พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 4 ตุลาคม 2567
สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ปรารถนาของทุกคน ก็คือความสงบ เมื่อเวลาพูดถึงความสงบ หลายคนก็พูดถึงการที่ไม่มีเสียงรบกวน แต่ที่จริงแล้ว เสียงรบกวนเราไม่เท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ถูกรบกวนด้วยความคิดและอารมณ์มากกว่า
หลายคน อยู่ท่ามกลางเสียงที่อึกทึก แต่เขาก็รู้สึกสบายๆ ขณะที่บางคน อยู่ป่า หรือว่าอยู่ริมทะเล หลบมาอยู่รีสอร์ท แม้จะไม่มีเสียงรบกวน แต่ว่าก็หาความสงบไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่รบกวนจิตใจเขาก็คือ ความคิดและอารมณ์สารพัด
หลายคนแม้จะพยายามหลบหลีกไปอยู่ที่ที่ไร้ผู้คน ไม่ต้องเจอกับการกระทบกระทั่งจากใคร แต่ก็ยังไม่สงบอยู่ดีเพราะว่าความคิดมันพรั่งพรูออกมา อารมณ์นานาชนิดก็รบกวน
แล้วเวลาเจอกับภาวะเช่นนี้จะทำอย่างไร หลายคนก็คิดว่า ใจจะสงบได้ ก็ต้องไปห้ามใจไม่ให้คิด คิดเมื่อไหร่ก็เบรคมันเมื่อนั้น มีอารมณ์เกิดขึ้นก็กดข่มอารมณ์นั้น หรือมิฉะนั้นก็พยายามไปในที่ที่ไม่มีสิ่งกระตุ้นเร้า ให้เกิดความคิดและอารมณ์
แต่ว่าแม้จะอยู่ในที่เงียบๆ หรืออันที่จริงบางคนยิ่งอยู่ในที่เงียบๆ ก็ยิ่งมีความฟุ้งซ่าน ยิ่งมีอารมณ์พรั่งพรูออกมาสารพัด เพราะว่ากลัวบ้าง หรือเพราะว่าไม่มีอะไรทำบ้าง คนจำนวนไม่น้อย พอมาอยู่คนเดียว ไม่มีอะไรทำ ฟุ้งมากเลย
ต่างจากตอนที่มีอะไรทำ เพราะอะไร เพราะว่าจิตมีงานทำ ไม่ว่าจะทำครัว ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ ทำบัญชี หรือว่าทำงานทำการต่างๆ จิตมีงานทำ และงานการเหล่านี้ก็สามารถที่จะสะกดให้จิตอยู่นิ่งๆ ได้ หรือว่าไม่เพ่นพ่าน
แต่ว่าพอไม่มีงานทำ จิตเคว้งอย่างที่หลายคนอาจจะรู้สึกได้เวลามาที่นี่ ไม่มีงานทำ พูดคุยกันก็น้อย ยิ่งไม่ให้ไถโทรศัพท์ด้วย จิตก็เคว้งแล้ว พอเคว้งแล้วก็คิดโน่นคิดนี่ ไปขุดคุยเรื่องราวในอดีตขึ้นมา พลอยทำให้เกิดความโกรธ ความเศร้า ความรู้สึกผิด
หรือมิฉะนั้น ก็ไปปรุงแต่งเกี่ยวกับเรื่องที่ยังไม่เกิด เรียกว่าไหลไปในอนาคต แล้วก็เกิดความวิตกกังวล เพราะไปปรุงแต่ในเรื่องที่เป็นลบ สิ่งที่เป็นปัญหา ทำให้เกิดความเครียด
เพราะฉะนั้น พอมันมีความคิดพรั่งพรูออกมา หรือเราเรียกว่าฟุ้งซ่าน แล้วก็มีอารมณ์ตามมา พร้อมกับความคิด หลายคนก็คิดว่า ถ้าจะให้ใจสงบได้ ก็ต้องหาทางบังคับจิตให้อยู่กับอะไรสักอย่าง เช่น ลมหายใจ หรือว่าเท้าที่ก้าวเดิน
คิดว่าถ้าบังคับจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ก็จะไม่ไปเพ่นพ่าน ไม่ไปคุ้ยเรื่องราวในอดีต ไม่ไปปรุงแต่งเรื่องในอนาคต แล้วก็คิดว่าจิตจะสงบได้
แต่หลายคนก็พบว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ จิตไม่ร่วมมือด้วย ขนาดจะบังคับให้จิตมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง จิตยังไม่ยอมเลย จดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ไปได้สักพัก เดี๋ยวก็แวบไปแล้ว
เหมือนกับลิงที่อยู่ไม่สุข นิ่งไม่เป็น แล้วยิ่งเราพยายามบังคับให้จิตนิ่ง ก็ยิ่งเหนื่อย ต้องต่อสู้กับจิตที่ไม่ชอบการถูกบังคับ ฉะนั้นหลายคนพอทำไปทำไป ก็จะเครียด แล้วยิ่งอยากให้มันนิ่ง แต่มันไม่นิ่ง ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เพราะไม่เป็นดั่งใจ
จริงๆ การที่จิตวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่ ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่พอเราคาดหวัง อยากให้มันนิ่ง แล้วพยายามบังคับ อะไรก็ตามที่ไม่เป็นดั่งใจ ก็ทำให้เราหงุดหงิดทั้งนั้น อะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ก็ทำให้เราโมโห เครียด
ฉะนั้นวิธีการบังคับจิตให้อยู่นิ่งๆ มันยาก มีบางคนทำได้เหมือนกัน หลังจากทำไปนานๆ แต่ว่าพอมีอะไรมากระทบ เกิดสิ่งเร้าขึ้นมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เกิดอารมณ์ขึ้นมา เกิดความไม่พอใจ เกิดความอยาก ปรากฏว่ามันก็ทำให้เราลืมตัวเลย
อย่างนี้เรียกว่าสติแตก หรือความสงบก็กระเจิง ความสงบชนิดนี้เป็นความสงบที่เปราะบาง ที่ไม่เที่ยง เพราะเป็นความสงบที่เกิดจากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ค่อยมีสิ่งเร้า และเกิดจากการบังคับจิต
แต่ว่าคนเราไม่สามารถบังคับจิตไปได้นานๆ ยิ่งพอมีสิ่งเร้าให้จิตเกิดอารมณ์ต่างๆ ดีใจ เสียใจ ไม่พอใจ ถ้าไม่ได้ฝึกสติเอาไว้เลย มันก็กระเจิงเมื่อนั้น หลุดปากด่า บ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย กลายเป็นคนขี้หงุดหงิด เจ้าอารมณ์
วิธีที่จะทำให้จิตสงบได้ในความหมายที่ว่า มีความคิดฟุ้งซ่าน มีอารมณ์เกิดขึ้นมาแล้ว เราจะกำราบมันอย่างไรนั้น หลายคนนอกจากนึกถึงการกดข่ม บังคับ ไม่ให้มันฟุ้งซ่านแล้ว หรือไม่ให้มันเพ่นพ่านแล้ว แต่มีวิธีหนึ่งคือ ใช้ธรรมะที่ตรงข้ามกับอารมณ์เหล่านั้น เช่น มีความโกรธ ก็ใช้การแผ่เมตตา
แผ่เมตตา ปรารถนาดี หรือว่าเวลาเกิดความอยาก เกิดความหลง เกิดสิ่งที่เราเรียกว่า ราคะ ก็ให้นึกถึงโทษของมัน เช่น มีความหลงในรูป ในร่างกาย ไม่ว่าของตนเองหรือว่าของคนอื่น ก็ให้นึกถึงสิ่งที่ท่านเรียกว่าอสุภะ ความไม่งาม
พอนึกถึงอสุภะ ที่ว่าความไม่งามนั้นบางคนนึกไปถึงซากศพ ที่จริงก็ไม่ใช่ แม้กระทั่งความไม่งามภายในร่างกายของเรา ตับ ไต น้ำเหลือง น้ำลาย ปอด พอนึกภาพเหล่านี้ ก็ทำให้ราคะเบาบาง เพราะมันเป็นปฏิปักษ์กัน ระหว่างราคะกับอสุภะ อสุภะในที่นี้หมายถึงความไม่งาม
แต่มันมีอันหนึ่งที่คนไม่ค่อยนึกถึงเท่าไหร่ เป็นธรรมะหรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการจัดการกับอารมณ์และความคิดต่างๆ ได้ดีมาก สิ่งนั้นคือสติ คือความรู้สึกตัว ซึ่งไม่ได้เรียกร้องให้เราไปบังคับอารมณ์ กดข่มมันเลย เพียงแค่มีสติรู้ทัน หรือเห็นมัน
เหมือนกับผู้ร้ายที่แอบเข้ามาในบ้าน ย่องเข้ามาในบ้านตอนเราเผลอ อาจจะเป็นเพราะเราหันหลังให้ แต่พอเราหันหน้ามาจ๊ะเอ๋กับมัน หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่า จ๊ะเอ๋ มันก็หนีไปเลย มันตกใจ
อารมณ์ เช่น ความโกรธก็ดี ความโลภก็ดี มันมีอุบายล่อให้เราหลงได้เยอะ มันฉลาดมาก ความโลภด้วย แต่ว่ามันแพ้ทางสติ มันกลัวการถูกรู้ถูกเห็น และที่จะทำให้เห็นได้ชัดถึงอารมณ์เหล่านี้ก็คือ สติ
เพราะท่านเปรียบสติ ว่าเหมือนเป็นตาใน จริงๆ แล้วหลายคนก็นึกไม่ถึงว่าอารมณ์เพียงแค่เรารู้ทันมันเท่านั้น มันก็ล่าถอยไปเลย
เคยมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ว่า หลวงปู่ ทำอย่างไรจะตัดความโกรธให้ขาดได้ คนที่ถามก็นึกถึงการตัด การห้ามความโกรธ หลวงปู่ตอบว่า ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทันมัน เมื่อรู้ทันมัน มันก็ดับไปเอง รู้ทันได้อย่างไร รู้ทันด้วยสติ
สติทำให้อารมณ์พวกนี้ รวมทั้งความคิดล่าถอยไป เพราะว่าอารมณ์และความคิด มันอยู่ได้ด้วยความหลง ด้วยความไม่รู้ตัว
มันเหมือนกับไฟ อยู่ได้ด้วยออกซิเจน แต่ถ้าทำให้ออกซิเจนหมดไป มันก็ดับไปเอง ความหลงคืออาหารของความคิดฟุ้งซ่าน และอารมณ์ที่เป็นอกุศล ที่จริงแม้กระทั่งอารมณ์ฝ่ายดี เช่น ความดีใจจนกระโดดโลดเต้น มันก็เกิดจากความหลงหล่อเลี้ยงด้วยเหมือนกัน
ทำอย่างไรจะไม่ให้ความหลงมันเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความรู้สึกตัว ความรู้ตัวกับความหลง มันเป็นปฏิปักษ์กัน และสติทำให้เกิดความรู้สึกตัวได้ไว พอรู้สึกตัวปุ๊บ อารมณ์แรงๆ แม้กระทั่งความโกรธชนิดที่ฆ่าคนได้ มันหายไปเลย
เมื่อหลายปีก่อนมีโรงเรียนหนึ่ง ตอนเย็นๆ เลิกเรียน ผู้ปกครองจะมารับ แต่ละคนก็ขับรถมา เด็กไม่ได้นั่งรถเมล์ นั่งรถส่วนตัว เพราะฉะนั้นตอนเย็น เลิกเรียน รถจะติดมากแล้วจะมีปัญหาตามมาก็คือ ที่จอดรถไม่ค่อยพอ
มีผู้ปกครองคนหนึ่ง แกเป็นทหาร แกก็มารับลูก ขับรถมารับลูก แล้วรถก็ติดในโรงเรียน โรงเรียนนี้มีที่จอดรถ แต่ว่ารถทุกคันต้องอ้อมวงเวียนก่อน หรือว่ากลับรถที่วงเวียน แล้วจึงจะมาเข้าที่จอดรถได้
รถของผู้ปกครองคนนี้ มาถึงจอดรออยู่ ยังไม่ถึงวงเวียน แต่แกมองไปทางขวา เห็นที่จอดรถเหลืออีกแค่ที่เดียว ถ้าแกทำตามกติกา คือให้ไปกลับรถที่วงเวียน ไม่มีทางได้ที่จอดรถแน่เพราะว่ารถคันหน้าเขาจะได้ไป แกทำอย่างไร หักขวาเลย ไม่ไปกลับรถข้างหน้า เสียบเข้าที่จอดรถพอดี แกก็ดีใจ ได้ที่จอดรถ
แต่ปรากฏว่า รถอีกคันที่ทำตามระเบียบ เขากลับรถแล้วก็หมายตาที่จอดรถตรงนั้น เพราะมันเหลืออยู่แค่ที่เดียว แต่โดนรถของนายทหารคนนี้แย่งไปเสียแล้ว และเป็นการแย่งที่มันไม่ถูกต้อง เขาก็เลยจอดรถ แล้วลงไปต่อว่านายทหารคนนั้น “คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร มันผิดระเบียบ ทำไมไม่กลับรถที่วงเวียน ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ”
นายทหารคนนั้นไม่เคยมีใครมาต่อว่าด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ก็เลยพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้ไหม ผมเป็นใคร” ผู้ปกครองคนนั้นบอก “ผมไม่สนใจนะ คุณทำไม่ถูก ทำอย่างนี้แย่มาก” แล้วเดินกลับไปที่รถของตัว
นายทหารคนนั้นโกรธมาก ไม่เคยมีใครพูดกับแกแบบนี้ แกมีปืนอยู่ในรถ โกรธมาก หยิบเอาปืนออกมา แล้วลงจากรถ เดินตามหลังผู้ปกครองคนนั้น ในมือถือปืนอยู่
ปรากฏว่า เหตุการณ์ตอนนั้นมีคนขับรถของโรงเรียนเห็นพอดี เขารู้ว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็มีการยิงกัน หรือฆ่ากันแน่ เขาก็เป็นพลเมืองดี ต้องการห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้
แต่ก็อย่างที่เราทราบกัน พลเมืองดีที่ไปห้ามคนที่กำลังโกรธจัด บางทีตัวเองกลายเป็นเหยื่อ แทนที่ผู้ร้ายที่ถือปืนจะไปยิงปฏิปักษ์ ก็มายิงคนห้าม ทั้งๆ ที่เป็นพลเมืองดี แล้วก็ไม่ได้รู้จักกันเลย
แต่ว่าคนขับรถโรงเรียนเป็นคนที่มีปฏิภาณ แล้วก็มีความเข้าใจคน รู้ว่าไปห้ามตรงๆ ไม่ได้ ก็เดินไปหานายทหารคนนั้นซึ่งกำลังหน้ามืด ถือปืนอยู่ แล้วพูดกับนายทหารคนนั้นด้วยท่าทีอ่อนน้อมว่า “คุณพ่อครับ คุณพ่อมารับลูกไม่ใช่หรือครับ”
เขาไม่ได้ห้าม เพียงถามว่าคุณพ่อมารับลูกไม่ใช่หรือครับ นายทหารคนนั้นพอได้ยินการทักแบบนี้ หายโกรธเลย เพราะได้สติ ได้สติว่า “กูมารับลูกนี่หว่า กูไม่ได้มายิงคน!” แกหายโกรธ หยุดกึกเลย แล้วก็ตกใจที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร แบบไม่ต้องสั่งเลย หันหลังกลับไปที่รถ เอาปืนไปเก็บ แล้วก็กลับมารับลูก
ความโกรธของนายทหารคนนั้นมันแรงมาก จนทำให้ลืมตัว จะไปยิงคนที่โรงเรียน แต่ทำไมหายโกรธ เพราะได้สติ เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ความโกรธมันหายเลย ไม่ต้องกดข่ม ความรู้สึกตัว มันขับไล่ความหลง พอความหลงดับ ความโกรธก็ดับด้วย
คนส่วนใหญ่จะได้สติ ก็ต้องมีคนมาทัก หรือว่ามีตัวช่วย แต่ถ้าเราจะรอให้มีคนมาทัก หรือให้มีตัวช่วยในยามที่เราลืมตัว จะเป็นเพราะความโกรธ ความตกใจ หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ หรืออาจจะเกิดราคะหน้ามืด อันนั้นไม่ทันการ
เราจำเป็นต้องมีสติในตัวของเราเอง ในใจของเราเอง ไม่ต้องรอให้ใครมาทักจนเกิดสติ แต่เรามีสติที่ไวพอที่จะมาทำงาน ที่จะทำให้รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ และทำให้อารมณ์นี้มันดับไป
เรามาเจริญสติก็เพื่อสิ่งนี้ เพื่อให้มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาทัก หรือมาเป็นตัวช่วย แต่ว่าสติในใจเรา มันทำงานช่วยเราได้ทันการ ทันเวลา วิธีการก็ไม่มีอะไร เราก็ใช้การเดินจงกรม หรือการยกมือสร้างจังหวะเป็นหลัก โดยมีเป้าหมาย ช่วงทำใหม่ๆ ก็คือ ให้มีความรู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกตัวเวลาเดิน
พูดง่ายๆ คือ ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว หรือว่าให้ใจมาอยู่กับกาย แต่ว่าใจมักไม่ค่อยอยู่กับกายนัก มันอยู่ไม่ได้นาน เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว ไปที่ว่านี้คือคิดโน่นคิดนี่ สิ่งที่เราทำก็คือ เปิดโอกาสให้สติได้ทำงาน ก็คือ พอลืมตัว ลืมว่ากำลังเดิน หรือว่ากำลังสร้างจังหวะ เพราะว่ามันคิดโน่นคิดนี่ คิดถึงลูก คิดถึงงาน คิดถึงบ้าน คิดถึงเที่ยว
ตอนนั้นเราเรียกว่าลืมตัว ลืมไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดไปสัก 7-8 เรื่อง แล้วก็จะรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็จะระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ สติที่เราฝึกคือ สติที่ช่วยให้เราระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน
ปกติการระลึกได้ เราจะระลึกได้เรื่องที่เป็นอดีต เป็นเรื่องที่เรารับรู้ได้ยินมาเมื่อวานนี้ กินอะไรมื้อเช้า หรือว่าได้คุยอะไรกับลูกเมื่อวานก่อนที่จะมา ระลึกได้ว่าเพื่อนเกิดเมื่อไหร่เพราะว่าเพื่อนเคยบอกว่าเกิดวันนั้นวันนี้
อันนี้เป็นสติธรรมดา เป็นการระลึกได้เรื่องที่เราเรียนรู้ เรื่องที่ผ่านหูผ่านตามาในอดีต แต่สติที่จะช่วยเรามากคือสติที่ทำให้เรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
นายทหารคนนั้น ก่อนที่จะไปยิงผู้ปกครอง เขาลืมตัว ลืมไปเลยว่ากำลังมารับลูก โชคดีที่มีคนมาทักว่าคุณพ่อมารับลูกไม่ใช่หรือครับ พอรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ความโกรธจนหน้ามืด มันหายไปเลย เพราะว่าคนขับรถของโรงเรียน มาช่วยเตือนสติ ให้รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
แต่ว่าสติของเรา ก็สามารถจะช่วยเตือนจิตของเราได้เหมือนกัน ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลังจากที่เราคิดไป 10 เรื่องแล้ว ก็นึกได้ว่ากำลังเดินจงกรมอยู่ กำลังสร้างจังหวะอยู่ พอระลึกได้เท่านั้น ใจที่ไหลไปโน่นไหลไปนี่ มันกลับมาเลย กลับมาที่ไหน กลับมาที่กาย กลับมาที่เนื้อที่ตัว กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
สิ่งที่เราทำก็คือว่า ฝึกให้สติทำงานแบบนี้บ่อยๆ มันเป็นการระลึกว่ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วมันเป็นการระลึกได้แบบที่เกิดขึ้นเอง ไม่ได้จงใจ ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าจงใจหรือตั้งใจ มันไม่ได้เรื่อง แต่ว่าสติที่เราฝึกมาคือ การเปิดโอกาสให้เราระลึกได้ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป็นการระลึกได้แบบระลึกได้เอง
ในชีวิตประจำวันของเรา เราจะระลึกได้เองอยู่บ่อยๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ว่ามันนึกขึ้นมาได้ยังไง เช่น ไปทำงานแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าลืมปิดแก๊ส หรือนึกขึ้นมาได้ว่าลืมเอาเอกสารสำคัญที่จะใช้ในการประชุมตอนบ่าย ถามว่ามีใครบอกไหม ไม่มีใครบอก มันนึกขึ้นมาได้เอง
ในชีวิตประจำวันของเราจะเจออาการแบบนี้บ่อยๆ นึกขึ้นมาได้เอง กำลังคุยกันเพลิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ใกล้เวลาทำวัดแล้ว ต้องรีบไปอาบน้ำ การนึกขึ้นมาได้เองสำหรับบางคน มันเกิดขึ้นช้า บางทีนึกได้ว่ามีประชุม ปรากฏว่าประชุมเย็น แต่ว่านี่มันดึกแล้ว มันนึกได้ช้าไป ถ้าเราไม่ได้ฝึก มันก็จะนึกได้ช้า
แต่ว่าการที่เราระลึกได้ หรือนึกขึ้นมาได้นอกจากมันมีความพิเศษตรงที่ว่า นึกขึ้นมาได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบันแล้ว มันยังเป็นการนึกขึ้นมาได้เกี่ยวกับเรื่องตัวเอง ไม่ใช่นึกว่าได้ลืมโทรศัพท์ไว้ ไม่ใช่นึกได้ว่าจอดรถไว้ที่ไหน อันนั้นมันเรื่องนอกตัว โทรศัพท์หรือรถเป็นเรื่องนอกตัว
แต่ว่าสิ่งสำคัญคือ เรานึกขึ้นมาได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วต่อไปมันไม่ใช่แค่รู้ว่ากายกำลังทำอะไรอยู่ มันยังรู้ด้วยว่า ใจกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ใด แล้วพอนึกขึ้นมาได้ ใจมันสลัดจากอารมณ์นั้นเลย หรือพูดอีกอย่างก็คือ อารมณ์นั้นค่อยๆ คลี่คลายหายไป เพราะว่าความหลงหมดไป มีความรู้สึกตัวเข้ามาแทนที่
แล้ววิธีการก็ง่ายๆ คือ ทำไป ทำไป ทำเรื่อย ๆ โดยเฉพาะใหม่ๆ อย่าเพิ่งไปคาดหวังอะไรมากจากการปฏิบัติ อย่าไปตั้งใจว่าจะไม่ลืมตัวเลย จะไม่ฟุ้งเลย หรือฟุ้งแต่น้อย
ใหม่ๆ ต้องเอาปริมาณเป็นหลัก อย่าเพิ่งเอาคุณภาพ นักปฏิบัติหลายคน โดยเฉพาะคนที่เก่ง มีความสามารถ นักเรียนเรียนเก่ง สอบอะไรก็สอบได้ดี พวกนี้ เรียกว่านักเรียนหน้าห้อง จะเอาคุณภาพเลย ทำอะไรก็จะเอาคุณภาพ ก็คือว่า ไม่ฟุ้งเลย หรือฟุ้งแต่น้อย ฟุ้งแล้วก็ระลึกได้เร็ว
ถ้าคาดหวังตัวเองแบบนั้นจะทุกข์มากเลย เพราะจะพยายามบังคับจิต พยายามไปกดข่มความคิด แล้วสติมันก็จะเนิ่นช้า จะเติบโตช้า แต่คนที่ทำอะไรไปโดยที่ไม่คาดหวังหรือว่าทำเล่นๆ อย่างที่หลวงพ่อเทียนเคยบอกลูกศิษย์ที่ปฏิบัติใหม่ๆ ว่า ทำเล่นๆ แต่ว่าทำจริงๆ
ทำเล่นๆ คือไม่คาดหวังผล แต่ว่าทำจริงๆ คือทำเรื่อยๆ ทำทั้งวัน ทำจริงๆ คือทำแบบเน้นที่ปริมาณ ทำทั้งวัน ทำทุกวัน ทำต่อเนื่องกัน 4-5 วัน 7-8 วัน หรือเดือนหนึ่งก็ได้
ทำเล่นๆ เป็นการทำไม่เน้นคุณภาพ อย่างเวลาเราทำอะไรเล่นๆ เช่น เวลาเราเล่นบอล เล่นหมากฮอส เล่นหมากรุก แพ้ก็ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ เพราะเราเอาสนุก เราทำเล่นๆ
ถ้าเราทำจริงจัง เราจะกระฟัดกระเฟียดมาก เหมือนพวกนักกีฬาแข่งขันรอบตัดเชือก หรือว่าแข่งขันชิงชนะเลิศเอาเหรียญทองโอลิมปิค พวกนี้จะเครียดมาก เพราะว่ามุ่งเน้นที่ความสำเร็จ เน้นคุณภาพ
แต่ถ้าเราจะทำ เราก็ทำแบบทำเล่นๆ หลงบ้าง ฟุ้งบ้าง ลืมบ้าง ไม่เป็นไร แต่ว่าทำเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ ทำทั้งวัน แล้วสติมันก็จะทำงานได้เร็วขึ้น ระลึกหรือรู้ตัวได้เร็วขึ้น แล้วเราก็จะเห็น ต่อไปความคิดพอมันมา แล้วมันก็ไป ไม่ใช่มันไปเอง แต่เป็นเพราะมีสติมาช่วย
เพราะฉะนั้น ลองฝึกเอาไว้ ฝึกไปเรื่อยๆ อย่าไปบังคับจิต ทำเล่นๆ ไป แต่ทำเรื่อยๆ แล้วเราจะเห็น เราจะรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ และต่อไปเวลาอารมณ์ใดเกิดขึ้น ความคิดฟุ้งซ่านใดเกิดขึ้น เราก็จะรู้ทันมันได้เร็ว แล้วเป็นอิสระจากมันได้ง่าย.