พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 4 ตุลาคม 2567
พวกเราในที่นี้ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรทางด้านสาธารณสุข เป็นหมอบ้าง เป็นพยาบาลบ้าง ทำงานในโรงพยาบาล งานของเราส่วนใหญ่คือการเยียวยารักษาผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มาหาเราก็ล้วนแล้วแต่เจ็บป่วยด้วยโรคที่สร้างความทุกข์ให้กับร่างกาย อวัยวะต่างๆ ก็มีปัญหา เพราะเชื้อโรคบ้าง เพราะอุบัติเหตุบ้าง หรือเพราะความเสื่อม
เวลาเรารักษาคนเหล่านั้น ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะของเรา มีส่วนสำคัญมาก ในการช่วยเยียวยารักษาคนเหล่านั้น รวมทั้งยา แล้วก็การทำหัตถกรรม แต่จริงๆ แล้ว มันก็ยังไม่พอ อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาคนเหล่านั้นได้ ก็คือความใส่ใจ ความห่วงใย ความรัก ความเมตตา
แต่ความรัก ความเมตตาที่ว่านี้สำหรับแพทย์จำนวนมาก หรือบุคลากรทางสาธารณสุขจำนวนมากไม่ค่อยเห็นความสำคัญ เพราะมองว่ากายกับใจ มันแยกกัน กายป่วยก็ต้องจัดการกับความป่วยที่เกิดกับร่างกาย ด้วยยาบ้าง ด้วยหัตถการบ้าง ส่วนใจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วมันแยกกันไม่ออก
ถ้าให้แต่ยา ให้แต่หัตถการ แต่ว่าไม่สนใจเรื่องการให้ความรักความห่วงใย บ่อยครั้งก็ไม่ได้ผล
มีผู้ป่วยคนหนึ่ง เป็นชายวัยกลางคน เป็นโรคมะเร็ง ต้องไปรับเคมีบำบัดจากหมอ เป็นประจำ หมอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง ผู้ป่วยคนนี้ไปรับเคมีบำบัดทุกอาทิตย์ เมื่อรับเสร็จก็จะคุยกับหมออยู่พักหนึ่ง ประมาณสัก 15 นาที แล้วแกก็กลับ
ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง เป็นประจำสม่ำเสมอ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าโรคแกรุกลามไปเยอะแล้ว เคมีบำบัดคงจะไม่ช่วย ก็เลยบอกหมอว่า “หมอ ผมของดรับคีโมนะ” หมอพูดขึ้นมาทันทีว่า “ถ้าคุณไม่รับเคมีบำบัด ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาหาผมแล้วล่ะ” พูดง่ายๆ คือ ถ้าไม่รับเคมีบำบัด จะมาหาหมอทำไม
คนไข้ก็ขอร้องว่า “ถึงจะไม่รับเคมีบำบัด แต่ขอมาคุยกับหมอได้ไหม” หมอบอก “ ไม่พูดคุยด้วย เพราะว่าเมื่อไม่รับเคมีบำบัดแล้ว ผมก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว”
แต่คนไข้ก็บอกว่า เขารู้สึกผูกพันกับหมอมาก เขารู้สึกว่าหมอเป็นเพื่อน และมิตรภาพมันมีความสำคัญกับเขามาก แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เมื่อคนไข้ไม่รับเคมีบำบัด ความเป็นเพื่อนมันจึงต้องยุติลง
คนไข้คนนี้ แกบอกในภายหลังว่า “จริงๆ แล้ว ความรักความห่วงใยของหมอ มันมีความสำคัญกับผม พอๆ กับเคมีบำบัดเลยนะ” แต่หมอไม่รู้ หมอก็เลยไม่เห็นความสำคัญของการที่คนไข้จะมาคุยกับหมอ โดยที่ไม่รับเคมีบำบัด แต่เขาก็โชคดี ที่ยังเจอหมอที่เข้าใจคนไข้ ให้ความรัก ความเมตตา ความห่วงใย ความเป็นเพื่อน เขาก็เลยยังอยู่มาได้
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาสัก 30-40 ปีแล้วในประเทศอเมริกา ในยุคที่หมอหรือแพทย์สมัยใหม่ เขามองว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องของการรักษาด้วยยา ด้วยการผ่าตัด ด้วยการทำอะไรกับร่างกาย มีความเชื่อว่า จะช่วยผู้ป่วยได้ก็ด้วยความรู้เป็นเรื่องของหัว ทักษะหรือหัตถการเป็นเรื่องของมือ สมองกับมือนั้นสำคัญ แต่ว่าหัวใจคือความรักก็มีความหมายต่อคนไข้เหมือนกัน Heart สำคัญพอๆ กับ Head แล้วก็ Hand
ฉะนั้น เวลาเราช่วยเหลือผู้ป่วย ความรักของเรา ความห่วงใยของเรา มันช่วยเขาได้มาก ถึงแม้ว่าเราจะหมดปัญญาที่จะช่วยให้เขาได้ในทางการแพทย์แล้ว เคมีบำบัดก็ให้จนเรียกว่าครบโดส วิธีการต่างๆ ทางการแพทย์ที่เรียนมา ก็เอามาใช้จนหมดแล้ว แต่โรคก็ยังไม่หาย
หลายคนคิดว่า หมอทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังทำได้คือความรัก ความห่วงใย ความเป็นเพื่อน ความใส่ใจ
เพราะฉะนั้น ในฐานะที่พวกเราเป็นบุคลากรทางการแพทย์ หรือทางสาธารณสุข ความห่วงใยใส่ใจผู้ป่วย มีความหมายต่อคนเหล่านั้นมาก ไม่น้อยไปกว่าหัตถการ ความรู้ หรือทักษะที่เราเรียนมา
หมอจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่เห็นคุณค่าของความรัก ความห่วงใย ที่มีต่อคนไข้ เพราะเขามองว่ากายกับใจ มันแยกกัน แต่ที่จริงแล้วมันแยกจากกันไม่ออก
อย่างไรก็ตาม พวกเราเห็นว่า การให้ความห่วงใยใส่ใจกับผู้ป่วย เป็นเรื่องสำคัญ แล้วก็อย่าลืมกลับมาดูแลใจของเราด้วย เพราะว่าถ้าเราห่วงใย ทำอะไรเพื่อผู้อื่น ไม่ว่าด้วยความรู้ ด้วยทักษะ หรือด้วยความรัก ความห่วงใย แต่ถ้าเราไม่ดูแลใจของเราเอง เราก็จะหมดแรงไปได้ง่ายๆ
ที่จริงแล้ว การที่เราจะให้ความห่วงใย ให้ความใส่ใจ ให้ความรักกับคนไข้ ใจเราก็ต้องมีสิ่งเหล่านั้น เป็นเบื้องต้น หรือเป็นต้นทุนอยู่แล้ว ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการที่เรารู้จักรักตัวเองอย่างถูกต้อง
ฉะนั้น ถ้าเรารักตัวเองอย่างถูกต้อง มันก็จะมีต้นทุนที่เป็นความรัก ความเมตตา ที่จะมอบให้กับคนไข้ได้ แต่ถ้าใจเราเหือดแห้ง หรือแห้งผาก การที่เราจะให้ความรัก ความเมตตา ความเป็นมิตร กับคนไข้ มันก็เป็นไปได้ยาก เราจะให้เขาได้อย่างไร ในเมื่อเราเองก็ไม่มี แล้วเราจะมีได้ ก็ต้องรู้จักรักตัวเอง หรือว่าดูแลใจของตัวเอง
การดูแลกายก็สำคัญ เพราะว่าถ้าเราไม่ดูแลรักษาร่างกายของเราให้ดี เราก็จะไม่มีกำลัง ที่จะช่วยคนอื่นได้ อย่าว่าแต่ผู้ป่วยเลย แม้กระทั่งคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา พ่อแม่ คู่ครอง ลูกหลาน ซึ่งบางคนก็อาจจะป่วยยืดเยื้อเรื้อรัง ซึ่งเราจะช่วยเขาได้ เราก็ต้องมีสุขภาพที่ดี จะสุขภาพดี ไม่ได้หมายถึงสุขภาพกายอย่างเดียว หมายถึงสุขภาพใจด้วย
สุขภาพใจไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายที่มีอาหาร หรือปัจจัย 4 ครบ หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นได้ จากการที่เราดูแลจิตใจตัวเองอย่างถูกต้อง หรือว่ารักตัวเองอย่างถูกต้องด้วย
ดูแลใจหมายความว่าอย่างไร ความหมายหนึ่งก็คือ อย่าไปซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ถ้าเราไม่ดูแลใจตัวเองดีๆ มันจะอดไม่ได้ ที่จะหาทุกข์มาใส่ตัว เรียกว่าซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจของตน
คนทุกวันนี้ แม้จะบอกว่ารักตัวเอง แต่เขาซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจตัวเอง เรียกว่าวันแล้ววันเล่า หรือว่าตลอดทั้งวันเลยก็ได้ ซึ่งอันนี้เป็นเพราะเขาไม่รู้จักดูแลใจของตัว
เราซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจของเราอย่างไร อย่างแรกก็คือ การที่เราชอบเผลอปรุงแต่ง บางอย่างยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ปรุงแต่งไปล่วงหน้าแล้ว เวลามีอะไรที่ไม่ถูกใจ หรือว่าไม่เป็นไปดั่งใจ แค่นั้นมันก็ทำให้เราทุกข์แล้วนะ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ ยังไม่ตระหนัก ก็ยังปรุงแต่งต่อไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
เอาง่ายๆ รถติด รถติดมันก็เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ค่อยพอใจ หรือก็ไม่ใช่สิ่งที่คาดหวังอยู่แล้ว หลายคนก็จะปรุงแต่งต่อไป ว่าถ้ารถติดนานกว่านี้ เดี๋ยวจะไปทำงานสาย ถ้าหากไปทำงานสาย เดี๋ยวเจ้านายก็จะว่า ลูกน้องก็จะเอามาเป็นเยี่ยงอย่าง เราอุตส่าห์ไปบอกลูกน้องว่าให้มาตรงเวลา แต่เรากลับมาสาย ต่อไปเราก็จะบอกเตือนลูกน้องไม่ได้
ส่วนเจ้านาย เขาเห็นเรามาทำงานสาย เขาก็อาจจะคิดว่าเราไม่รับผิดชอบ เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับโครงการที่เราเสนอ หรือเขาอาจจะไม่ขึ้นเงินเดือนให้กับเรา เขาอาจจะไม่โปรโมทให้เราอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่านี้ คิดไปต่างๆ นานา
อันนี้คือปรุงแต่ง เสร็จแล้วก็ทุกข์ ทุกข์กับความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมา รถติดมันคือความจริง ส่วนไปถึงที่ทำงานสายหรือไม่นี่ ยังไม่รู้ มันเป็นแค่ความคิด ว่าอาจจะถึงที่ทำงานสาย แล้วเจ้านายเขาจะว่า ลูกน้องจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ว่าก็คิดไปก่อนแล้ว มันไม่ใช่ความจริง แต่มันคือความคิด
แล้วคนเราไม่ได้ทุกข์เพราะสิ่งที่คิดเท่านั้น ยังทุกข์เพราะการคาดคะเนกับสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่คิดว่ามันจะเกิด พูดง่ายๆ คือไม่ได้ทุกข์เพราะความเป็นจริงอย่างเดียว แต่ว่าทุกข์เพราะความคิดด้วย คิดในความหมายนี้ ก็คือการปรุงแต่ง คาดคะเน แล้วคนเดี๋ยวนี้ เวลาทุกข์แยกไม่ออกว่าที่ทุกข์ ทุกข์เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่คิดปรุงแต่งไปล่วงหน้า
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราอาจจะห้ามไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่คาดว่ามันจะเกิด แล้วก็กังวลวิตกกับมัน ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดเลย อันนี้คือความทุกข์ที่เราซ้ำเติมให้กับตัวเราเอง เพราะฉะนั้น พอรถติด ก็เลยจิตตก หดหู่ เครียด
ให้ลองพิจารณาดู ความทุกข์ ความกังวลของเรา มันกี่มากน้อยที่เกิดขึ้นเพราะความจริง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว กับความทุกข์อีกก้อนใหญ่ ที่เกิดเพราะความคิด คิดปรุงแต่งไปล่วงหน้า
ความทุกข์ที่เกิดเพราะความคิดปรุงแต่งล่วงหน้าอาจจะถึง 70-80 % ของความทุกข์ของผู้คนในทุกวันนี้ แล้วคนก็ไม่รู้ด้วยว่า ตกลงเราทุกข์เพราะอะไรกันแน่ ถ้าเรารู้ว่าเราทุกข์เพราะความคิดปรุงแต่ง เราก็เพียงแต่รู้ทันความคิดปรุงแต่ง ไม่ไปหลงคิดว่ามันคือความจริง
เดี๋ยวนี้ก็แยกไม่ออก ระหว่างความคิดกับความจริง ความคิดปรุงแต่ง ปรุงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสำคัญมั่นหมายเอาว่ามันคือความจริง แล้วก็เลยวิตกกังวลเป็นทุกข์ แต่มันคือความคิด
เหมือนกับคนที่มานอนอยู่ในวัดคนเดียว พอกลางค่ำกลางคืน ก็กลัวจนนอนไม่หลับ เพราะคิดว่ามีผี มีภูต มีสัตว์ร้าย ที่จะมาก่อกวน มารบกวนเรา ถามว่า ที่กลัวนี่มันคือความจริง หรือสิ่งที่คิดเอา ที่ทุกข์นี่ ทุกข์เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือทุกข์เพราะความคิดว่ามันจะเกิด
แล้วคนเรานอนไม่หลับ ก็เพราะความคิดปรุงแต่ง ฉะนั้นการปรุงแต่ง มันคือตัวการที่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจของเรา
ขณะเดียวกัน เวลามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเรารับรู้เหตุการณ์อย่างที่มันเป็น มันก็ไม่เท่าไร แต่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เห็นอยู่กับตา แต่ว่าเราก็คิดในทางลบทางร้าย อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจของเราอีกเหมือนกัน
เห็นเพื่อนสองคน เขากำลังนินทากัน กำลังซุบซิบกัน เรามาเห็นพอดี ขณะที่เราเดินเข้าสำนักงาน พอเขาเห็นเราเดินมา เขาก็หยุดคุย หยุดซุบซิบ แล้วก็เดินแยกย้ายกันไป พอเห็นแบบนี้ หลายคนเครียดเลยเพราะคิดว่าเขากำลังนินทาเรา เขากำลังคิดไม่ดีกับเรา เขากำลังคบคิดจะเล่นงานเรา อาจจะเลื่อยขาเก้าอี้เรา
พอคิดแบบนี้เป็นยังไง เครียดเลย หงุดหงิด แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เขาอาจจะกำลังซุบซิบนินทาเจ้านาย บังเอิญเรามาเห็นพอดี เขาไม่อยากให้เราได้ยิน เขาก็เลยหยุด เพราะกลัวว่า เดี๋ยวเราจะไปบอกเจ้านาย เขาอาจจะไม่ได้นินทาเราเลย ไม่ได้คิดจะเลื่อยขาเก้าอี้เราเลย แต่เพราะเราคิดลบคิดร้าย
อันนี้ก็เป็นความคิดปรุงแต่งอีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ปรุงแต่งในเรื่องที่ยังไม่เกิด แต่ว่าปรุงแต่งกับสิ่งที่เห็นด้วยตา หรือว่าเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า ไม่ได้เห็นอย่างที่มันเป็น อันนี้ก็เป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจของเราอีกเหมือนกัน
แล้วเวลาที่เราเห็นอะไรที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา เช่น เสียงดัง คนพูดคุยกัน รบกวนการทำงาน หรือว่าการเจริญสติของเรา หรือแม้รบกวนการฟังของเรา แล้วเรารู้สึกหงุดหงิด
จริงๆ ความหงุดหงิด หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา มันไม่ได้เกิดจากเสียง แต่มันเกิดจากใจที่ไปผลักไสเสียงนั้น ที่จริง มันเริ่มต้นจากการที่ใจเราไปจดจ่อกับสิ่งนั้นก่อน เสียงหรือภาพที่เราไม่ถูกใจ พอเราได้ยิน หรือเราเห็น แล้วเราเกิดความไม่พอใจ เกิดทุกขเวทนาขึ้นมา ปฏิกิริยาอย่างแรกที่มักจะเกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ ก็คือไปจดจ่อใส่ใจกับมัน เขาเรียกว่ายึดติด
มีเสียงโทรศัพท์ดังในห้อง ในศาลา หลายคนจะเอาจิตไปพุ่งที่เสียงนั้นทันที ไม่สนใจแล้ว ว่าอาตมาบรรยายว่าอะไร พูดอะไร แต่ว่าใจนี่ไปยึดติดอยู่กับเสียงที่มารบกวน เสียงริงโทน เสียงโทรศัพท์ เสียงพูดคุยกัน ทีแรกยึดติด แล้วยิ่งยึดติดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งไม่พอใจ พอยิ่งไม่พอใจ ก็พยายามผลักไส
ธรรมชาติของใจ พอยึดติดสักพัก มันจะเกิดอาการผลักไส หรือเกิดขึ้นไล่เลี่ยกันทันทีเลย ทีแรก ใจจดจ่อที่เสียง ทุกข์ก็เลยผลักไส ผลักไสมันไม่ไป มันยังดังอยู่ ก็ยิ่งทุกข์ เพราะทุกข์ก็เลยยิ่งยึด
มันเกิดวัฏจักรแบบนี้ ทุกข์ก็เลยยึด พอยึดแล้วทุกข์ ก็เลยผลักไส พอผลักไส ทุกข์ ก็เลยยิ่งยึด แล้วมันก็วนไปอย่างนี้ ความทุกข์ก็เลยทวีตรีคูณ เรียกว่า multiply 3 เท่า 4 เท่า นี่ก็คือการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจของเรา
ที่จริง ถ้าหากว่าเสียงมันดังกระทบหู หรือข้อความใด เห็น หรือว่าใครที่เราไม่ชอบขี้หน้า เดินผ่านมาให้เราเห็น เราก็แค่ไม่ใส่ใจ มันก็ไม่ทุกข์ แต่แปลก อะไรที่เราไม่ชอบ อะไรที่เราเกลียด เรายิ่งจดจ่อใส่ใจ
เหมือนกับมือหรือนิ้วของเรา ถ้ามันเกิดไปถูกของเหม็น ปฏิกิริยาแรกของเราคือ การพยายามล้างนิ้วล้างมือ ไม่ให้กลิ่นมันคงอยู่ แต่พอเราล้างเสร็จ เราทำอย่างไร เราก็จะเอานิ้วมือมาดม ไม่ชอบกลิ่น แต่เอามาดมแล้วดมอีก ไม่ชอบคำพูดของใคร ก็กลับจดจ่อใส่ใจ คิดแล้วคิดอีก ไม่ชอบเสียงดัง ก็จดจ่อที่เสียงนั้น
พอทุกข์แล้ว ก็ผลักไส พอผลักไสแล้ว ก็ยิ่งทุกข์ จริงๆ เสียงไม่ได้ทำให้เราทุกข์นะ แต่ว่าที่ทุกข์ เพราะการผลักไส ก็เป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจของเราอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราเพียงแต่ยอมรับมัน หรือแค่ดูมันเฉยๆ ไม่ผลักไสมัน ใจก็ไม่ทุกข์
แต่ส่วนใหญ่ ไม่รู้ทันอาการของใจ ก็ปล่อยใจให้มันทำไปตามความเคยชิน หรือสัญชาตญาณ คือผลักไสโวยวาย ตีโพยตีพาย เสร็จแล้วก็ทุกข์ พอทุกข์แล้ว ก็ไปคิดว่าเป็นเพราะเสียง แต่ไม่ใช่ แต่มองไม่เห็นว่า เป็นเพราะใจของเรา ที่มันผลักไส นี่เป็นเพราะไม่ดูแลใจ
ถ้าเราดูแลใจดีๆ เวลาเราพบว่า ทุกข์เพราะความคิดปรุงแต่ง ในสิ่งที่ยังไม่เกิด เรารู้ว่า ความปรุงแต่งที่ว่า มันทำให้ทุกข์ มันยังไม่เกิด แล้วจะทุกข์ไปทำไม พอเรารู้เช่นนี้ เราก็หยุดปรุงแต่งเท่านั้นเอง กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้ไถลไปกับเรื่องที่ยังไม่เกิด หรือว่าเวลารู้ว่าจิตมันทุกข์ มันหงุดหงิด เพราะการผลักไส เราก็กลับมาตั้งสติ แล้วก็ดูมันเฉยๆ
อะไรก็ตาม ที่เราแค่ดูมันเฉยๆ รับรู้เฉยๆ อาจจะทำให้ทุกข์กาย แต่ว่าใจไม่ทุกข์ เช่น เวลายุงกัด แน่นอนมันคันแน่ รู้สึกเจ็บ แต่ถ้าเรารับรู้ความเจ็บนั้นด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่บ่นโวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่คิดปรุงแต่งไป ว่าถูกยุงกัดแบบนี้ จะเป็นโรคไข้เลือดออกหรือเปล่า ยุงมีเชื้อมาลาเรียไหม พอคิดแบบนี้ เขาก็ยิ่งทุกข์เลย
นี่เรียกว่าทุกข์เพราะปรุงแต่ง มันไม่ใช่ความจริง แต่เป็นสิ่งที่อาจจะเกิด แต่อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ มันคืออนาคต แต่เพราะปรุงแต่งไปล่วงหน้า มันก็เลยเป็นทุกข์
ต้องเห็นตรงนี้ว่า ทุกข์เพราะการปรุงแต่ง หรือเวลามีทุกขเวทนา มีความปวด ความคัน จิตมันไม่ยอมรับ มันผลักไส มันโวยวาย ตีโพยตีพาย นี่เราทุกข์เพราะผลักไส มันทำให้ความทุกข์เพิ่มขึ้น ทุกข์กายก็พอแรงอยู่แล้ว แต่พอปล่อยใจให้ทุกข์ ความทุกข์มันคูณ 2 คูณ 3 คูณ 4 ไปเลย
ทุกข์เพราะกาย เราห้ามไม่ได้ เพราะยุงมันกัดไปแล้ว แต่ทุกข์เพราะการผลักไส เราทำอะไรกับมันได้ด้วยการไม่ผลักไส ด้วยการหยุดโวยวาย ตีโพยตีพาย ไม่ใช่ห้ามใจให้หยุด แต่แค่รู้ทัน
มันก็เป็นธรรมชาติของใจ ที่มันจะโวยวายอยู่แล้ว เวลาเกิดทุกขเวทนา แต่พอเราเห็นมัน รู้ทันมัน มันหยุดเลย มันหยุดผลักไส เหมือนกับการที่มันหยุดปรุงแต่ง หรือว่าพอรู้ว่าคิดลบไปแล้ว ก็ทักท้วงใจว่า มันคิดลบไปแล้ว ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่รู้เลย แต่คิดไปแล้ว อย่าไปเชื่อความคิดนั้น
เขาอาจจะไม่ได้นินทาเราก็ได้ เขาอาจจะกำลังพูดคุยกัน อาจจะคุยปรึกษากัน เพราะรู้ว่าลูกของเราป่วย พ่อของเราไม่สบาย อยู่ที่โรงพยาบาล เขาอาจจะปรึกษากันว่า จะช่วยเราอย่างไรดี เป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล อาจจะคุยกันแบบนี้ก็ได้ แต่พอเราคิดว่าเขานินทา เราเครียดเลย เราหงุดหงิดเลย นี่เราทุกข์เพราะคิดลบ แต่คิดลบ เรามีสิทธิ์ที่จะรู้ทัน แล้วก็ทักท้วงมันได้
ทีนี้ถ้าเราดูแลใจดีๆ เราจะไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจ ในลักษณะที่ว่าไม่ว่าจะเป็นการคิดปรุงแต่งในเรื่องอนาคตที่ยังไม่เกิด หรือว่าผลักไสสิ่งที่กำลังประสบรับรู้อยู่ในปัจจุบัน แล้วถ้าเราดูแลใจดีๆ มันไม่ใช่แค่หยุดซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจ แต่ยังรู้จักวิธีป้องกันไม่ให้ความทุกข์มาครอบงำใจด้วย
อะไรที่จะช่วยให้ใจเราไม่ถูกความทุกข์ครอบงำก็คือสติ อารมณ์ ความโกรธ ความเศร้า พวกนี้เกิดขึ้นได้ เพราะเผลอไปแล้ว เผลอคิดไปแล้ว แต่ก็ยังมีกำแพงอีกชั้นหนึ่ง คือสติ ที่จะช่วยไม่ให้ความทุกข์เหล่านั้นมาครอบงำใจ
แล้วถ้าสติเราทำงานดีๆ ต่อไปเราก็ยังสามารถจะเติมสุขให้ใจได้ด้วย สติมันช่วยเติมสุขให้ใจ ทำให้เราพบความสงบเย็นภายใน และทำให้เรามีกำลังในการช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเรารู้จักเติมสุขให้ใจ เรามีความสุข เราก็สามารถที่จะให้ความรัก ความเมตตา ความห่วงใย กับคนอื่นได้ รวมทั้งกับผู้ป่วย
เพราะฉะนั้น การดูแลใจ กับการห่วงใยผู้อื่นนี่ มันไปด้วยกัน ฉะนั้นถ้าเราดูแลใจดีๆ เราก็จะห่วงใย ช่วยเหลือผู้อื่นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย หรือคนใกล้ตัว แต่ถ้าเราไม่ดูแลใจให้เป็น เราจะไม่รู้วิธีที่จะให้ความช่วยเหลือกับคนที่กำลังทุกข์ยากอย่างไร หรือถึงมี ถึงรู้ แต่ก็จะหมดเรี่ยวหมดแรงไปในที่สุด.