จนกระทั่งอยู่ครบวิชาคือ 3 ชั่วโมง ก่อนจบอาจารย์ก็ทำการเช็คเอาท์นักศึกษา เช็คเอาท์คือถามความรู้สึก ไม่ได้เกี่ยวกับการเรียน การทำกิจกรรม แต่ว่าถามเกี่ยวกับชีวิตว่า รู้สึกยังไงตอนนี้
ปรากฏว่าหลายคนเลยพูดถึงความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง บางคนก็บอกว่า คิดถึงบ้านบ้าง เป็นห่วงพ่อแม่บ้าง เพราะส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากต่างจังหวัด แต่ละคนก็พูดถึงเรื่องความทุกข์ในฐานะที่เป็นนักศึกษา ปรากฏว่าพอแบ่งปันความรู้สึกไปได้ไม่นาน หลายคนก็ร้องไห้ เพราะว่าสิ่งที่เพื่อนสะท้อนมันก็ไม่ต่างจากความรู้สึกภายใน
จนกระทั่งพอจบชั้นเรียน พอออกจากห้องเรียนอาจารย์ก็ไปเจอนักศึกษาหลายคนที่ยืนรออยู่ มีคนหนึ่งอายุ 20 ยังไม่ทันจะคุยเลย ก็ร้องไห้สะอื้น คงเป็นผลจากสิ่งที่ได้แชร์กันในช่วงเช็คเอาท์ก่อนเลิก อาจารย์ก็เลยต้องรออยู่พักใหญ่ เพราะว่าระหว่างที่สะอื้นพูดอะไรก็ฟังไม่รู้เรื่องเลย แสดงว่าความทุกข์นี้มันอัดแน่นมาก
ต่อมานักศึกษาก็พูดว่า “หนูไม่รู้ว่าควรจะมีความสุขหรือเปล่า เพราะความสุขของหนูมันแลกด้วยความทุกข์ของแม่” ก็คงหมายความว่าแม่ต้องส่งเสียให้เธอมาเรียน ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าหอพัก แม่ก็ลำบาก อาจจะเป็นชาวไร่ ชาวนา แล้วก็คงจะโทษตัวเองด้วยว่าเรียนก็ได้คะแนนไม่ดี มันมีเสียงวิจารณ์ตำหนิตัวเองอยู่เสมอ ๆ
จนกระทั่งเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าหนูไม่เกิดมานะ แม่ก็คงจะมีความสุขสบายกว่านี้ หนูไม่น่าเกิดมาเลย” นี้คือเหตุผลที่ทำให้เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นโทษตัวเอง มันไม่ใช่แค่สงสารแม่ แต่ว่ามันมีความรู้สึกโทษตัวเองว่าอาจจะไม่ได้ตั้งใจเรียน เรียนได้เกรดต่ำ สารพัด อาจจะเป็นเพราะว่าไปหลงใหล เพลินกับแสงสี โดยที่พ่อแม่ โดยเฉพาะแม่ก็ลำบาก ส่งเสียให้มาเรียน แต่เธอก็ไม่ตั้งใจเรียน อะไรทำนองนี้
มันก็น่าคิดคนที่พูดว่าหนูไม่น่าจะเกิดมาเลย เพราะถ้าหนูไม่เกิดมา แม่ก็จะสบายกว่านี้เยอะ มันเป็นน้ำเสียงตำหนิต่อว่าตัวเอง และชี้ให้เห็นว่าตัวเองนี้ไร้ค่า แล้วปรากฏว่าในช่วงเช็คเอาท์นั้น นักศึกษาหลายคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันหลังจากที่ระบายความทุกข์มาแล้วบอกว่า “หนูไม่รู้จะบอกใครดี หนูต้องไปหานักจิตไหม”
นักจิตหมายถึงนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองความทุกข์มันท่วมท้นเหลือเกิน ฟังจากที่เขาเล่ากัน ชี้ให้เห็นเลยว่านักศึกษาที่เราดูว่าเขาไม่ได้เรื่อง ไม่ได้สนใจในการเรียน เวลาครูสอนก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ หรือมิเช่นนั้นก็เซ็นชื่อแล้วก็ไป ไม่เอาใจใส่การเรียน ดูเรียกว่าใช้ชีวิตลั้ลลา เอาแต่เที่ยวเล่น จริง ๆ แล้วข้างในใจเขามีความทุกข์มาก
อาจารย์หลายคนเวลาพูดถึงนักศึกษาก็บอกระอามากเลย นักศึกษานี้ไม่สนใจเรียนเลย ไม่รู้จะทำยังไง แต่ว่าพอถามเข้าไปลึก ๆ แต่ละคนมีความทุกข์มาก ทุกข์จนไม่รู้สึกเห็นคุณค่าของชีวิตตัวเอง
สิ่งที่มันน่าคิดก็คือว่าคนเหล่านี้เมื่อมีความทุกข์แล้วไม่รู้จะบอกใคร อย่างที่หลายคนสะท้อนมา ถ้าเป็นอย่างที่เรียกว่าสมัยก่อนก็แล้วกัน สมัยที่อาตมายังเด็กหรือก่อนหน้านั้นขึ้นไป เวลาเด็ก ๆ มีความทุกข์ เขายังรู้ว่าจะไประบายให้กับใคร ถ้าไม่ใช่พ่อก็แม่ หรือมิเช่นนั้นก็ครู หรือมิเช่นนั้นก็เพื่อน
แต่การที่เด็กหลายคนบอกว่าหนูไม่รู้จะบอกใคร ต้องไปหานักจิตบำบัดไหม แสดงว่าเขาไม่มีใครเลยที่จะสนใจฟังเขา อาจจะมีแต่คนที่เอาแต่สอน เอาแต่ห้าม หรืออาจจะไม่มีเวลาแม้กระทั่งฟัง ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ พ่อแม่ หรือครูอาจารย์แม้กระทั่งเพื่อนที่จะฟังอย่างใส่ใจ เดี๋ยวนี้ก็มีน้อย
มีนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง วันหนึ่งเมื่อกลับถึงหอพัก ก็ดึกเลย แต่ว่าก่อนจะเข้าหอก็ซื้อก๋วยเตี๋ยว ไม่ได้ซื้อให้ตัวเองกินคนเดียว ซื้อฝากเพื่อนที่ร่วมห้องด้วยเป็นรูมเมทกัน พอไปถึง ชวนเพื่อนมากินก๋วยเตี๋ยว เพื่อนคนนี้หลับด้วยความง่วงเพราะมันดึกแล้ว ไม่ยอมลุกขึ้นมากิน นักศึกษาแพทย์คนนั้นโมโหเลยแล้วก็บอกว่า เพื่อนตายมีน้อยแล้ว แม้แต่เพื่อนกินยังหายากอีก
เดี๋ยวนี้เป็นกันขนาดนี้ อย่าว่าแต่เพื่อนตาย แค่เพื่อนกินก็ยังไม่มี เพราะว่าเดี๋ยวนี้หลายคนก็ถือหลักโนสนโนแคร์ กูไม่สนกูไม่แคร์ใคร เพราะคนอื่นก็ไม่สนไม่แคร์กูเหมือนกัน มันมีความคิดแบบนี้ เพราะฉะนั้นพอนักศึกษาเหล่านี้เขามีความทุกข์ก็เลยไม่รู้จะบอกใคร เขาก็ไปนึกถึงคนที่พอจะฟังหรือมีเวลาฟังบ้างก็คือนักจิตบำบัดหรือว่าจิตแพทย์
มันน่าเศร้าที่คนสมัยนี้โดยเฉพาะหนุ่มสาว เวลามีความทุกข์แล้วมีนักจิตบำบัดเป็นที่พึ่ง แต่ว่าไม่มีคนใกล้ ๆ ที่พอจะพูด พอจะระบายให้ฟังได้ ไม่ใช่ว่านักจิตบำบัดไม่สำคัญ ถือว่าสำคัญ แต่ว่าก่อนจะถึงนักจิตบำบัด ควรจะมีหลายด่านมาก่อน เช่น พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ หรือเพื่อน
แล้วที่จริงเพื่อนก็คงจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่หายาก เพียงแต่ว่าเราต้องเริ่มต้นจากการที่แคร์คนอื่น สนใจคนอื่นบ้าง บางทีที่เขาไม่ลุกมากิน อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอ่านหนังสือจนดึกดื่น เหนื่อยมาก ก็เลยหลับ เพื่อนมาชวนให้กินก๋วยเตี๋ยวที่ซื้อมา ก็เลยไม่อยากจะลุกหรือตื่นมากิน ดังนั้นถ้าเข้าใจว่าที่จริงเพื่อนก็คงอยากจะกินแต่ว่าง่วงมาก ถ้าเข้าใจเขา ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปโกรธเขา
อย่างไรก็ตามอย่าไปหวังพึ่งแต่เพื่อนที่เป็นคนรอบตัวเราเท่านั้น เพื่อนมันมีอยู่ 2 ประเภทคือ เพื่อนนอกกับเพื่อนใน
เพื่อนในหรือเพื่อนใจนั้นสำคัญ เราจะมองข้ามไม่ได้ เพื่อนนอกที่อยู่รอบตัวเราก็สำคัญอยู่ แล้วชีวิตเราคงจะขาดเพื่อนนอกไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อนในหรือเพื่อนใจที่จะช่วยเยียวยาจิตใจของเราเวลามีความทุกข์ ถึงแม้จะไม่มีคนรอบข้างที่เขาจะฟังเรื่องราวหรือรับรู้ความทุกข์ของเรา
อย่างน้อยก็มีเพื่อนใจหรือเพื่อนในซึ่งสำคัญ เช่น ให้กำลังใจเรา เพื่อนในนี้ก็อาจจะบอกเราว่าให้กำลังใจเราว่าเธอเก่งนะที่อย่างน้อยเธอก็ฟันฝ่าอดทนได้จนมาถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นก็แย่ไปแล้วนะ หรือเธอเข้มแข็งไม่น้อยนะที่มาจนถึงวันนี้ได้ หรือมิเช่นนั้นก็เตือนให้เห็นว่าความทุกข์มันไม่เที่ยง แล้วมันก็จะผ่านไป เพราะไม่มีอะไรที่แน่นอน
เพื่อนใจนี้รวมถึงการรู้จักให้อภัยตัวเองด้วย เราทุกคนก็ล้วนแต่เคยทำผิดทำพลาดมา แต่ถ้าเราให้อภัยตัวเองได้ เราก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกผิดมันทิ่มแทงใจ ถ้าเรามีเพื่อนใจ เราจะนุ่มนวลกับตัวเอง อ่อนโยนกับตัวเอง อนุญาตให้ตัวเองเศร้าได้ อนุญาตให้ตัวเองเครียดได้ อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้ได้
หรือบางทีอาจจะอนุญาตให้ตัวเองนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจได้ เพราะว่าเราเป็นปุถุชน บางคนนี้พยายามเข้มงวดกับตัวเองมาก “เธอร้องไห้ไม่ได้นะ” “เธอเศร้าไม่ได้” “เธอจะวิตกกังวลไม่ได้นะ” “เธอต้องเข้มแข็งนะ” “เธอต้องสู้ ๆ นะ” แต่คนเราบางทีก็มีความอ่อนแอ บางทีก็มีท้อ แต่ถ้าเราท้อแล้วเรากลับโบยตีตัวเองเพราะว่าไม่เข้มแข็งตามมาตรฐาน อันนี้ก็แสดงว่าเรายังไม่รู้จักอ่อนโยนกับตัวเองเท่าไหร่
เพื่อนใจก็ทำหน้าที่ตรงนี้ เวลาเราเหลิงก็เตือน เวลาเราท้อก็ให้กำลังใจ เวลาเราทุกข์ก็รู้จักปลุกปลอบใจ หรือว่าอนุญาตให้ตัวเองเศร้าได้ แล้วที่จริงแล้วมันคงไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งพาของเราได้ดีเท่ากับเพื่อนใจ
มีผู้ป่วยมะเร็งคนหนึ่งอาการหนัก ที่จริงก็ยังไม่ได้ถึงขั้นที่จะล้มหมอนนอนเสื่อแต่จิตใจแกแย่มาก เผอิญหมอที่ดูแลคนไข้คนนี้ไม่ได้สนใจแต่เฉพาะเรื่องรักษาร่างกาย แต่สนใจเรื่องของจิตใจด้วย แล้วหมอก็รู้ว่าคนไข้คนนี้ความทุกข์ก้อนใหญ่มันเป็นความทุกข์ทางใจ ความรู้สึกท้อแท้ ความรู้สึกหดหู่ ห่อเหี่ยว ไม่มีกำลังใจ
สิ่งที่หมอแนะนำก็คือว่า ให้ลองจินตนาการนึกถึงที่ที่คุณรู้สึกปลอดภัย รู้สึกสุขสบาย แกก็หลับตา แล้วพยายามนึก นึกไปถึงบ้าน แต่มันก็ยังไม่ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจเท่าไหร่ นึกไปถึงที่ริมน้ำที่ชอบไปตกปลา มันก็ยังไม่ใช่
นึกไปถึงที่ทำงาน นึกถึงโต๊ะ นั่งอยู่หลังโต๊ะในฐานะ CEO ก็ยังไม่รู้สึกอบอุ่นใจทั้ง ๆ ที่ตัวเองนี้มีอำนาจ จินตนาการไปถึงว่านั่งอยู่หัวโต๊ะในห้องประชุมซึ่งทุกคนก็ล้วนแต่เป็นลูกน้อง ตัวเองมีอำนาจตัดสินสั่งการอะไรได้ ไม่มีใครกล้าแย้ง แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นที่ที่ปลอดภัยหรืออบอุ่นใจ
แกก็พยายามหา สุดท้ายก็ไปนึกถึงความรู้สึกตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นแกรู้สึกอบอุ่นมากเลยเวลาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ แล้วก็จินตนาการว่าอยู่ในอ้อมกอดของแม่ และมันก็ใช่เลยตอนนั้นความรู้สึกผ่อนคลายมาก รู้สึกอบอุ่น รู้สึกสบาย รู้สึกสงบ เย็น มีความสุข
เสร็จแล้วพอแกลืมตาขึ้นมา แกพบว่ามือที่โอบกอดแกนี้มันไม่ใช่มือแม่ มันเป็นมือตัวเอง ที่ตัวเองมีความสุขเมื่อได้กอดตัวเอง ก็เลยพบเลยว่า ที่ที่ปลอดภัยมันก็อยู่ในใจของเขานั่นเอง แต่เขาไม่เคยรู้เลย เพราะว่าเขามอง แสวงหาที่ปลอดภัยที่อยู่นอกตัวมาตลอด เพิ่งนึกได้หรือเพิ่งมารู้ว่า ที่ที่ปลอดภัยที่อบอุ่นมันอยู่ข้างใน สิ่งนั้นคือใจ ใจที่อ่อนโยน ใจที่อบอุ่น
สำหรับพวกเราถ้าได้สนใจธรรมะแล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามีเพื่อนใจที่มั่นคงได้ ก็คือสติ คือความรู้สึกตัว เพราะสติมีเพื่อนเยอะ เขาสามารถชักชวนเพื่อนดี ๆ มาสู่ใจของเราได้ ก็ได้แก่ ความเมตตากรุณา การรู้จักให้อภัย สมาธิ หรือว่าปัญญา สติมีเพื่อนเยอะ เพื่อนดี ๆ ทั้งนั้น แล้วจะช่วยป้องกันไม่ให้ความหลงเข้ามาครอบงำ
ความหลงก็มีเพื่อนเยอะเหมือนกัน แต่เป็นเพื่อนที่แย่ ๆ สำหรับเรา ความโกรธ ความห่อเหี่ยว ความท้อแท้ ความอิจฉา ความเศร้า ความวิตกกังวล คนเราในยามที่ไร้สติหรือไม่มีความรู้สึกตัว คืออยู่ในความหลง เราจะแย่ หลงไปเรื่อย ๆ เพราะความหลงจะมาคอยชักชวนเพื่อนที่แย่ ๆ ที่เรียกว่าปาปมิตรตามมาเป็นขบวน เป็นพรวนเลย
แต่พอใจเราตั้งมั่นอยู่ในความรู้สึกตัว มีสติ ลำพังสติก็ช่วยทำให้เราไม่ถูกความหลง ความทุกข์ ความเครียด ความวิตกกังวลครอบงำอยู่แล้ว แต่ว่าสติไม่ได้ช่วยเราแค่นั้น สติยังชักชวนธรรมะตัวอื่น ๆ ตามมาด้วย
อย่างที่เราสวดในมงคลสูตร มีธรรมะหลายข้อที่ล้วนแต่เป็นมงคลชีวิตทั้งนั้น และสิ่งที่จะชวนให้ธรรมะนั้นเข้ามาสถิตอยู่ในใจเราที่สำคัญคือสติ เพราะถ้าเรามีสติแล้ว ก็จะรู้จักมีเมตตา กรุณา รู้จักให้อภัย ไม่ใช่ให้อภัยคนอื่นอย่างเดียว ให้อภัยตัวเองด้วย หรือเราจะปลดเปลื้องจิตออกจากความวิตกกังวล เห็นความหวัง มีความหวัง ถ้าพูดภาษาสมัยใหม่ก็คือ ช่วยทำให้เรามองบวก
มองบวกนี้ไม่ใช่แค่เห็นความสดใสที่อยู่ในอนาคต แต่หมายถึงสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวเราด้วย สติทำให้เรามีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน ฉะนั้นในยามที่เราอาจจะดูเหมือนโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อน หรือในบางครั้งมันมีเสียงต่อว่า เสียงดุด่าตัวเอง เสียงพวกนี้มันจะทำอะไรเราไม่ได้เลย ถ้าเรามีสติครองใจ
อย่างน้อยสติทำให้เรารู้วิธีที่จะรับมือกับความโศก ความเศร้า ความวิตกกังวล ความเครียด ช่วยทำให้เราอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ได้โดยที่ไม่ทุกข์ ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า แบบว่าเธอจะอยู่ก็อยู่ไป แต่ว่าฉันจะไม่เป็นบ้าเป็นหลังไปกับเธอ อันนี้ท่านเรียกว่า รู้ซื่อ ๆ
รู้ซื่อ ๆ ก็คือว่า ต่างคนต่างอยู่ ไม่ขับไสไล่ส่ง ไม่โรมรันพันตู ซึ่งมันก็เริ่มต้นจากการที่อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้มาอยู่ หรืออนุญาตให้สิ่งเหล่านี้มา จะมาก็มา อนุญาตให้ตัวเองเศร้าได้ อนุญาตให้ตัวเองโกรธได้ อนุญาตให้ตัวเองวิตกกังวลได้ อนุญาตให้ตัวเองรู้สึกซังกะตายหรือรู้สึกเฉา ไม่ผลักไสไล่ส่ง แต่ว่าต่างคนต่างอยู่
นี้เป็นอานิสงส์ของสติ และถ้าสติเราแก่กล้า เข้มแข็งมากพอ อารมณ์พวกนี้ก็จะค่อย ๆ ล่าถอยไปเอง เพราะว่ากุศลธรรมจะมาช่วยปัดเป่าสิ่งเหล่านั้นออกไป เหมือนกับน้ำเสีย เราไม่ต้องเสียเวลาดูดเอาน้ำเสียออก ไม่ต้องวิด ไม่ต้องสูบ แค่ปล่อยน้ำดีเข้าไป มันก็จะไปไล่น้ำเสียออกไป น้ำดีนั้นคืออะไร ก็คือกุศลธรรมซึ่งเกิดจากการชักนำของสติ
แล้วสุดท้ายสติก็จะช่วยทำให้เราปลอดภัย จึงเป็นเพื่อนใจที่ดีมาก ทำให้เรามีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน แทนที่ใจจะกลับมาซ้ำเติมสร้างความทุกข์ให้กับเรา แทนที่ใจจะมีแต่จะปั่นหัวเราให้เศร้าโศก โกรธแค้น หรือทำให้คิดลบคิดร้าย กลับทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นอานิสงส์ของสติ
เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะมีเพื่อนนอกมากแค่ไหนก็ตาม หรือไม่มีเลย แต่เราจะปลอดภัยได้ ถ้าเรามีเพื่อนใจคือสติ.