พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 9 ตุลาคม 2567
การภาวนาหรือว่าการปฏิบัติธรรมหรือว่าการฝึกตน ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง นอกจากการมีสุขภาพดี มีกำลังวังชาแล้ว ยังต้องมีความขยันหมั่นเพียร มีศีล ที่จะช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยดี ต่อเนื่อง
เพราะถ้าไม่มีศีลก็มีความร้อนใจ มีความวิตกกังวล หรือว่ามีสิ่งมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง นอกจากนั้นแล้วยังต้องมีความตั้งใจมั่น ทางพระเราเรียกว่าอธิษฐาน
เดี๋ยวนี้คนไทยไปเข้าใจว่าอธิษฐานหมายถึงการขอ อธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้โชคได้ลาภ ให้หายป่วย อันนี้ไม่ใช่ความหมายที่แท้ของอธิษฐานที่เป็นธรรมะ หรือเป็นความหมายที่แท้ในภาษาบาลี
อธิษฐานหมายถึงความตั้งใจมั่น ความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะทำสิ่งดีๆ จัดว่าเป็นบารมีข้อหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงบรรลุธรรมก็เพราะว่าได้บำเพ็ญบารมี 10 ประการอย่างครบถ้วน 1 ใน 10 ก็คืออธิษฐานบารมี
เวลาพระจะจำพรรษาก็ต้องมีการอธิษฐาน เรียกว่าอธิษฐานพรรษา ตั้งใจมั่นว่าจะอยู่จำพรรษาให้ครบ 3 เดือน เพราะอะไร เพราะว่าถ้าไม่มีการอธิษฐานหรือการปักใจตั้งใจลงไปแล้ว ก็อาจจะคลอนแคลน เลิกกลางคัน
พวกเรามาที่นี่ ถ้าเราอธิษฐานเอาไว้ก่อนว่าเราจะอยู่ปฏิบัติที่นี่จนครบ 5 วัน 7 วันหรือจนครบคอร์ส ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็จะไม่ออกวัด ออกจากคอร์สไป อันนี้เป็นวิธีปิดช่องไม่ให้กิเลสมันชักพาเราออกจากทางปฏิบัติ บางทีมารก็มาชักชวนยั่วยวนให้เราเลิกปฏิบัติโดยอาศัยช่องว่าง
คนเราทุกวันนี้ก็เชื่อข้ออ้าง โดยไม่รู้ว่ามันเป็นข้ออ้างของกิเลส แม้จะดูเหมือนมีเหตุมีผล ถ้าเราไม่มีการตั้งจิตอธิษฐานอย่างมั่นคงว่าจะอยู่ปฏิบัติจนครบที่กำหนดเอาไว้ เราก็จะโลเล พอเจอปัญหา เจอความไม่สะดวกสบาย ก็เริ่มลังเล สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อกิเลส
นอกจากการมีความขยันหมั่นเพียร มีศีล มีอธิษฐานแล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็น อาจจะไม่ค่อยมีคนพูดเท่าไร ก็คือความกล้า กล้าที่ว่านี่ก็กล้าไปอยู่ปฏิบัติในที่ที่ไม่คุ้นเคย หลายคนไม่เคยมาวัด หลายคนไม่เคยนอนคนเดียว หลายคนไม่เคยนอนพื้นกระดาน มันต้องมีความกล้า หรืออีกแง่หนึ่งคือไม่กลัว
ไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวการอยู่คนเดียว แล้วที่นี่อาจจะรวมไปถึงการไม่กลัวแมลง ไม่กลัวตุ๊กแกด้วย เพราะถ้ากลัวแล้วก็จะท้อแท้ท้อถอย หรือคลายความเพียร หรือถึงแม้จะไม่ได้มาปฏิบัติที่นี่ ปฏิบัติที่ไหนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รีสอร์ท หรือสถานที่ที่ให้ความมั่นคงปลอดภัยหรือสวัสดิภาพ ก็ยังต้องอาศัยความกล้า เราถึงจะปฏิบัติได้ต่อเนื่อง แล้วก็เกิดผลดี
ความกล้าที่ว่าคือ กล้าที่จะผิด หรือไม่กลัวผิด ยิ่งถ้าปฏิบัติแบบสติปัฏฐานตามแนวหลวงพ่อเทียนด้วยแล้ว จะต้องไม่กลัวหลง ไม่กลัวฟุ้ง หลายคนพอปฏิบัติไปๆ ก็กลัวฟุ้ง กลัวหลง ก็เลยพยายามบังคับจิต มีการจ้อง มีการเพ่งไปที่เท้าบ้าง บางคนก็หลับตา เพราะกลัวมันจะฟุ้ง บางคนก็เพ่งที่มือ เพื่อไม่ให้ใจฟุ้งไปที่ไหนหรือส่งออกนอก
บางคนก็ใช้วิธีบริกรรม ทั้งที่ที่นี่เราไม่ได้แนะให้มีการบริกรรม บริกรรมเช่น นับ 1 2 3 4 จนครบ 14 ตามจังหวะที่สร้าง หรือบางทีก็มีการบริกรรมพุท-โธ ที่นี่เราไม่มีการบริกรรม หลายคนก็สงสัยว่าถ้าไม่บริกรรมแล้วเดี๋ยวจิตก็ฟุ้ง
ฟุ้งก็ฟุ้งไป อย่าไปกลัว บางคนกลัวว่าจิตมันจะหลงเข้าไปในความคิด ก็ปล่อยให้มันหลงไป แล้วเราก็สามารถจะเรียนรู้ได้จากความฟุ้งจากความหลง มันเหมือนกับเราจะขี่จักรยาน จะขี่เป็นก็ต้องไม่กลัวล้ม
คนที่กลัวล้มเขาจะขี่จักรยานเป็นได้ยาก แล้วพอกลัวล้มก็เอาล้อเล็ก 2 ล้อมาติดไว้ตรงล้อหลัง เพื่อค้ำไม่ให้ล้ม อาตมาตอนเด็กๆ ก็ทำแบบนี้ ตอนนั้น 9 -10 ขวบ ได้รถจักรยานมา แล้วก็มีล้อ 2 ล้อเล็กๆ ติดอยู่ข้างหลังหรือข้างๆ ล้อหลัง เราก็ขี่สบายเลย แม้จะเป็นการขี่ครั้งแรก แต่กลายเป็นว่าขี่จักรยานไม่เป็นเลย ถ้าไปขี่จักรยานที่ไม่มีล้อ 2 ล้อมาพ่วงหรือค้ำเอาไว้ ก็ล้ม
แต่ถ้าเราจะขี่จักรยานให้เป็นก็ต้องไม่กลัวล้ม เหมือนกับว่ายน้ำ ถ้าจะว่ายน้ำให้เป็น เราก็ต้องไม่กลัวสำลักน้ำ ถ้าเรากลัวสำลักน้ำเมื่อไร ก็จะว่ายน้ำเป็นได้ยาก หรือเหมือนกับการข้ามท้องร่องเรือกสวนไร่นา สมัยก่อนมีท้องร่อง เราจะข้ามท้องร่องได้ต้องอาศัยไม้ไผ่ลำเดียว
ตามสวนในเมืองนนท์สมัยก่อนที่ไปดูมา จะข้ามท้องร่องต้องอาศัยไม้ไผ่ลำเดียว แล้วก็ไม่มีราวด้วย คนที่จะข้ามท้องร่องด้วยลำไม้ไผ่แบบนี้ได้คล่องแคล่วชำนาญ เขาต้องไม่กลัว ไม่กลัวตก แต่ที่ไม่กลัวตกไม่ได้แปลว่าไม่ตก ก็มีตกอยู่แล้ว แต่ว่าพอเราข้ามบ่อยๆ ตกแล้วตกอีก สุดท้ายก็ทรงตัวได้ ไม่ต้องมีราว ก็สามารถจะข้ามท้องร่องได้ด้วยไม้ไผ่ลำเดียว
การเจริญสติอย่างที่เราทำกันที่นี่ก็เหมือนกัน หลายคนพอไม่มีการบริกรรม ไม่มีการจ้อง ไม่มีการเพ่ง มันก็รู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนกับข้ามท้องร่องโดยไม่มีราวจับ ก็กลัวว่าจิตจะฟุ้ง ก็ไม่กล้า เลยต้องบริกรรม ต้องจ้อง ต้องเพ่ง แล้วพอทำไปนานๆ ก็เครียด ปวดหัว เพราะว่าพอมีความคิดก็เบรก ห้ามความคิดแบบเบรกรถแรงๆ
หรือว่าการไปบังคับจิตให้จ้อง ไปเพ่งอยู่นานๆ มันก็ทำให้เหนื่อยล้า จิตก็ต่อสู้ขัดขืน พยศ รวน ทำไปนานๆ ที่จริงทำไม่นานเดี๋ยวก็มีอาการแล้ว ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไร เพราะกลัว กลัวฟุ้ง กลัวหลง กลัวผิด
การปฏิบัตินั้นเราอย่าไปกลัว หรือว่าการเจริญสติ หากจะฟุ้งก็ฟุ้งไป จะหลงก็หลงไป ขอให้ทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ ทำนานๆ เพราะอะไร เพราะว่าพอเราทำไปเรื่อย ๆ สติจะมีความเชี่ยวชาญชำนาญ
สังเกตไหมเวลาเราปฏิบัติแล้วใจเกิดลอย ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ คิดนู่นคิดนี่ คิดไป 7-8 เรื่อง 10 เรื่องก็มี แต่จู่ ๆ ก็เกิดรู้ตัวขึ้นมา เกิดรู้ว่าเผลอคิดขึ้นมา แล้วทันทีที่รู้ว่าเผลอคิด หรือระลึกรู้ว่ากำลังเดินจงกรมอยู่ จิตกลับมาเลย ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ในอดีต ไปอยู่อนาคต ไปที่บ้าน
แต่ว่าพอรู้ว่าเผลอ จิตกลับมาเลย กลับมาที่ไหน กลับมาที่กาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับการเดิน กลับมาอยู่กับการสร้างจังหวะ แล้วถ้าเราทำแบบนี้บ่อยๆ บ่อยๆ สติจะทำงานได้เร็วขึ้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่ามีสติได้เร็วขึ้น สติจะผุดขึ้นมากลางใจได้เร็วขึ้น จากคิดไป 10 เรื่องถึงค่อยมีสติ ตอนหลังนี่ 9 เรื่อง 8 เรื่องก็มีสติแล้ว คล้ายว่าสติทำงานได้เร็วขึ้น
มันเป็นการทำงานของสติที่เราจะเรียกว่าเกิดขึ้นเองก็ได้ คือไม่ได้ตั้งใจ แต่จะว่ามันเกิดขึ้นเองก็ไม่เชิง มันเกิดขึ้นจากการฝึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ เหมือนกับเราท่องศัพท์ ศัพท์ภาษาจีน ศัพท์ภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ ทีแรกเราก็จำไม่ค่อยได้ แต่พอเราท่องบ่อยๆ ท่องบ่อยๆ มันก็จำได้ เห็นที่ไหนก็นึกออกว่ามันแปลว่าอะไร
ที่นึกออก จะเรียกว่านึกขึ้นมาได้เองก็ได้ แต่ที่จริงไม่ใช่ มันเกิดจากการฝึกฝน ทำซ้ำๆ สิ่งที่เรามาทำที่นี่ก็คือ การเปิดโอกาสให้สติได้ทำงานของเขาขึ้นมาเอง ให้สติได้ผุดขึ้นมาเอง เวลามันหลงก็ระลึกรู้ขึ้นมาได้เอง แล้วก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ เร็วขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ตั้งใจ โดยไม่พยายาม
ถามว่าสติแบบนี้สำคัญอย่างไร สำคัญก็เพราะว่าเวลาเราเจออะไรแรง ๆ มากระทบ แล้วเราเกิดอารมณ์ เกิดความกลัว เกิดความโกรธ เกิดความโศกความเศร้า ถ้าเราฝึกสติแบบนี้บ่อยๆ มันจะผุดขึ้นมา แล้วช่วยพาจิตหรือกอบกู้จิตออกจากอารมณ์เหล่านั้นได้ กลับมารู้เนื้อรู้ตัวได้เร็ว
เวลาเราเจอเรื่องกระทบแรง ๆ มันไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันคิดว่าจะทำอะไรดีหรือจะทำอย่างไรดีถ้าไม่มีสติ แต่จะให้สติเกิดขึ้นตามความต้องการของเรา ก็ไม่ทันกับความคิด แต่ถ้าเราฝึกสติบ่อยๆ มันจะทำงานของมันเอง
อย่างเช่นเวลาขับรถ เกิดรถยางแตกขึ้นมา ตกใจ เกือบจะเหยียบเบรกอยู่แล้ว ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าเหยียบเบรกไม่ได้ อันตราย เดี๋ยวรถพลิกคว่ำ การระลึกรู้ขึ้นมาเช่นนี้มันเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่ว่าตั้งใจ
เวลามีคนมาต่อว่าด่าทอแล้วเราโกรธ ก่อนที่เราจะหลุดปากด่าตอบโต้ออกไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้น จิตใจก็บรรเทาเบาบางจากความโกรธ เราต้องการฝึกสติแบบนี้ ให้มันทำงานของมันเอง โดยที่ไม่ได้ไปตั้งใจหรือสั่งให้มันทำ เพราะว่าในยามนั้นเราไม่ทันได้คิด แล้วของพวกนี้มันทำงานของมันเอง ถ้าเราฝึกบ่อยๆ
มีคนหนึ่งขี่จักรยานตอนกลางคืน ปรากฏว่าจู่ ๆ มีรถพุ่งมาชนข้างหลัง แกรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็มีปรากฏการณ์ 3 อย่างเกิดขึ้นในใจของแก คือ เห็นแสงสว่าง เห็นภาพของครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ แล้วใจก็เริ่มสวดมนต์ จนหมดสติไป
แน่นอนว่าเขาไม่ตาย เพราะถ้าเขาตาย เขาก็จะมาเล่าให้ฟังไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเขาตาย ก็เชื่อว่าไปดีเพราะว่าเขาไม่มีความกลัว ไม่มีความวิตกอะไรเลย สิ่ง 3 สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ถามว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาไม่ได้ตั้งใจ มันเกิดขึ้นเอง นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะเขาคิดบ่อย ๆ นึกถึงครูบาอาจารย์อยู่เสมอ ๆ แล้วก็สวดมนต์อยู่เป็นประจำ นี้เป็นอานิสงส์ของการทำซ้ำ ๆ
สติก็เหมือนกัน จะทำงาน ช่วยรักษาใจของเราให้ปลอดภัยจากอารมณ์ที่เป็นอกุศลได้ ถ้าเราฝึกด้วยวิธีการที่ว่านี้ ก็คือว่าฝึกให้สติเขาทำงานของเขาขึ้นมาเอง จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องไม่กลัวหลง ไม่กลัวฟุ้ง เพราะถ้าเรากลัวหลง กลัวฟุ้ง ก็จะไปบังคับไม่ให้มันฟุ้ง แล้วถ้าไม่มีการฟุ้ง ไม่มีการหลง สติเราก็จะไม่มีการบ้านที่จะฝึกที่จะซ้อม
คนเราก็เรียนรู้จากความผิดพลาด เหมือนกับเวลาเราทำการบ้าน ถ้าเราไปลอกคำตอบจากเพื่อนหรือว่าจากอินเตอร์เน็ต เราก็ไม่มีความรู้ แต่ถ้าเราไม่กลัวผิด เราก็ทำไป แม้จะผิดแต่เราก็ได้ความรู้
คนไทยเราจำนวนมากกลัวผิด กลัวมาก เวลาครูถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ ไม่เหมือนฝรั่ง ไม่เหมือนกับคนญี่ปุ่น คนสิงคโปร์ ครูถามอะไรนักเรียนก็ตอบ ไม่ใช่ตอบถูก ที่ตอบผิดก็มี แต่เขาไม่กลัวผิด เพราะรู้ว่าผิดเป็นครู แต่คนไทยไม่กล้าตอบเพราะกลัวผิด
ถามว่าทำไมกลัวผิด เพราะว่าถ้าผิดแล้วครูจะด่าครูจะว่า หรือว่าเสียหน้า ไม่ว่าจะทำอะไรก็กลัวผิด จะพูดภาษาอังกฤษในชั้นเรียนหรือว่ากับฝรั่งก็ไม่กล้า เพราะกลัวผิด ผิดแกรมม่า แล้วครูก็เข้มงวดกวดขันในเรื่องนี้มากคือ ถ้าตอบแล้วก็ต้องถูก ถ้าตอบผิดก็จะถูกครูว่า นักเรียนก็เลยกลัวผิด พอโตขึ้นมาก็เลยกลัวผิด ก็เลยไม่ก้าวหน้า
ที่จริงไม่ใช่เฉพาะการสั่งสอนในโรงเรียน การอบรมเลี้ยงดูในบ้านโดยพ่อแม่ก็เหมือนกัน เด็กจำนวนมากกลัวผิด ที่กลัวผิดไม่ใช่เพราะว่ากลัวพ่อแม่จะว่า แต่ต้องการความรักจากพ่อแม่ แล้วคิดว่าถ้าทำผิดแล้วพ่อแม่จะไม่รัก
ที่จริงอย่าว่าแต่ผิดเลย แม้แต่ถูก ถ้าถูกไม่ครบร้อยก็มีปัญหา หลายคนกลัวถ้าเกิดว่าสอบแล้วไม่ได้ 4 กลัวว่าพ่อแม่จะไม่รัก เพราะได้ 3.8 มารายงานให้พ่อแม่ พ่อแม่ไม่พอใจ ถามว่าทำไมไม่ได้ 4
มีผู้หญิงคนหนึ่งแกสอบได้ถึง 98 เปอร์เซนต์ คิดว่าพ่อจะดีใจ พอรายงานให้พ่อทราบ พ่อถามว่าแล้วอีก 2 เปอร์เซนต์ หายไปไหน นับแต่นั้นมาเธอก็ต้องพยายามสอบให้ได้ 100 เปอร์เซนต์ ทำอะไรก็ต้องให้ได้ 100 เปอร์เซนต์ ไม่ใช่เพราะกลัวถูกพ่อว่า แต่กลัวว่าพ่อจะไม่รัก กลัวว่าแม่จะไม่รัก
คิดว่าความรักของพ่อแม่จะเกิดขึ้นได้ ต้องให้เต็มร้อย ต้องทำอะไรให้เต็มร้อย ไม่มีผิดเลย เธอก็เลยกลายเป็นคนที่เครียดมาก ทำอะไรก็ต้องทำให้เต็มร้อย จนโตเป็นสาว เธอไปทำใบขับขี่ เขาให้ตำรามาเพื่อใช้สอบใบขับขี่ เธอก็ท่องใหญ่เลย ตอนนั้นมีแฟนแล้ว แฟนจะชวนไปเที่ยวก็ไม่ไป จะชวนไปเดินเล่นก็ไม่ไป
ฉันจะท่องตำราเพื่อสอบใบขับขี่ให้ได้ร้อย แล้วก็สอบได้ 100 เปอร์เซนต์เลย วันที่สอบได้ 100 เปอร์เซนต์ วิ่งมาที่บ้าน มาบอกให้แฟนรู้ว่าฉันสอบใบขับขี่ได้ 100 เปอร์เซนต์ พอแฟนเห็นแทนที่จะชม ก็กลับพูดอย่างนุ่มนวลว่าทำไมเธอทำถึงขนาดนี้ เพราะว่าอะไร เพราะสอบใบขับขี่มันไม่ต้อง 100 เปอร์เซนต์ ก็ได้ แค่ 60 เปอร์เซนต์ก็ผ่านได้แล้ว
ทำไมต้องเสียเวลาทุ่มเทไปกับการสอบให้ได้ร้อย ส่วนหนึ่งเพราะว่าผู้หญิงนี้คิดว่าถ้าสอบได้ร้อยแล้วแฟนจะรัก แต่แฟนต้องการบอกว่าไม่ว่าเธอจะสอบได้กี่เปอร์เซ็นต์ ฉันก็รัก เป็นของใหม่ที่ทำให้เธอรู้ว่าคนเรามันไม่จำเป็นต้องทำให้เต็มร้อยก็ได้
แต่ว่าคนบางคนเขากลัว กลัวว่าจะไม่ได้รับความรัก ฉะนั้นเลยไม่กล้าผิด กลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนที่มีคุณค่า คนที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือคนรัก แต่ถึงแม้จะไม่แคร์หรือไม่วิตกเรื่องนี้ อย่างน้อยคนจำนวนไม่น้อยก็กลัวว่า ถ้าทำผิด จะไม่เป็นที่ยอมรับของตัวเอง จะไม่เป็นที่ภาคภูมิใจ
อันนี้ก็ทำให้บางคนเป็นพวกที่ทำอะไรต้องให้เต็มร้อย ถ้าไม่เต็มร้อยก็จะรู้สึกผิด รู้สึกไม่สบายใจ แล้วพอเอาความรู้สึกแบบนี้ ท่าทีแบบนี้มาปฏิบัติธรรม จะทุกข์มาก เพราะว่าปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะการเจริญสติ มันไม่มีทางที่จะไม่ผิด ไม่ฟุ้ง ไม่พลาด ไม่หลง แล้วคนที่กลัวหลงกลัวฟุ้ง จะพยายามบังคับจิต ก็เลยไม่เกิดความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ
ที่จริงแค่จะปฏิบัติให้ต่อเนื่องก็ทำไม่ได้แล้วเพราะว่าท้อแท้ หงุดหงิด โมโห บางคนโกรธตัวเองว่าทำไมถึงฟุ้ง แล้วพอทำแบบนี้ สุดท้ายก็ทำไม่ได้นาน ก็เลิก บางคนก็แน่นหน้าอก บางคนก็ปวดหัว บางคนก็ตัวแข็งไปเลย บางคนก็มือสั่น แล้วมีอาการเยอะแยะ ทั้งหมดนี้ก็เพราะความกลัวผิด ไม่เปิดโอกาสให้ใจได้ลองผิดลองถูกบ้าง
สติจะพัฒนาได้ มันก็ต้องผ่านการฟุ้ง ผ่านการหลง หลวงพ่อเทียนท่านพูดว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ คิดในที่นี้คือ คิดฟุ้งซ่าน หรือคิดโดยไม่ตั้งใจคิด ยิ่งมันเผลอคิดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้ รู้ในที่นี้คือรู้ตัว คือรู้ทันความคิด
แล้วเวลาเรามาปฏิบัติธรรม เราต้องทิ้งความเคยชินเดิม ๆ ประเภทว่าเป็นนักเรียนหน้าห้อง กลัวผิด กลัวตอบครูผิด หรือว่ากลัวสอบไม่ได้ร้อย เพราะว่าเดี๋ยวพ่อแม่จะไม่รัก หรือว่าจะไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น รวมทั้งไม่เป็นที่ยอมรับของตัวเอง
ต้องหลุดออกจากทัศนคติแบบนี้ให้ได้ เรียกว่าโถมไปเลย มันจะผิดมันจะพลาดอย่างไร ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถจะเรียนรู้จากความผิดความพลาดได้ เหมือนกับที่เด็กๆ เรียนรู้วิธีการเดินได้ ก็ต้องมาจากการล้มบ่อยๆ ถ้าพ่อแม่กลัวเด็กล้ม คอยจับ คอยประคองลูกตลอดเวลา ไม่ยอมให้ลูกเดินด้วยตัวเอง ลูกก็จะไม่มีทางเดินเป็น
ที่พวกเราเดินเป็นได้ตั้งแต่เด็ก เพราะว่าเราไม่กลัวผิด ไม่กลัวล้ม ไม่ใช่ว่าไม่ล้ม ล้มแต่ก็รู้แล้วก็เดินต่อไป จนกระทั่งรู้วิธีที่จะทรงตัว ตอนหลังไม่ใช่แค่เดินได้อย่างเดียว วิ่งได้ด้วย ให้เราเอาทัศนคติแบบนี้มาใช้กับการปฏิบัติ เพราะว่าในแง่หนึ่ง ในทางธรรมก็เหมือนกับเรากำลังตั้งไข่ เพราะฉะนั้นมันก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะล้ม
เราปฏิบัติไป หลง 95 เปอร์เซนต์ หรือ 99 เปอร์เซนต์ ก็ได้ แต่ก็ช่างมัน ไม่เป็นไร ทำไปเรื่อย ๆ ไม่กลัวล้ม ไม่กลัวหลง แต่ขอให้ทำอยู่เรื่อย ๆ แล้วจะดีขึ้นเรื่อย ๆ.