พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 6 ตุลาคม 2567
เวลาเรามีปัญหา ก่อนที่จะแก้ปัญหานั้น ก็ควรทำความรู้จักกับปัญหานั้นให้ดีเสียก่อน ฉันใดก็ฉันนั้นเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น ก่อนที่จะแก้ทุกข์ ก็ต้องทำความรู้จักทุกข์นั้นเสียก่อน อันนี้เป็นหลักการข้อหนึ่งของอริยสัจ 4
หลายคนเวลานึกถึงอริยสัจ 4 ก็นึกแต่เพียงว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าแนะนำหรือสอนมากกว่านั้น การที่เรารู้ว่า อริยสัจ 4 ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันนี้ท่านถือว่าเป็นความรู้เบื้องต้น ท่านเรียกว่าสัจญาณ
แต่ว่านอกจากสัจญาณแล้ว ยังมีอีกข้อหนึ่งชื่อว่า กิจญาณ คือความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ที่ควรมีต่ออริยสัจแต่ละข้อ อันนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ รู้แต่ว่าอริยสัจ 4 ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พอรู้เท่านี้ก็ไม่ค่อยได้เห็นคุณค่าของการเอาอริยสัจ 4 มาใช้กับชีวิตของตัว แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องกิจญาณจะช่วยได้มาก
อย่างเช่น ท่านบอกว่าหน้าที่ที่ควรมีต่ออริยสัจข้อแรก ก็คือให้รู้ทุกข์ บอกว่าทุกข์เป็นสิ่งที่ควรรู้ บางทีก็แปลว่าทุกข์เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ แต่พอพูดถึงกำหนดรู้ หลายคนก็ไปเข้าใจว่าหมายถึงการไปจ้องไปเพ่ง ที่จริงกำหนดรู้ท่านใช้คำว่าปริญญา ปริญญาก็คือรู้ทั่ว
ที่จริงไม่ได้ต้องใช้หัวอะไรมากกับคำว่ารู้ทุกข์ อย่างเช่น การที่เรารู้ว่าทุกข์มีอยู่ กับกายก็ดี กับใจก็ดี อันนี้ก็ถือว่าเป็นการรู้ทุกข์ แต่เท่านี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ทันรู้แล้ว พอทุกข์เกิดขึ้นก็เป็นทุกข์เลย พอทุกข์เกิดก็เป็นทุกข์เลย แทนที่จะรู้ทุกข์
รู้ทุกข์กับเป็นทุกข์ มันต่างกัน ที่จริงแล้วเวลาทุกข์เกิดขึ้น ก็ควรจะแยกแยะให้ถูกให้ได้ว่า อันนี้มันทุกข์กายหรือว่าทุกข์ใจ หรือว่าสามารถที่จะมองเห็นว่า สิ่งที่ซ้อนไปกับความทุกข์กาย มีทุกข์อีกแบบหนึ่งเรียกว่าทุกข์ใจ ทุกข์กายรู้ได้ง่ายแต่ทุกข์ใจไม่ค่อยรู้
อย่างเช่น เวลาเรานั่งนาน ๆ ก็ปวดเมื่อย แต่คนส่วนใหญ่จะรู้แต่ว่าปวดเมื่อย แต่ไม่รู้ว่ามีทุกข์อีกตัวหนึ่งซ้อนอยู่ เคยถามโยมที่นั่งฟังธรรมะนาน ๆ เป็นชั่วโมง ๆ หลายชั่วโมงเลยก็ว่าได้
ถามเขาว่า“มีทุกข์ไหม” เขาตอบว่า“มี”
ถาม“อะไรล่ะ” ตอบ“ก็ปวดเมื่อย ปวดขา ปวดหลัง”
“แล้วมีทุกข์อะไรอีกไหม” พอถามแบบนี้เข้าหลายคนก็งง บางคนก็ตอบว่า “ไม่มี”
แล้วถามว่า “ทุกข์ใจไม่มีหรือ” คนตอบยังไม่รู้ ว่าหมายถึงอะไร
ที่ทุกข์ใจก็ได้แก่ ความรู้สึกหงุดหงิด ใจไม่ค่อยผ่อนคลาย รู้สึกเครียด มีความคิดเกิดขึ้นว่าเมื่อไหร่จะเลิกสักที เมื่อไหร่จะปล่อยพักสักที ทำไมพูดนานแบบนี้ มีเสียงบ่นเสียงโวยวายอยู่ในหัว หรือเกิดขึ้นที่ใจ นี้แหละความหมายของทุกข์ใจ เพราะถ้าใจไม่ทุกข์ มันไม่บ่น ไม่โวยวาย หรือว่าไม่คิดบ่นว่าเมื่อไหร่จะเลิก เมื่อไหร่จะยุติสักที
พอพูดอย่างนี้ หลายคนก็บอก เออ ใช่ มันมีทั้งทุกข์กาย แล้วก็ทุกข์ใจด้วย แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ทักไม่บอก ก็จะไม่เห็น ไม่รู้ว่ามีทุกข์ใจอยู่ รู้หรือเห็นแต่ทุกข์กาย แล้วบางทีก็เป็นทุกข์ไปเรียบร้อยแล้ว
เวลาเดินตากแดดนาน ๆ หลายคนก็รู้สึกร้อน แล้วก็รู้สึกว่ากายนี้เป็นทุกข์เพราะว่าแดดเผา แต่น้อยคนจะรู้หรือเห็นว่ามีความทุกข์ใจซ้อนอยู่ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ความกังวลว่าถ้าตากแดดไปนาน ๆ เดี๋ยวจะเป็นไข้ เดี๋ยวผิวจะไม่สวย อะไรสารพัด อันนี้คือความทุกข์ใจที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามี หรือเกิดขึ้นกับตัว
ทุกข์กาย นี่รู้ ก็คือความร้อน แล้วลองดูเถิดเวลาเราเดินทาง เดินเท้าไกล ๆ หลายคนก็บอกว่าทุกข์ คือมันเหนื่อย เมื่อย ปวด ปวดหลัง ปวดขา แต่ที่ไม่ค่อยเห็นว่ามีความทุกข์ใจ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ มีเสียงบ่นว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่จะถึง หรือว่าทำไมต้องให้เดินไกล ๆ ทำไมไม่มีรถ
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความทุกข์ใจ มีโทสะน้อย ๆ เกิดขึ้น แล้วเรายังมีความกังวลว่าเดี๋ยวจะปวดแข้งปวดขาจนเดี้ยงไป มีความวิตกกังวลเกิดขึ้น นั่นแหละคือความทุกข์ใจ
เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงรู้ทุกข์ ไม่ใช่ว่าจะรู้กันง่าย ๆ ส่วนใหญ่ก็รู้แต่กาย คือรู้ว่ากายเป็นทุกข์แต่ว่าไม่ค่อยรู้หรือเห็นความทุกข์ในใจ เพราะไม่เห็น คนเราจึงซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับกายและใจของตัว เพราะว่าพอไม่รู้ทุกข์ พอไม่รู้ทุกข์ใจ ก็บ่นโวยวายตีโพยตีพายเต็มที่เลย วิตกกังวลไปเต็มที่เลย
แล้วทั้งหมดทั้งมวลมันก็ทำให้มีความทุกข์กายมากขึ้น หรือว่าทำให้เกิดทุกข์รวม ๆ ฉะนั้นเพียงแค่สัจญาณข้อแรกคือให้รู้ทุกข์ เราจำนวนมากก็สอบตกแล้ว แต่มันจะมีประโยชน์มากถ้าเกิดว่าเรารู้ รู้ว่าไม่ใช่มีแค่มีความทุกข์กาย มีความทุกข์ใจด้วย เพราะถ้าเรารู้ว่ามีความทุกข์ใจ เพียงแค่รู้หรือเห็น อย่างเช่นเสียง ได้ยินเสียงบ่น มันก็สะดุด
ความทุกข์ใจพอเรารู้ทัน มันก็ดับไปได้ง่าย เสียงบ่นโวยวายตีโพยตีพาย มันก็จะสะดุดหยุดลงโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมัน เพียงแค่รู้หรือว่ารู้ทัน
บางครั้งเรามีแต่ความทุกข์ใจ แต่ว่าทุกข์กายอาจจะไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่ เพราะว่าร่างกายก็ไม่ได้ถูกใช้งาน ไม่ได้หิว ไม่ได้เจ็บป่วย ไม่ได้ปวดเมื่อย ชีวิตประจำวันของเราทุกข์กายอาจจะไม่ค่อยมีในแต่ละวัน ยกเว้นเวลาเดินจงกรมนาน ๆ เวลานั่งนาน ๆ
แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะมีแต่ความทุกข์ใจ ความโกรธ ความเศร้า ความเครียด ความหงุดหงิด ความกังวล และส่วนใหญ่ความทุกข์ใจมักจะเกิดขึ้นภายหลังที่มีสิ่งเร้ามากระทบ หรือมีอะไรที่ไม่ชอบเกิดขึ้น เช่น เสียงดังมากระทบหูก็เกิดความโกรธความไม่พอใจ หรือว่ามีใครมาพูดไม่ดีมาทำไม่ดีอะไรกับเราหรือทำไม่ถูกใจ เราก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา อันนี้ก็เรียกว่าเป็นทุกข์
และส่วนใหญ่ก็มักจะไปโทษว่าเป็นเพราะคนอื่น เป็นเพราะสิ่งอื่นทำให้เราทุกข์ หรือทำให้ใจเป็นทุกข์ แต่ที่จริงแล้วถ้าดูดี ๆ ก็พบว่า ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับใจเรา สาเหตุหรือสมุทัยมันก็อยู่ที่ใจเรานั่นแหละ ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น
มีผู้ชายคนหนึ่งไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่สำนักหนึ่ง ไม่เคยไป คืนแรกก็นอนไม่ค่อยหลับ เจ้าสำนักถามชายคนนั้นในวันรุ่งขึ้นว่า “เป็นยังไง นอนหลับได้ไหม” แกบอก “นอนไม่ค่อยหลับ ดีหน่อยตอนหลัง ๆ ก็พอหลับได้”
“ทำไม ทีแรกถึงนอนไม่หลับ” แกก็บอกว่า “เสียงห่านมันร้องดังเลยนอนไม่หลับ แต่ว่าตอนหลังก็นึกขึ้นได้ว่า โทรศัพท์มือถืออัดเสียงบรรยายของครูบาอาจารย์ ก็เลยเอามาฟัง เอาหูฟังมาเสียบไว้ที่หู เปิดฟังไปสักพักก็หลับจนได้เวลาทำวัตรเช้า”
ชายคนนี้คิดหรือเข้าใจว่า ที่นอนไม่หลับเพราะเสียงห่านร้องดัง แต่พอเจ้าสำนักถามว่าระหว่างเสียงห่านกับเสียงบรรยายจากโทรศัพท์มือถือ อะไรเสียงดังกว่ากัน ชายคนนั้นก็อึ้งเลย เพราะจริง ๆ แล้วเสียงจากโทรศัพท์มือถือ เสียงบรรยายมันดังกว่าเสียงห่าน พอเอาหูฟังเสียบเข้าไปในหู มันดังกว่าเสียงห่านอยู่แล้ว แต่ทำไมหลับ
ทั้งที่เสียงห่านดังน้อยกว่า แต่ทำไมถึงไม่หลับ ชายคนนั้นก็พบว่า เป็นเพราะเราไม่ชอบเสียงห่าน ส่วนเสียงบรรยายนั้นเราชอบ ก็แสดงว่าที่นอนไม่หลับ ที่หงุดหงิด ที่ไม่พอใจ เป็นเพราะมีความรู้สึกลบต่อเสียงห่าน
ความรู้สึกลบ มันอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ ไม่ใช่ความดังของเสียงห่านแต่เป็นความรู้สึกลบที่มีต่อเสียงห่าน หรือการให้ค่าว่าเสียงห่านมันเสียงดัง พอให้ค่าในทางลบก็เลยเกิดความไม่พอใจ ทำให้นอนไม่หลับ แต่พอได้ฟังเสียงบรรยายของครูบาอาจารย์ เสียงดังก็จริงถ้าเราพูดในแง่ของเดซิเบล แต่ว่าใจน้อม ใจยอมรับ ใจรู้สึกดี ก็เลยหลับ
ถ้าเราสังเกตดู เวลาเกิดความทุกข์ใจเมื่อมีอะไรมากระทบ ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางกาย ทุกข์กายก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าทุกข์ใจแล้วแทบจะร้อยทั้งร้อย เป็นเพราะใจของเรา แต่ส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็นตรงนี้ ไปโทษคนอื่น
มีชายคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็ง ตอนหลังก็ไปรักษา ทั้งฉายแสงทั้งฉีดคีโม เกิดอาการแพ้ แต่เขาก็สู้ เขาเป็นคนที่คิดบวก ทุกข์อย่างไรก็สู้ จนกระทั่งครบคอร์ส มะเร็งก็ลดลงไป กลับบ้านสามารถจะใช้ได้ตามปกติได้ แต่ผลข้างเคียงก็คือว่า ตัวผอมแล้วก็ดำคล้ำ ไปไหนมาไหนคนก็เหล่เพราะเข้าใจว่าเป็นพวกติดยา เขาก็ยังพอทนแม้สายตาของคนรอบข้างไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่ว่าวันที่เขารู้สึกแย่มากก็คือ วันที่เข้าไปในร้านเซเว่น แล้วเจอเด็กคนหนึ่งอายุราว 10 ขวบ เด็กคนนั้นพอเห็นสารรูปเขา ก็ร้องไห้เลย แม่ของเด็กมองหน้าเขาเหมือนกับว่าเขาจะแกล้งลูกของเธอ
การที่เด็กร้องไห้เพราะเห็นสารรูปของตัวเขา ทำให้เขารู้สึกแย่มาก กลับไปบ้านก็ร้องไห้เลยว่า อุตส่าห์สู้จนกระทั่งชนะมะเร็ง แต่ทำไมต้องมาเจอแบบนี้
แต่แล้วเขาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เราเปลี่ยนความคิดของคนอื่นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดของเราเองได้ แทนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจเรา เราก็มาเข้าใจคนอื่นแทน หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ทุกข์เลย ใครจะมองด้วยสายตาที่ระแวง ดูถูก เขาก็ไม่ทุกข์
แล้วเขาพบว่าเป็นเพราะเปลี่ยนความคิด แต่ก่อนไปคาดหวัง ไปคาดหวังสายตาที่อย่างน้อยก็ไม่ดูถูก ความคาดหวังของเขามันทำให้เป็นทุกข์มากเมื่อเจอสายตาที่เหยียดหยามดูถูก แต่พอไม่คาดหวัง แม้สายตานี่ยังเหมือนเดิมแต่ว่าเขาไม่ทุกข์แล้ว
ฉะนั้นความทุกข์ของชายคนนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความคาดหวัง คาดหวังว่าใคร ๆ ก็จะมองเราอย่างคนปกติ ไม่ได้มองด้วยสายตาที่เหยียดหยาม เพราะฉะนั้นพอเห็นเด็กร้องไห้เมื่อเห็นสารรูปของเขา เขาจึงรู้สึกแย่มาก แต่พอเขาเลิกคาดหวังจากสายตาของใคร เขาไม่ทุกข์เลย ทั้งที่สายตาของคนอื่นก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือเขาทุกข์น้อยลง เพราะลดความคาดหวัง
บ่อยครั้งความทุกข์ของเราไม่ได้เกิดจากคนอื่นมากเท่ากับเกิดจากความคาดหวังของเรา ในสมัยพุทธกาล มีคราวหนึ่งพระสารีบุตรออกพรรษาก็จะออกธุดงค์ ตอนนั้นท่านอยู่เชตวัน วันที่ท่านจะเดินทางไกล ก็มีลูกศิษย์ลูกหามีมิตรสหายมายืนเป็นแถวอำลาท่าน
พระสารีบุตรท่านเป็นพระที่เรียบร้อย ท่านก็ทักทายทุกคนเลย จำชื่อได้ จำฉายา จำโคตรได้ แต่มีพระรูปหนึ่งที่ท่านไม่เห็น ไม่ได้ทัก พระรูปนั้นโกรธมาก สุดท้ายก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า ว่าพระสารีบุตรทำร้ายท่าน เพียงเพราะว่าชายผ้าสังฆาฏิไปโดนตัวเท่านั้น หาเรื่องฟ้องเลย
แต่สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยดี ทำไมพระรูปนั้นโกรธพระสารีบุตร ก็เพราะคาดหวังว่าพระสารีบุตรจะทัก ถ้าพระสารีบุตรทักก็จะรู้สึกว่า เออ เราเป็นคนสำคัญ แต่ว่าถ้าไม่ทักก็รู้สึกว่าเรานี่ไม่มีความสำคัญ รู้สึกเสีย self อัตตามันทำให้โกรธมาก
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าท่านคาดหวังการทักทายจากพระสารีบุตร คาดหวังว่าพระสารีบุตรจะให้ความสำคัญกับท่าน พอไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการสิ่งที่คาดหวัง ก็เลยโกรธ หาเรื่องฟ้อง
ถ้าเป็นคนอื่นไม่ทักท่าน ท่านก็คงจะเฉย เพราะอะไร เพราะไม่ได้คาดหวังว่า จะมีพระ ก. พระ ข. มาทัก หรือพระ ก. พระ ข. ไม่มาทักท่าน ท่านก็เฉย แต่ถ้าพระสารีบุตรไม่ทักนี่ไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะความคาดหวัง เหตุแห่งทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่พระสารีบุตร ไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านไม่ทัก แต่จริง ๆ อยู่ที่ว่าใจของพระรูปที่ไปคาดหวัง ว่าพระสารีบุตรจะให้ความสำคัญ พอไม่ได้รับความสำคัญก็เลยโกรธ
คนส่วนใหญ่เวลาเจอความทุกข์ในลักษณะนี้ มักจะไปโทษคนนู้นคนนี้ แต่ไม่ได้มองว่ามันเป็นเพราะใจเราไปคาดหวัง ความคาดหวังของเรารวมทั้งความยึดติดถือมั่นต่าง ๆ อีกมากมาย เป็นเหตุแห่งทุกข์ รวมทั้งความรู้สึกลบความรู้สึกปรุงแต่งอย่างที่พูดไปเมื่อวันสองวันก่อน แต่คนไม่ค่อยตระหนัก
เวลาไม่สบายใจ เวลาโกรธ เวลาน้อยเนื้อต่ำใจก็โทษคนนั้นคนนี้ แต่ไม่ได้มองตัวเอง จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะไม่ได้ดูแลใจตัวเองด้วย อย่างน้อย ๆ ถ้ามีสติ แม้จะมีความโกรธ แม้จะมีความหงุดหงิด แม้จะมีความไม่พอใจแต่ว่าอารมณ์พวกนี้ก็เข้ามาทำร้ายกลุ้มรุมจิตใจไม่ได้ เพราะมีสติเป็นเครื่องรักษา ไม่ปล่อยให้อารมณ์พวกนี้เข้ามาครอบงำทำร้าย
การที่สติของเราไม่ทำงาน ปล่อยให้ความทุกข์ อารมณ์ที่เป็นลบเข้ามาเล่นงาน จะว่าไปแล้วก็เป็นความรับผิดชอบของเรา แต่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะไปโทษคนอื่นว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ได้มองว่าเป็นเพราะใจของเราต่างหากที่วางไม่ถูกจึงเป็นเหตุแห่งทุกข์
เมื่อหลายปีก่อนมีเจ้าของรถคันหนึ่งจอดรถข้างถนน แล้วก็ไปในร้านไปซื้อของโดยที่ไม่ได้ดับเครื่อง แล้วก็ไม่ได้ล็อกรถ ปรากฏว่าผู้ร้ายฉวยโอกาสเข้าไปในรถ แล้วก็ขับรถหนีไป ชายคนนั้นเสียรถ รถคันนั้นมีประกัน ก็ติดต่อเอาประกันจากบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยไม่ยอม ไม่ยอมจ่าย เรื่องก็เลยถึงศาล
ชายคนนั้นก็ฟ้องศาลเพื่อให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าประกันเพราะรถถูกขโมย ปรากฏว่าพอถึงศาลฎีกา ศาลตัดสินว่าพฤติกรรมของเจ้าของรถที่ไม่ได้ดับเครื่อง เปิดเครื่องเอาไว้แล้วก็ไม่ได้ล็อกกุญแจ นับว่ามีความประมาท หากว่าเจ้าของรถมีความระมัดระวังในทรัพย์สินของตัว ดับเครื่องยนต์และล็อกประตู ผู้ร้ายก็ยากที่จะเอารถของเจ้าของไปได้
เหตุที่เจ้าของรถซึ่งทำประกันกับบริษัทประกันภัยเอาไว้ มีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของรถ บริษัทประกันภัยไม่จำเป็นต้องจ่ายประกัน
เป็นคำตัดสินที่น่าคิด คือเวลารถหาย ความรับผิดชอบส่วนหนึ่งอยู่ที่เจ้าของรถเพราะประมาทเลินเล่อ ไม่ดับเครื่องยนต์ แล้วก็ไม่ล็อกประตูรถ ไม่ใช่เป็นความผิดของขโมยหรือคนที่มันลักรถล้วน ๆ และเนื่องจากเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของรถ บริษัทประกันภัยจึงไม่จำเป็นต้องจ่าย เป็นคำตัดสินที่น่าคิดมาก ในทางกฎหมายเมื่อรถถูกขโมย เจ้าของรถต้องรับผิดชอบถ้าหากว่าประมาทเลินเล่อ เปิดช่องให้ผู้ร้ายเข้ามาขโมย
ในทางธรรมก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ดูแลใจปล่อยให้กิเลส ปล่อยให้อารมณ์อกุศลเข้ามาครอบงำใจ เราจะไปโทษคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องรับผิดชอบที่ประมาทเลินเล่อไม่ดูแลใจของเรา ในทางธรรมเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจะไปโทษคนนั้นคนนี้ว่ามาทำให้เราเป็นทุกข์ ก็ไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ได้ดูแลใจของเราอย่างเพียงพอ เหมือนกับชายคนนั้นที่ไม่ได้ดูแลรถให้ดี
อันนี้เป็นข้อคิดที่ดี ถ้าหากว่าเราดูแลใจให้ดี ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมันก็ เราก็จะไม่ทุกข์ง่าย ๆ และการดูแลใจคือ การที่มีสติรักษาใจ รวมทั้งความตระหนักว่า สมุทัย เหตุแห่งทุกข์นั้น โดยเฉพาะถ้าเป็นทุกข์ใจ มันอยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่การวางใจของเรา ดังนั้นแม้สิ่งภายนอกสิ่งรอบตัวจะเหมือนเดิมแต่เราก็ยังสามารถแก้ทุกข์ได้ ด้วยการดูแลใจของเราให้ดี
นี้แหละการปฏิบัติธรรม การเจริญสติมีความสำคัญก็ตรงนี้ เพราะมันทำให้เราเห็นว่าไม่ใช่แค่มีทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ รู้ว่าทุกข์กายและรู้ว่าทุกข์ใจ ยังรู้ต่อไปว่าเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจของเรา แล้วไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องคนอื่นให้เปลี่ยนแปลง แค่ปรับแก้ที่ใจของเรา ความทุกข์ที่ใจเราก็จะลดลง.