พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 3 ตุลาคม 2567
เดี๋ยวนี้ผู้คนมีความสำนึกในเรื่องสุขภาพมากขึ้น วิธีการรักษาสุขภาพอย่างหนึ่งก็คือ การกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ หลายคนก็มาสนใจกินอาหารมังสวิรัติ โดยเฉพาะช่วงนี้ เทศกาลกินเจ หลายคนแม้จะไม่ใช่ลูกจีนหรืออาจจะไม่ได้เคร่งในเรื่องของการทำบุญ ก็เลือกมากินเจ ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ
แต่มันมีอีกวิธีหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในการรักษาสุขภาพ ก็คือการไม่กิน หรือการอดอาหารที่เรียกกันว่าดีท็อก ดีท็อกก็คือการล้างพิษ ล้างพิษอะไร ล้างพิษที่สะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
พิษเหล่านี้ มันก็มาจากอาหารที่เรากิน บางอย่างก็เป็นสารพิษตกค้างอยู่ในอวัยวะต่างๆ แต่บางส่วน ก็เป็นสารส่วนเกิน ที่มาจากอาหาร ที่เรากินแล้วไม่ได้ใช้ให้หมด พลังงานที่เหลืออยู่ก็แปรรูปเป็นไขมันบ้าง เป็นส่วนเกินที่เกาะอยู่ตามเส้นเลือด เกาะอยู่ตามอวัยวะต่างๆ
และพวกนี้ พออยู่ไปนานๆ มันก็กลายเป็นพิษ ทำให้เกิดความเจ็บความป่วย ฉะนั้น หลายคนก็เลยเห็นความสำคัญของการล้างพิษ วิธีการล้างพิษก็คือการอดอาหาร ไม่เติมอาหารเข้าไป นอกจากจะช่วยทำให้สารพิษที่มากับอาหารลดน้อยลง หรือทำให้ส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้มันน้อยลงแล้ว มันยังเป็นการประหยัดพลังงานด้วย
พลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหาร พอไม่มีอาหารตกถึงท้อง มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องย่อยอาหาร ก็เลยทำให้มีพลังงาน จะเรียกว่าเหลือเฟือก็ได้ สำหรับการขับถ่ายของเสียจากร่างกาย
ร่างกายของเราใช้พลังงาน 2 ส่วน ส่วนหนึ่งกับการย่อยอาหาร อีกส่วนหนึ่งกับการขับถ่ายของเสีย พอความจำเป็นในการย่อยอาหารมีน้อยลง พลังงานก็เลยมีเหลือสำหรับการขับถ่ายสารพิษและส่วนเกินต่างๆ ออกจากอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เรียกว่าเป็นการดีท็อก
ซึ่งถ้าหากว่ากระบวนการขับถ่ายของเสีย หรือขับสารพิษ ออกจากร่างกาย มันทำงานได้ดี ร่างกายก็จะรู้สึกเบา ความเจ็บป่วยเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับหลายคน ก็ทุเลาเบาบาง
นี้เป็นความเชื่อ หลายคนทำแล้วก็เห็นผล จึงนิยมทำดีท็อกเพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย แต่จริงๆ แล้ว สารพิษไม่ได้อยู่แค่ร่างกาย มันมีพิษอีกชนิดหนึ่งหรือจำพวกหนึ่ง ซึ่งมันอยู่ในจิตใจของเราและจำเป็นเหมือนกันที่จะต้องขับพิษเหล่านี้ออกไปจากใจของเรา เป็นพิษที่สะสมจากความคิดลบคิดร้าย อารมณ์ต่างๆ ที่หมักหมมสะสมอยู่ในจิตใจของเรา
ทุกวันนี้ ผู้คนคิดแต่จะดีท็อกพิษออกจากร่างกาย แต่ว่ามองข้ามการดีท็อกหรือการขับพิษออกจากใจของเรา พิษที่สะสมอยู่ในใจ ก็ทำให้ทุกข์เรื้อรังได้เหมือนกัน มันทำให้หลายคนเครียด วิตกกังวล เรื้อรังหนักเข้าก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า หรือบางคนก็หงุดหงิดหัวเสีย บางคนก็ขี้กลัว ตื่นตระหนก ทำให้การดำเนินชีวิตผิดเพี้ยน หรือว่าไม่มีความสุขเท่าที่ควร
พิษที่สะสมในจิตใจเรา เกิดจากการที่ไปรับรู้อารมณ์ต่างๆ มากมาย ที่จริงการรับรู้อารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ก่อปัญหา ถ้าเรารู้จักจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามมา จากการรับรู้รับเห็นสิ่งต่างๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วปล่อยให้อารมณ์ค้างคา พอตกตะกอนหรือว่าหมักหมมสะสม ก็กลายเป็นพิษ
อารมณ์บางอย่างเกิดจากการคิดครุ่น เห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็เก็บเอามาคิด คิดซ้ำคิดซาก รวมทั้งเวลาเจอประสบการณ์ต่างๆ ที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ แล้วก็เก็บเอามาคิด คิดวนไปวนมาโดยที่ไม่ตระหนักว่า การคิดแต่ละครั้ง ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นมา อารมณ์พวกนี้ก็ไม่ได้ไปไหน มันก็สะสมอยู่ในจิตใจของเรา
จริงอยู่ อารมณ์มันมาแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าส่วนใหญ่มันก็จะตกค้างคล้ายๆ เป็นตะกอนที่เราเรียกว่าอนุสัย ถ้ามันสะสมมากๆ ในใจเรา มันก็ไม่ต่างจากสารพิษที่สะสมในร่างกายที่ทำให้บางคนเป็นมะเร็ง
มะเร็งไม่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายอย่างเดียว มะเร็งเกิดขึ้นกับจิตใจ หรือเขาเรียกว่ามะเร็งอารมณ์ด้วย ซึ่งมันสามารถจะผลักให้คนคุ้มคลั่ง เป็นบ้า ประสาท หรือว่าซึมเศร้า จนกระทั่งคิดฆ่าตัวตายก็ได้
แล้วจะทำอย่างไรถึงจะดีท็อกหรือว่าขับสารพิษ หรือสิ่งที่เป็นพิษออกจากใจของเรา เราดีท็อกสารพิษออกจากร่างกายด้วยการอดอาหารฉันใด ดีท็อกพิษออกจากจิตใจของเราก็ต้องอาศัยการงดเว้นอาหารทางใจหรือว่าอาหารที่รับรู้ทางใจฉันนั้น
ทางพระพุทธศาสนา อาหารจำแนกเป็น 4 ประเภท ประเภทแรกเรียกว่ากวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว ซึ่งก็รวมถึงผักเนื้อ อาหารพวกนี้ช่วยทำให้เกิดพลังงาน บำรุงร่างกาย แต่มันก็ก่อให้เกิดสารพิษพิษตกค้างอย่างที่ว่า
นอกจากคำข้าวหรือว่ากวฬิงการาหาร ยังมีอาหารอีก 3 ประเภท ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ ก็คือเมื่อตากระทบรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นได้รับรส กายเกิดสัมผัส หรือแม้กระทั่งจิตไปรับรู้อารมณ์และความคิดที่เรียกว่าธรรมารมณ์ด้วย แล้วมันเป็นอาหารอย่างไร
ที่ว่าอาหารคือผัสสะนั้น ผัสสะทำให้เกิดเวทนา ภาษาพระเรียกว่าผัสสะเป็นอาหารให้กับเวทนา แล้วเวทนาทำให้เกิดอะไรต่างๆ ตามมาที่เรียกว่าเจตสิก หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาทเขาว่า เวทนาทำให้เกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ พูดง่ายๆ คือทำให้เกิดความคิดและอารมณ์ที่เป็นตัวเจตสิก ทางบวกก็มี ทางลบก็มี
ประเภทที่ 3 อาหารคือมโนสัญเจตนาหาร อาหารคือเจตนา เจตนาก็เป็นอาหาร อาหารให้กับกรรมก็คือการกระทำ อย่างที่ทราบถ้าเจตนาเป็นลบ การกระทำก็เป็นลบ เป็นบาป เป็นอกุศล
ประเภทที่ 4 วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ วิญญาณเป็นอาหารให้กับอะไร ให้กับนามรูป วิญญาณในที่นี้หมายถึงการรับรู้ เมื่อมีการรู้แจ้งทางอารมณ์หรือรู้แจ้งอารมณ์ คล้ายๆ ผัสสะนั่นแหละ เช่น ไปเห็นงู มันทำให้เกิดความกลัว อันนี้เป็นปัจจัยให้กับนาม แล้วบางทีก็ตัวแข็ง ก็เป็นปัจจัยให้กับรูป
วิญญาณเป็นปัจจัย หรือเป็นอาหารให้กับนามรูป เห็นภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม อันนี้ก็เรียกว่าจักขุวิญญาณเกิดขึ้น ทำให้นามเกิดเป็นกุศลขึ้นมา คือความรู้สึกผ่อนคลาย รูปก็เกิดความรู้สึกสบาย
อาหาร 3 ประเภทหลังนี้ เป็นอาหารทางใจ หรือเรียกรวมๆ ว่า อาหารทางนามธรรม
คนส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่มีความแยบคายในการรับรู้ ในการคิด เช่น คิดเรื่อยเปื่อย หรือไปรับรู้อะไรต่ออะไรเรื่อยเปื่อย ไม่รู้จักพินิจพิจารณา เพราะฉะนั้นอาหารทางนามธรรมก็เลยเป็นลบ จึงทำให้เกิดอารมณ์ที่เป็นลบตามมา เช่น เกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความกลัว เกิดความเครียด เหล่านี้ที่เป็นพิษให้กับจิตใจของเรา
เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะขับพิษออกจากใจ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ งด หรือเว้น การรับรู้ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือรับผัสสะให้น้อยลง จำกัดการรับรู้ทางใจให้มันน้อยลง
ทุกวันนี้ สิ่งที่เรารับรู้ตลอดทั้งวัน ไม่ได้รับรู้ด้วยตาล้วน ๆ ไปรับรู้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นแหล่งของการรับรู้ของผู้คน และการที่เราอยู่กับโทรศัพท์มือถือทั้งวัน หรือไถโทรศัพท์ทั้งวัน เล่นโซเชียลมีเดีย เล่น facebook, tiktok พวกนี้ทำให้มีพิษเกิดขึ้นในจิตใจกับเราไม่น้อยเลย
เพราะอาหารที่เราเสพทางใจ ไม่ว่าผ่านทางตา ทางหู ทางจมูก พวกนี้มันก่อให้เกิดพิษแก่จิตใจของเรา เกิดความคิดในทางลบ เกิดความอารมณ์ที่ขุ่นมัว เกิดความวิตกกังวล
ฉะนั้น ถ้าเกิดว่าเราเห็นความสำคัญของการดีท็อกพิษออกจากใจ มันต้องให้โอกาสกับตัวเอง ในการเว้นหรืองดรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทางโทรศัพท์มือถือ
หลายคนอาจจะไม่คิดว่า การที่เราว่างเว้นจากการใช้โทรศัพท์มือถือ มันจะมีประโยชน์ต่อจิตใจของเรา เพราะว่าเดี๋ยวนี้ติดเสียแล้ว ไม่ต่างจากคนที่ติดรสชาติอาหาร กินสะเปะสะปะ กินทั้งวัน สุดท้ายก็เกิดพิษต่อร่างกาย ยังไม่นับโรคอ้วน โรคหัวใจ
ข้อมูลข่าวสารที่เรารับรู้ทางโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ เช่น ซีรีย์ เกม หนัง ภาพยนตร์ พวกนี้พอเสพไปมากๆ มันก่อให้เกิดโทษกับจิตใจของเรามากมาย จะเรียกว่ามันเป็นสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดพิษในจิตใจของเรา ดีใจ เสียใจ โมโห เศร้า กลัว ตื่นตระหนก เครียด กลัว อิจฉา ซึ่งล้วนแต่ก่อให้เกิดพิษกับจิตใจของเรา
ฉะนั้นถ้าเราจะดีท็อก หรือขับสิ่งเหล่านี้ออกจากใจ มันก็ต้องเริ่มต้นจากการเสพรับสิ่งต่างๆ ให้น้อยลง อาหารทางใจหรืออาหารทางนามธรรมต้องรับให้น้อยลง
สมัยก่อน เวลาเราสมาทานศีล 8 ซึ่งมีหลายข้อที่ทำให้เรางดเว้นการเสพรับอารมณ์ที่เป็นโทษ โดยเฉพาะศีลข้อที่ 7 นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนาเวระมะณี คือเว้นจากการขับร้อง ฟ้อนรำ เล่นดนตรี รวมทั้งการดูมหรสพ พวกนี้ก็คือการจำกัดอาหารทางใจ
หลายคนเลือกที่จะมาสมาทานศีลในวัด จะได้ไม่ต้องรับรู้อารมณ์ต่างๆ มากมายเกินไป ตลอดทั้งวัน แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องมาวัดก็ได้ อยู่บ้านเราก็ทำได้ด้วยการที่จะให้โอกาสตัวเองงดเสพรับข้อมูลข่าวสารทางโทรศัพท์บ้าง
พูดง่ายๆ คืองดใช้โทรศัพท์ หรือใช้ 2-3 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย รวมทั้งการเสพโซเชียลมีเดีย ก็ให้เว้นเสีย หรือใช้โทรศัพท์เพื่อเล่นเกม ก็งด ใหม่ๆ งดวันละ 1-2 ชั่วโมง บางคนถือว่าเป็นเรื่องยาก เพราะว่าติดแล้ว แต่ต่อไปมันก็จะทำได้ดีขึ้น อาจจะอาทิตย์หนึ่งงด 1 วัน
เหมือนกับการอดอาหาร เดี๋ยวนี้มีการอดอาหารหลายแบบ อดอาหารเป็นช่วงๆ IF กิน 8 ชั่วโมง อด 16 ชั่วโมง หรือว่าใน 1 อาทิตย์ กิน 5 วัน งด 2 วัน หรือว่ากิน 1 วัน งด 1 วัน เว้นสลับกันไป ตอนแรกก็จะพบว่าทำให้ตัวเบา ร่างกายสบาย
บางทีเราก็ต้องคิดแบบนั้นบ้าง งดเสพ รับรู้ รับสิ่งเร้า โดยเฉพาะผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นเกม ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ดนตรี ถ้าเราทำแบบนี้ได้เป็นประจำสม่ำเสมอ จิตใจเราก็จะปลอดโปร่งมากขึ้น
แต่ที่จริงแล้ว ทำเท่านี้ยังไม่พอ อันนั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะว่านอกจากการงดรับอาหารเข้ามาในใจเราแล้ว มันต้องมีการเสริมตัวขับสารพิษออกไปจากใจของเรา
เหมือนกับดีท็อกจะได้ผล ไม่ใช่แค่งดรับอาหาร แต่ว่าส่งเสริมให้กระบวนการขับถ่ายสารพิษในร่างกายของเรามันทำงาน สารพิษในจิตใจของเราก็เหมือนกัน ก็มีกระบวนการหรือตัวช่วยในการขับสารพิษ สิ่งนั้นคืออะไร คือสติ คือความรู้สึกตัว
ถ้าเรานอกจากใช้โทรศัพท์มือถือให้น้อยลง หรือว่าพูดคุยกับคนให้น้อยลง เพราะการพูดคุยเป็นตัวเพิ่มพิษให้สะสมในจิตใจของเราไม่ใช่น้อย หลายคนพบว่า พอคุยมากๆ มันก็ฟุ้งซ่าน เกิดอารมณ์มากมาย
การปฏิบัติธรรม ที่นี่หรือที่ไหน จะมีกระบวนการเก็บอารมณ์ เก็บอารมณ์ก็เป็นวิธีการที่ทำให้ไม่ต้องไปเสพรับรู้อารมณ์ต่างๆ หรือสิ่งเร้า และทำให้ไม่ต้องไปพูดคุยกับใคร แต่ว่าเท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีการเจริญสติด้วย เสริมแรงของสติ เพื่อไปช่วยขับถ่ายพิษออกไปจากใจ
สติเป็นตัวขับพิษที่ดี เพราะว่าอารมณ์ที่เป็นลบ อารมณ์ที่เป็นอกุศลในใจที่ค้าง สะสม หมักหมมในจิตใจของเราจนเกิดโทษต่อสุขภาพ และจิตใจของเรา เกิดจากขาดสติ เป็นเพราะว่า เอาแต่คิดครุ่น เรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ผ่านไปแล้วหลายวัน ก็ยังเก็บเอามาคิด พอคิดแล้ว ก็เกิดความโกรธ เกิดความเศร้า เกิดความโมโห เกิดความหงุดหงิดสะสม
อาการพวกนี้เกิดขึ้นเพราะขาดสติ เพราะถ้ามีสติ มันจะไม่ไปหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างนั้น อย่างน้อยสติก็ทำให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน และที่สำคัญคือ สติทำให้เห็นความคิดและอารมณ์ รู้ทันความคิดและอารมณ์ พอรู้แล้วมันก็จะวาง ไม่ปล่อยให้อารมณ์นั้นต่อเติมเสริมแต่ง จนเกิดพิษในจิตใจของเรา
ใจของเรา ถ้าไม่มีสติ ความคิดมันจะฟุ้งซ่านไปหมดเลยนะ คนที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกตัว มันจะคิดวกไปวนมา จนกระทั่งบางทีแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นความคิด อันไหนเป็นความจริง
และความคิด พอคิดไปแล้ว มันก็ย่อมเกิดอารมณ์ แล้วส่วนใหญ่ก็คิดในทางลบ มันก็เลยเกิดอารมณ์ในทางร้ายๆ ที่สะสม แต่พอทันทีที่มีสติ อารมณ์พวกนี้ก็จะค่อยๆ สูญหาย หรือกระจายหายไป
ไม่ต้องห้ามความคิด ปล่อยให้มันคิด แต่ว่าพอรู้ทันบ่อยๆ รู้ทันบ่อยๆ ความคิดมันก็จะน้อยลง น้อยลง อารมณ์ที่เกิดตามมา มันก็จะน้อยลงไปด้วย
หลวงพ่อเทียน ท่านบอกว่าเปรียบเหมือนกับเวลาขุดบ่อ ขุดไปลึกๆ พอถึงจุดหนึ่ง มันจะมีน้ำไหล น้ำใหม่ๆ มันจะขุ่น หน้าที่ของเราคือวิดน้ำไปเรื่อย ๆ เราไม่ห้าม น้ำจะออกมา ก็ออกมา แต่ว่าเราก็จะวิดออกไปเรื่อย ๆ ออกไปเรื่อย ๆ สุดท้ายน้ำก็จะใส ใช้ดื่มกินได้
ใจของเราก็เหมือนกัน ตอนที่เราปฏิบัติใหม่ๆ มันคิดโน่นคิดนี่สารพัด เราไม่ต้องห้าม ก็แค่รู้มัน รู้ด้วยสติ พอรู้ไปบ่อย ๆ ก็จะคิดน้อยลงไปเอง เหมือนกับน้ำขุ่นที่มันเริ่มกลายเป็นน้ำใส จะว่าไปสติก็เหมือนกับเป็นตัววิด วิดความคิดที่เป็นลบ อารมณ์ที่เป็นลบออกไปจากใจ
ความคิดที่เป็นบวก อารมณ์ที่เป็นบวกก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะว่าพอมันมีแล้ว เราก็ติด พอติดแล้ว ก็คาดหวังอยากให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ พอไม่เกิดขึ้น ก็เกิดความหงุดหงิด เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เหมือนคนที่ปฏิบัติธรรมแล้วได้ความสงบ แต่วันไหนความสงบไม่เกิดขึ้นอย่างที่คาด ก็จะเกิดความหงุดหงิด เกิดความเสียใจ โมโห
เพราะฉะนั้น อารมณ์ที่เป็นบวก มันก็คือด้านกลับของอารมณ์ที่เป็นลบ ไปยึดติดถือมั่นมันเมื่อไหร่ มันก็กลายเป็นลบทันที และที่เรายึดติดถือมั่น ก็เพราะว่าเราขาดสติ แต่ถ้ามีสติ ก็จะเห็น แล้วก็จะวาง ไม่ยึด
ดีใจก็รู้ เสียใจก็รู้ อารมณ์บวกเกิดขึ้นก็รู้ อารมณ์ลบเกิดขึ้นก็รู้ รู้แล้วก็วาง อารมณ์พวกนี้มันก็เลยไม่สะสม เวลาโกรธ มันก็ไม่โกรธข้ามคืน เวลาเครียด ก็ไม่เครียดข้ามคืน ที่จริงมันไม่ทันข้ามชั่วโมงด้วยซ้ำ มันก็จางหายไปแล้ว
จะว่าไป มันเหมือนไม่มีที่ตั้ง เพราะว่าอารมณ์พวกนี้ มันเกิดขึ้นได้ ในยามที่เราหลง ในยามที่เราไม่มีสติ มันก็เลยสะสมหมักหมมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าเกิดเรามีสติเมื่อไหร่ มีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้
เราไม่ต้องขับไล่ไสส่งอารมณ์พวกนี้ เพราะว่าสติ ความรู้สึกตัว จะทำงานเอง เหมือนกับน้ำเสียในท้องร่อง ในคูคลอง เราไม่จำเป็นต้องวิด เราแค่ปล่อยน้ำดีเข้าไป น้ำดีมันก็ไล่น้ำเสียออกไป
อารมณ์ที่เป็นพิษ ความคิดที่เป็นลบ ที่มันสะสมในใจ จนกระทั่งมันกลายเป็นอารมณ์เน่า ความคิดเน่าๆ เราไม่ต้องขับไล่ไสส่งมัน เพียงแค่เติมสติลงไป เติมความรู้สึกตัวลงไปในใจของเราเยอะๆ หรือว่าเพิ่มพูนความรู้สึกตัว เพิ่มพูนสติให้มาก ๆ
สติความรู้สึกตัว มันก็จะทำหน้าที่ขับไล่อารมณ์บูดๆ ออกไปจากใจของเรา เพราะว่าพวกนี้มันอยู่ได้เพราะความหลง อยู่ได้ในยามที่ไม่มีสติ
เวลาพูด สติกับความรู้สึกตัว พูดคู่กัน อันนี้เป็นเรื่องที่ใครที่ปฏิบัติก็จะเข้าใจ เพราะว่าเราจะรู้สึกตัวได้ เราต้องมีสติ มีสติจนกระทั่งจิตมันหลุดออกจากอดีต ไม่ไหลไปอนาคต จิตไม่ส่งออกนอก จิตก็กลับมารู้เนื้อรู้ตัว
พอจิตกลับมารู้เนื้อรู้ตัว ก็เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา พูดอีกอย่างก็คือว่า สติเป็นอาหารให้กับความรู้สึกตัว หรือว่าเป็นตัวหล่อเลี้ยงความรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า สติและความรู้สึกตัว คู่กันไป
เพราะฉะนั้น นอกจากการที่ไม่ไปรับรู้อารมณ์ รู้จักวิรัช วิรัชคือลดละการเสพอารมณ์ เสพสิ่งเร้า โดยเฉพาะทางโทรศัพท์มือถือ ทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การที่เรามาเจริญสติ ฝึกสติ มันจะทำให้การขับถ่ายอารมณ์ที่เป็นพิษ หรือพูดรวมๆ ก็คือ ขับถ่ายความทุกข์ออกไปจากใจของเรา
และถ้าเราทำเป็นอาจิณ ทำเป็นประจำ จิตใจของเราจะโปร่งเบา ซึ่งก็ส่งผลทำให้สุขภาพกายของเราดีขึ้นด้วย เพราะว่าความเครียด ความโกรธ ความวิตกกังวล มันทำร้ายทั้งใจ แล้วก็ร่างกายของเรามาก
ฉะนั้น เวลาพูดถึงการดีท็อก อย่าคิดหรืออย่านึกถึงแต่การขับพิษออกจากร่างกาย ให้นึกถึงการขับพิษออกจากจิตใจ ด้วยการงดเสพสิ่งเร้า แล้วก็ด้วยการเจริญสติอยู่เป็นนิจ.