พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 12 ตุลาคม 2567
เมื่อ 450 ปีที่แล้ว ประเทศสเปน เมืองอาบีลา มีแม่ชีท่านหนึ่งชื่อว่า เทเรซา เป็นผู้ที่ศรัทธามากกับการปฏิบัติ หรือว่าใช้เวลาทั้งวันและทั้งคืนกับการสวดมนต์ถึงพระเจ้า ตอนหลังท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญ ผู้หญิงหรือว่าแม่ชีมีไม่มากที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญ แต่นักบุญเทเรซาแห่งอาบีลามีผู้ศรัทธานับถือมากจนทุกวันนี้
ตอนที่ท่านยังสาวท่านใช้เวลากับการสวดถึงพระเจ้าวันละหลาย ๆ ชั่วโมงต่อเนื่องไปถึงกลางคืน เพราะท่านเชื่อว่าการสวดมนต์จะทำให้ได้พบพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นท่านก็เลยเอาแต่สวดมนต์จนกระทั่งไม่ค่อยสนใจการทำงาน พยายามหลีกเลี่ยงงานการต่าง ๆ เพราะเห็นว่าไม่ใช่เป็นสื่อที่จะได้เข้าถึงพระเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการเช็ด ล้างจาน เช็ดหม้อ กวาดพื้น ตากผ้า หรือพับผ้านี่ท่านก็ จะเรียกว่าไม่ค่อยชอบทำ หลีกเลี่ยง ถึงเวลาทำก็ทำแบบรีบ ๆ เพื่อที่จะได้ไปสวดมนต์
แต่ตอนหลังท่านก็เริ่มเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วในการที่จะเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่แค่การสวดมนต์อย่างเดียว แต่ว่าการทำงานที่ดูเหมือนธรรมดาสามัญ กิจวัตรประจำวัน ถ้าทำด้วยศรัทธา ทำด้วยใจที่น้อมดิ่งไปสู่พระเจ้า ก็จะเข้าถึงพระเจ้าได้เหมือนกัน
แล้วในที่สุดท่านก็พบว่า ได้พบพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าขณะที่กำลังพับผ้า ไม่ใช่ในโบสถ์ ไม่ใช่สวดมนต์ต่อหน้าไม้กางเขน แต่ว่าในท่ามกลางงานที่ทำ แล้วก็เลยพบว่าการจะเข้าถึงพระเจ้าไม่ว่าที่ไหนหรือทำอะไรก็สามารถจะเข้าถึงได้
อันนี้คล้าย ๆ กับแนวคิดทางด้านพุทธศาสนา ในการปฏิบัติธรรมชาวพุทธเราเชื่อว่า การที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่าจะต้องสวดมนต์หรือว่าปฏิบัติในรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเดินจงกรม ตามลมหายใจ แต่ว่าแม้กระทั่งการทำงานซึ่งหากทำด้วยใจที่น้อมอยู่กับปัจจุบัน ทำด้วยฉันทะ ก็สามารถจะเข้าถึงภาวะที่ลึกซึ้งในทางจิตใจหรือความพ้นทุกข์ได้
อย่างพระโสณาเถรี ท่านบวชเมื่อแก่ เนื่องจากท่านพรรษาน้อยก็เลยถูกใช้ให้ทำงาน ต้มน้ำร้อนให้กับภิกษุณีผู้เป็นภันเตทั้ง ๆ ที่มีอายุคราวลูก แต่ท่านก็ไม่ปฏิเสธ ท่านไม่รังเกียจงาน แล้วปรากฏว่าในที่สุดท่านก็บรรลุธรรม บรรลุอรหัตผลในขณะที่อยู่ในครัว
ในขณะที่รอน้ำเดือด แต่ท่านไม่ได้รอเปล่า ๆ ท่านก็เดินจงกรมอยู่ในครัว เจริญสติทำความรู้สึกตัวไป สุดท้ายจิตก็สว่างโพลง ท่านเข้าใจสัจธรรม จิตหลุดพ้นเลย ไม่ใช่แค่เป็นพระโสดาบัน ท่านเป็นถึงพระอรหันต์เลยทีเดียว เป็นผู้ที่บรรลุอรหัตผลในครัว
อีกหลายท่านที่บรรลุอรหัตผลในที่ต่าง ๆ ไม่ใช่ในโบสถ์ ในวัด ไม่ใช่ในอิริยาบถที่เป็นการปฏิบัติในรูปแบบ บางท่านได้ยินเสียงร้องจากผู้หญิงบ้านข้าง ๆ ที่ท่านเดินผ่าน เนื้อหาที่ร้องก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ เป็นเพลงรักแต่ว่าผู้ร้องก็ร้องด้วยความโศกเศร้า เพราะว่าความรักมันขาดสะบั้น มันไม่เที่ยง อะไร ๆ มันก็ไม่แน่นอน ท่านฟังก็บรรลุอรหัตผลเลย
แต่คนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจ ไปเข้าใจว่าจะบรรลุธรรม หลุดพ้นได้ก็ต้องนั่งภาวนาอย่างอุกฤษฏ์ ที่ประเทศญี่ปุ่นมีชายหนุ่ม ไม่ใช่ชายหนุ่ม เป็นพระ พระหนุ่ม มาขอพัก มาปฏิบัติในสำนักที่มีชื่อเสียง เพราะได้ทราบว่าในสำนักนี้ครูบาอาจารย์น่ายกย่องมาก ก็มากราบคารวะเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสถามว่า มาทำไม ท่านบอกว่าต้องการบรรลุธรรม ต้องการพ้นทุกข์ครับ หลวงพ่อเจ้าอาวาสว่าก็เลยบอกว่า ก็ดีแล้ว งั้นก็ไปตักน้ำ ผ่าฟืนในโรงครัว ปรากฏว่าทำไปได้แค่ 2-3 วันก็หนีไปเลย บอกว่าผมมาปฏิบัติธรรมไม่ได้มาทำงาน แบบนี้มีเยอะ
แต่ก็อย่างชายหนุ่มคนหนึ่ง เขามาขอพักในวัดเพราะว่ายากจน หลวงพ่อจะให้ทำอะไรก็ทำ หลวงพ่อก็เลยส่งไปโรงครัว ไปหาบน้ำ ผ่าฟืนในโรงครัว และท่านบอกให้ทำอย่างมีสติ ให้ตั้งใจ หนุ่มคนนั้นก็น้อมรับ แล้วก็ไปทำอย่างที่หลวงพ่อสั่ง แกไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ปริปากตีโพยตีพายเลย
แม้งานจะหนักเขาก็ทำด้วยความใส่ใจ แล้วเขาก็ไม่ได้ใช้แรงกายอย่างเดียว ใจก็ทำอย่างที่หลวงพ่อแนะนำด้วย ให้มีสติอยู่กับการทำ ปรากฏว่าทำได้ไปได้สัก 2 เดือน ซาโตริ บรรลุธรรมเลย
อันนั้นชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นงานการที่ธรรมดาสามัญ มันก็เป็นหนทางสู่ความหลุดพ้นได้ ทางฝ่ายคริสต์เขาเชื่อในพระเจ้า แต่ทางฝ่ายพุทธเราเชื่อในเรื่องของความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็คือนิพพาน ไม่ว่าจะทำงานอะไรมันก็จะเป็นพาหนะไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ทั้งนั้น อยู่ที่การวางใจ
ไม่ว่าจะทำงานหรือแม้กระทั่งเอามือลูบผ้าขาว อย่างพระจูฬปันถก เป็นคนโง่มาก พี่ชายให้ท่องโศลกแค่ 4 บรรทัด ท่านยังท่องไม่ได้ตลอดพรรษา พี่ชายก็ไม่เข้าใจ เป็นพระเหมือนกัน ก็ไล่ให้ไปสึก แล้วพระจูฬปันถกก็ไปทูลลาพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเห็นว่าท่านพระจูฬปันถกมีอินทรีย์ที่สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้เพราะเป็นคนซื่อ เป็นคนตั้งใจ ใครสอนใครแนะนำก็ทำ จะเรียกว่าอัตตาเบาบางก็ได้ พระองค์จึงให้ท่านไปลูบผ้า เป็นผ้าขาวเล็ก ๆ คล้าย ๆ ผ้าเช็ดหน้า ให้ลูบไปแล้วก็บริกรรมไป รโชหรณํ ๆ (ระ-โช-หะ-ระ-นัง)
ระหว่างที่พระจูฬปันถกทำ ทำไปนาน ๆ จิตก็เป็นสมาธิ แล้วเห็นว่า โอ้ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าที่เคยขาว พอลูบไปนาน ๆ ก็หมอง ก็สกปรก เหมือนจิตคนเราเลยที่เคยสะอาดผ่องแผ้ว แต่สุดท้ายก็หมองคล้ำเพราะกิเลส
และท่านก็คงเห็นว่ามันก็ไม่เที่ยงเลย จิตของคนเรา สังขารของคนเราไม่เที่ยงเลย ที่เคยขาวก็กลายเป็นสกปรกไป พอพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ กำลังสมาธิ จิตของท่านก็หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์เลย
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรถ้าทำด้วยใจที่ตั้งมั่น อยู่กับปัจจุบัน มีสติ เรียกว่าทำอะไรด้วยใจเต็มร้อย ก็ช่วยทำให้จิตพัฒนาขึ้น จากความรู้ตัวหรือรู้ตัวทั่วพร้อมหรือว่ารู้เนื้อรู้ตัว ก็สามารถจะกลายเป็นความรู้สัจธรรมความจริง ไม่ใช่แค่รู้ตัว แต่รู้ความจริงจนจิตหลุดพ้นได้ แม้ยังไปไม่ถึงขั้นรู้หยั่งลึกถึงสัจธรรมความจริง แต่แค่รู้ตัวมันก็ช่วยได้เยอะแล้ว
การที่คนเราจะรู้ตัวทั่วพร้อมได้ ก็ต้องอาศัยการทำอะไรด้วยใจอยู่กับปัจจุบัน ท่านติช นัท ฮันห์ ท่านเคยพูดว่า การเดินบนพื้นโลกคือปาฏิหาริย์ ไม่ใช่การเหาะเหินเดินอากาศ การดำดินบินบน นั่นไม่ใช่ปาฏิหาริย์
ปาฏิหาริย์คือการเดินบนพื้นดินด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว ไม่ต้องไปแสวงหาความวิเศษมหัศจรรย์จากที่ไหน เพียงแค่เดินบนพื้นอย่างมีสติ มันก็กลายเป็นปาฏิหาริย์ได้
ท่านเคยมอบภาพที่เป็นลายมือเขียนของท่านเป็นภาษาอังกฤษตอนที่ไปเยี่ยมท่านที่ปากช่อง เขาใหญ่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ข้อความที่เป็นภาษาอังกฤษเขียนว่า this moment is full of wonders ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ ก็คือปัจจุบันขณะ ในช่วงเวลานี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความอัศจรรย์
เพราะถ้าใจเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับเนื้อกับตัว เกิดความรู้สึกตัว ก็จะเห็นโลกนี้เต็มไปด้วยความอัศจรรย์
อัศจรรย์อย่างแรกคือ ความงดงามของธรรมชาติ ท้องฟ้า หมู่เมฆ ดอกไม้ ผิวน้ำ แต่ต่อไปก็สามารถที่จะหยั่งเห็นไปถึงสัจธรรมความจริงที่ทำให้พ้นทุกข์ได้ เพราะว่าเมื่อเห็นสัจธรรมความจริงจิตก็หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น อันนี้เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์เลย
เพียงแค่เราเห็นปาฏิหาริย์ท่ามกลางชีวิตสามัญ ท่ามกลางความธรรมดา ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเท่าไหร่ หรือไม่ใช่เรื่องจิ๊บจ๊อยเท่าไหร่ ท่ามกลางความธรรมดามันมีความงดงาม มีปาฏิหาริย์ให้เราได้สัมผัสหรือความอัศจรรย์
มีนักดนตรีชื่อดัง ชาวอังกฤษ แกเล่นกีต้าร์เก่งมากแล้วก็เป็นนักแต่งเพลง ชื่อ วิวโก จอห์นสัน (Wilko Johnson) ในวงการพังก์ก็รู้จักดี วิวโก จอห์นสัน เมื่อ 10 ปีที่แล้วเขาไม่สบายไปหาหมอ หมอวินิจฉัยแล้วบอกว่าเขาเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน แบบสตีฟ จ๊อบส์ เลย อยู่ได้ไม่นานเพราะไม่มีทางรักษา
แทนที่เขาจะหดหู่ เมื่อเขาออกจากโรงพยาบาลเขาบอกว่า จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกมีชีวิตชีวามากเลย เวลามองท้องฟ้า มองก้อนเมฆ มันสวย มันให้ความรู้สึกที่วิเศษมากเลย เขาบอกว่าช่วงเวลานั้นเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์มาก ทั้ง ๆ ที่เดินอยู่บนถนนไม่ได้บินอยู่บนท้องฟ้า
เขาบอกว่า สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็น สายลมเย็นที่มากระทบ รวมทั้งก้อนหินที่อยู่บนถนน มันงดงามไปหมด เห็นแล้วก็รู้สึกมีชีวิตชีวามาก ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับขนนกที่ลอยไปตามสายลม คือรู้สึกอิสระ มีชีวิตชีวา
เขาแปลกใจมากที่ว่า เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกเสียใจหรือหดหู่เลย กลับรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นซึ่งก็เคยเห็นมาตั้งแต่เกิดจนแก่ แต่ไม่เคยเห็นเลยว่ามันสวยงาม มันน่าทึ่ง แต่พึ่งมาเห็นวันนั้น ก้อนหิน ท้องฟ้า หมู่เมฆ หรือว่าทางเดิน สายลม มันวิเศษมาก
แล้วเขาก็สงสัยว่าทำไมไม่รู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่มันทำให้เขาได้พบ สิ่งแวดล้อมที่ธรรมดาสามัญนี้มันเต็มไปด้วยความพิเศษมหัศจรรย์มาก แต่เขาไม่เคยสัมผัส แต่เมื่อได้สัมผัสตอนที่มารู้ว่ากำลังใกล้ตาย
คนเราพอรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่นาน สิ่งที่ธรรมดาสามัญนี้ก็กลายเป็นเรื่องวิเศษมหัศจรรย์ขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นได้ดูได้สัมผัสอีกนานเท่าไหร่ แม้แต่ลมหายใจที่ยังหายใจเข้าหายใจออกได้ก็กลายเป็นความมหัศจรรย ที่วิวโก จอห์นสันเห็นความเห็นความอัศจรรย์ของโลกรอบตัวซึ่งเขาเคยมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญได้ เพราะว่าเขารู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน
แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ต้องรอให้ใกล้ตายถึงค่อยมาเห็นความอัศจรรย์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่เคยเห็นว่ามันธรรมดาสามัญ ฉะนั้นถ้าเรารู้จักทำความรู้สึกตัว เอาใจมาอยู่กับปัจจุบันแทนที่จะปล่อยใจลอยไปอดีตหรือไหลในอนาคต ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้จมอยู่กับอารมณ์ ก็กลับมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่กำลังทำ ทำอะไรด้วยใจเต็มร้อย
ซึ่งหลายคนจะพบว่ามันทำยาก เพราะว่ามักจะทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน อาบน้ำไปด้วยใจก็คิดนั่นคิดนี่ ตื่นเช้าขึ้นมาแทนที่จะรู้สึกถึงยามเช้าที่สดชื่นหรือรู้เนื้อรู้ตัวขณะที่ขยับเขยื้อน หรือว่าเก็บที่นอนด้วยความรู้สึกตัวกลับไปนึกถึงว่าไปทำงานแล้วเดี๋ยวเราจะ Present นำเสนอในที่ประชุมว่าอย่างไร หรือบางคนก็คิดว่าวันนี้จะโพสต์อะไรดี ใจไม่ค่อยได้อยู่กับปัจจุบันเลย
ถ้าหากว่าเรารู้จักพาใจให้อยู่กับปัจจุบัน ทำอะไรก็ทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว หรือทำด้วยใจเต็มร้อย ทำทีละอย่าง ไม่ใช่ทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน อย่างแรก ๆ ที่เราจะรู้สึกได้คือความรู้สึกเบาสบาย ไม่มีเรื่องวิตกกังวล เพราะใจไม่ได้ไปพะวงถึงอนาคต แล้วก็ไม่มีเรื่องหงุดหงิดหัวเสียกับสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หรือว่าเมื่อสองสามวันก่อน
แล้วยิ่งเอาใจมาอยู่กับเนื้อกับตัว แทนที่จะมาเปิดดู ไถโทรศัพท์มือถือ แล้วก็เสพรับข้อมูลข่าวสารที่ทำให้หงุดหงิด หัวเสียนั้น มาอยู่กับความรู้เนื้อรู้ตัว เรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อม อันนี้เป็นขั้นต้นเลยในการที่จะสลัดความทุกข์ออกไปจากใจ หรือว่าไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
เพราะถ้าใจเราอยู่กับปัจจุบัน มันไม่มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ทุกข์ได้ และต่อไปเวลามีความคิดผุดขึ้นมา เวลามีงานการมาเรียกร้องความสนใจจากเรา หรือว่าบางทีก็ผุดนึก คิดถึงคำต่อว่าด่าทอของคนอื่น ก็สามารถที่จะปัดเป่ามันออกไปจากใจ หรือรักษาใจไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาย่ำยีบีฑาจิตใจเราได้
พอใจเราเปิดโล่งมันก็สามารถจะเห็นสิ่งสวยงามที่อยู่ท่ามกลางความธรรมดาสามัญได้ เราจะรู้สึกถึงความโปร่งเบา ความสบาย และต่อไปไม่ใช่แค่นั้น มันจะเห็นธรรมที่ธรรมชาติหรือสรรพสิ่งแสดงออกมา
พอใจเราเปิด พอใจเราโล่ง มันก็จะง่ายที่จะเปิดรับสัจธรรม ซึ่งสรรพสิ่งเขาแสดงให้เราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า หมู่เมฆ แสงแดด ใบไม้ที่ร่วงหล่น หรือดอกไม้ที่เริ่มโรยรา สัจธรรมแสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
และสัจธรรมนี้แหละที่ทำให้จิตสามารถจะเกิดปัญญาจนหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ อย่างที่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าสำหรับผู้ที่มีปัญญา ข้อความที่ท่านตอบเมื่อมีพระผู้ใหญ่ถาม ครูบามั่น ท่านไม่ได้เรียนรู้สูง ท่านออกธุดงค์อยู่ในป่าตลอดเวลา ทำไมท่านถึงรู้ธรรมที่ลึกซึ้งได้
ผู้ที่ถามท่านเป็นถึงสมเด็จ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่การศึกษาแบบปริยัติธรรมสมัยใหม่ให้เป็นที่แพร่หลายในภาคอีสาน ตัวท่านเองก็เรียกว่าเป็นเปรียญเอก ท่านเคยคิดว่าจะรู้ธรรมได้ต้องอ่านหนังสือต้องอ่านตำรา แต่ทำไมครูบามั่นจึงรู้ธรรมได้ลึกซึ้ง
แต่ก่อนท่านรังเกียจพระป่าสายอาจารย์มั่น เห็นว่าเป็นพวกเร่ร่อน ไม่สังกัดวัด หนังสือไม่เรียน เอาแต่ธุดงค์ จมอยู่กับเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่อ่านหนังสือ ไม่เรียนหนังสือแล้วจะรู้ธรรมได้อย่างไร
หลวงปู่มั่นท่านตอบว่า สำหรับผู้ที่มีปัญญา ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า ธรรมะที่ว่าหมายถึงธรรมะไม่ใช่แค่คุณธรรมความดีหรือจริยธรรมเท่านั้น แต่หมายถึงสัจธรรม ไม่ใช่สัจธรรมระดับโลกิยะ แต่สัจธรรมระดับโลกุตระ ที่ทำให้พ้นทุกข์ ทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลย ทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่ใช่ตัวใช่ตน
ทั้งหมดนี้ก็เริ่มต้นจากการที่ทำอะไรด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว ไม่ให้ใจถูกความหลงครอบงำ เมื่อรู้ตัวจนกระทั่งตัวกูไม่ปรากฏ ต่อไปมันก็จะรู้ความจริง จนดับความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูได้ ทุกครั้งที่เรามีความรู้สึกตัว ตัวกูมันไม่มีโอกาสจะเกิดเพราะว่ามันเกิดได้ในยามที่เราหลง หรือในยามที่ความหลงครองใจ
หลงเมื่อไหร่ก็ปรุงตัวกูขึ้นมา แล้วเกิดความสำคัญมั่นหมายในตัวกู ของกู กูเดิน กูโกรธ กูเศร้า กูดีใจ เป็นเพราะหลงทั้งนั้นแหละ แต่พอรู้ตัว รู้เนื้อรู้ตัว ความหลงหายไป ตัวกูก็ดับไปด้วย แต่มันก็ดับไปชั่วคราวเพราะคนเรารู้ตัวได้ประเดี๋ยวประด๋าวเดี๋ยวก็หลงอีกแล้ว นี้คือเหตุผลที่เรามาภาวนา มาเจริญสติ เพื่อให้มีความรู้สึกตัวต่อเนื่อง
เมื่อรู้ตัวต่อเนื่อง ต่อไปมันจะไม่ใช่แค่รู้ตัวแต่มันจะรู้ความจริง จนกระทั่งตัวกูไม่มีที่ตั้ง กิเลสเกิดขึ้นไม่ได้ และนี่ก็คือเรียกว่าความพ้นทุกข์ที่เราจัดว่าเป็นสุดยอดปาฏิหาริย์.