พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 30 กันยายน 2567
ในสมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่งชื่อพระสุภูติ เดิมท่านเป็นหลานของอนาถบิณฑิกเศรษฐี วันที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีนิมนต์พระพุทธเจ้ามารับภัตตาหาร หนุ่มสุภูติได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เกิดศรัทธาก็เลยออกบวช ชีวิตของท่านไม่ค่อยโลดโผนเท่าไร แต่ว่าท่านก็ตั้งใจปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุอรหัตตผล จัดว่าเป็นเอตทัคคะในด้านของทักษิณาทานหรือผู้ควรรับทักษิณาทาน
มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่กรุงราชคฤห์โดยการนิมนต์ของพระเจ้าพิมพิสาร แต่พอท่านมาแล้ว พระเจ้าพิมพิสารลืมสร้างกุฏิถวาย ท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร พำนักอยู่ในป่า ตอนหลังพระเจ้าพิมพิสารนึกขึ้นมาได้ก็เลยสร้างกุฏิถวายท่าน จะเรียกว่าเป็นกระท่อมก็ได้
พอสร้างเสร็จ พระสุภูติก็กล่าวเป็นคาถาว่า “กระท่อมของเรามุงไว้ดีแล้ว ฝนเอยเชิญตกมาตามสบาย จิตของเราตั้งมั่นดีแล้ว หลุดพ้นแล้ว ฝนท่านจงตกมาได้เลย” พอท่านกล่าวเป็นคาถาเท่านั้น ฝนก็เทลงมาเลย ความแห้งแล้งที่กินเวลานานเป็นเดือนจนผู้คนเดือดร้อนก็ปรากฏว่าหายไปในบัดดล เพราะฝนตกลงมาชุ่มฉ่ำไปหมด
ตอนหลังก็เลยเป็นที่มาของคาถาเรียกฝน ที่ไหนเวลาฝนแล้ง จะเรียกฝนก็ต้องเอ่ยถึงคาถาของพระสุภูตินี่แหละ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ฝนเทลงมา ก็ถือว่าคาถาของพระสุภูติศักดิ์สิทธิ์ สามารถจะเรียกฝนให้ตกลงมาได้
แล้วคาถานี้ยังมีความหมายลึกซึ้งในทางธรรมด้วย เนื้อหาของคาถานี้บ่งชี้ว่า แม้ฝนจะตกลงมาหนักหนาแค่ไหน แต่ถ้าเรือน หรือกุฏิ หรือกระท่อมมุงเอาไว้ดีแล้วก็ไม่เปียก จิตเมื่อตั้งมั่นดีแล้ว ไม่ว่ามีอะไรมากระทบก็ไม่กระเทือน เหมือนกับว่าอยู่ในเรือนที่มีหลังคาที่มุงเอาไว้อย่างแน่นหนา ฝนจะตกลงมาอย่างไรผู้ที่อยู่ข้างในก็ไม่เปียก
จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว แม้จะมีอะไรมากระทบที่เรียกว่าอนิฏฐารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือแม้แต่ธรรมารมณ์ที่เป็นลบ เป็นอกุศล ก็ทำอะไรจิตใจไม่ได้ รวมถึงเหตุร้าย เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกต่อว่าด่าทอ หรือว่าเจ็บป่วย เหล่านี้ไม่มีใครปรารถนา แต่แม้เกิดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถทำให้จิตไหว ใจกระเพื่อม หรือเป็นทุกข์ได้ เหมือนกับคนที่อยู่ในเรือนที่มุงไว้ดีแล้ว ฝนตกลงมายังไงก็ไม่เปียก
ถ้ามองให้ดี การที่เราอยู่ในโลกนี้ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอฝน แต่ว่าคนที่มีเรือนมุงไว้ดีแล้ว ฝนตกมาก็ไม่เปียก ฉันใดก็ฉันนั้นอนิฏฐารมณ์ เหตุร้ายที่ไม่ชอบ ไม่ปรารถนา ก็ไม่มีใครหนีพ้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ทำอย่างไรใจจึงจะไม่ทุกข์
จิตที่ฝึกเอาไว้ดีแล้วจนตั้งมั่น หรือว่าจิตที่ฝึกเอาไว้ดีแล้วจนหลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นอย่างไร กับกาย กับทรัพย์สมบัติ กับคนรัก แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ เพราะใจนี้ได้รับการรักษาเอาไว้ดีแล้วเหมือนกับเรือนที่มุงหลังคาไว้ดีแล้ว
คนส่วนใหญ่ก็ปรารถนาว่า ถ้าชีวิตจะมีความสุขได้ ต้องไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น ต้องไม่มีอนิฏฐารมณ์เกิดขึ้น ผู้คนที่อยู่รอบตัวไม่นินทาว่าร้าย ไม่เบียดเบียน ไม่ทำตัวน่าระอา หลายคนปรารถนาอย่างนั้น เวลาขอพรก็ขอให้อย่าได้เจอโรคเจอภัย อย่าได้เจออุปสรรคอันตราย ขอให้เจอแต่คนดี ๆ แคล้วคลาดหรือห่างไกลจากคนที่ไม่ดี
อันนั้นเราปรารถนาได้ แต่ว่าในความเป็นจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป บางครั้งเจอคนดี แต่บางครั้งก็เจอคนที่ไม่ดี คนชั่ว บางครั้งได้ยินคำที่ไพเราะ แต่บางครั้งก็มีคำที่ระคายโสตประสาท หรือว่าคำต่อว่าด่าทอมากระทบหู บางครั้งมีความสำเร็จ แต่บางทีก็เจอความล้มเหลว เจอคนดี ๆ แล้วก็ต้องพรากจากคนเหล่านั้นไป นี้เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครหนีพ้น
เหมือนกับฝนที่มันย่อมตกลงมา ถึงแม้ว่ามันจะแล้งปานใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็ตกลงมา แต่ตกลงมาแล้วไม่ใช่ว่าเราจะต้องเปียกเสมอไป เราไม่เปียกก็ได้ถ้าเรามีเรือนที่มุงเอาไว้ดีแล้ว
ในขณะเดียวกัน เมื่อเจอทุกข์ เจออนิฏฐารมณ์ เจอความเจ็บป่วย เจอคำต่อว่าด่าทอ เจอความพลัดพราก สูญเสีย ใจไม่ทุกข์ก็ได้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่เขาคิดแต่ว่าขออย่าได้เจอสิ่งร้าย ๆ ขอให้เจอแต่สิ่งดี ๆ
ซึ่งเป็นความคิดความปรารถนาที่สวนทางกับความเป็นจริง มันจะดีกว่า แล้วเป็นไปได้มากกว่า ถ้าหากว่าเราหันมาจัดการดูแลใจของเราให้ดี จะไปห้ามฝนหยุดตกนั้นไม่ได้ แต่ถึงแม้ฝนตก ถ้าเรามุงหลังคาสร้างบ้านเอาไว้ดี เราก็ไม่เปียก ปลอดภัย แม้ฝนมันจะกระหน่ำกลายเป็นพายุก็ตาม
คนเราต้องคิดหรือยอมรับความเป็นจริง ว่าจะต้องเจอกับโรคภัยไข้เจ็บ เจอความเจ็บป่วย แต่ว่าถึงแม้จะเจอความสูญเสียพลัดพรากอย่างไร แต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ถ้าเราฝึกเอาไว้ ก็เหมือนกับรอบตัวเรานี้เต็มไปด้วยเชื้อโรค ที่จริงในตัวเรามีเชื้อโรคเยอะ ในปาก ในลำไส้ บางทีมันก็เข้าไปอยู่ในกระแสเลือดก็มี
จะให้รอบตัวเราบริสุทธิ์หมดจด ไร้เชื้อโรคนั้นเป็นไปไม่ได้ คนเราเคยคิดว่าจะทำได้เมื่อสัก 50-60 ปีก่อน คิดว่าจะกำจัดเชื้อโรคให้หมดไปจากโลกนี้ได้ ด้วยยาปฏิชีวนะ เพนิซิลลิน ยาฆ่าเชื้อสารพัด
แต่ตอนนี้ก็ยอมรับแล้วว่าไม่มีทางที่โลกนี้จะปลอดเชื้อ หรือแม้แต่ร่างกายเราจะปลอดเชื้อนี้เป็นไปไม่ได้ 1 ใน 4 ของประชากรโลกมีเชื้อวัณโรค TB อยู่ในร่างกาย แต่ทำไมไม่ล้มป่วย ก็เพราะมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดี เชื้อเข้ามาในร่างกายแต่มีภูมิคุ้มกันร่างกายเราจัดการได้
เช่นเดียวกัน แม้จะมีเหตุร้ายหรืออนิฏฐารมณ์เกิดขึ้นมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้ใจ แต่ว่าใจไม่ทุกข์นั้น เป็นไปได้ มันอยู่ที่ใจ ใจที่มีสติ ใจที่มีปัญญา เพียงแค่ยอมรับมันอย่างที่มันเป็น ไม่คาดหวังอย่างที่มันไม่ได้เป็น ก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะแล้ว
แล้วแม้จะมีธรรมารมณ์ที่เป็นอกุศลคือ ความคิดและอารมณ์ที่เป็นลบเกิดขึ้นในใจ มันรุกเข้ามา ไม่ใช่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่มันเข้ามาถึงทางใจ เช่น ความโศก ความโกรธ ความเครียด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าใจจะต้องทุกข์ทันทีหรือทุกข์เสมอไป เรามีจะเรียกว่าภูมิคุ้มใจอยู่ หรือภูมิคุ้มกันที่ช่วยรักษาใจ
ถึงแม้ยังเป็นปุถุชนอยู่แต่ว่าเราก็ต้องมีสิ่งนี้อยู่ นั่นคือสติ ที่ชื่อว่า สัมมาสติ เป็นสิ่งที่เรามีกันทั้งนั้น แล้วสิ่งที่สัมมาสติทำมันก็ไม่ได้ยากอะไรเลย เพราะว่าเพียงแค่รู้ทันความคิดและอารมณ์ รู้แล้วไม่เผลอเข้าไปผลักไส ไม่ไหลตามมัน อย่างที่เรียกว่ารู้ซื่อ ๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้ว เพียงแค่เห็นอย่างที่มันเป็น
ทุกอารมณ์กลัวการถูกรู้ทัน เหมือนกับโจร เหมือนกับมิจฉาชีพที่กลัวเหยื่อจะรู้ทัน แต่คนที่มิจฉาชีพเหล่านั้นหมายมั่นให้เป็นเหยื่อ ถ้าเกิดเขารู้ทัน มิจฉาชีพก็ยอมแพ้ล่าถอยไป
มีหมอคนหนึ่ง แกเล่าว่าเวลาเจอเบอร์แปลก ๆ โทรมา เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก เวลารับสายก็จะพูดน้ำเสียงสุภาพว่า “คอลเซ็นเตอร์หรือเปล่าคะ” ปรากฏว่าพวกมิจฉาชีพรายแล้วรายเล่า พอเจอคำทักแบบนี้ยอมแพ้ วางหูไปเลย
อย่างรายหนึ่งพอถูกทักว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือเปล่าคะ” ก็จะพูดขึ้นมาเลยว่า “คอลเซ็นเตอร์แล้วไงฮะ” แล้วก็วางหูไปเลยไม่พูดต่อ อีกคนหนึ่งก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เออะอะ แล้วก็วางหู อีกรายหนึ่งก็บอกว่าอันนี้อารมณ์ดีหน่อยว่า “ใช่ค่ะ เจอบ่อยหรือคะ” แล้วก็หัวเราะแก้เกี้ยว ก็วางหูไปเลย
หมอเล่าว่ามันเป็นวิธีที่ดี เพียงแค่ทักว่าใช่คอลเซ็นเตอร์หรือเปล่า พวกมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นคอลเซ็นเตอร์นี้ก็ล่าถอยไปเลย อันนี้เป็นวิธีการเดียวกันกับพระหลายรูปในสมัยพุทธกาลเวลาเจอมารมาก่อกวน มารเป็นเทพเรียกว่าเทวปุตตมาร แต่ว่าต้องการที่จะมีอำนาจเหนือผู้คน เวลาใครที่ภาวนาเพื่อการพ้นทุกข์ เขาก็จะมาป่วน มาแกล้ง มาหลอกให้หลง
แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็โดนสมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ วิธีการของมารก็มีหลายแบบ เช่น หลอกให้กลัว ปลอมตัวเป็นงูใหญ่ เป็นช้าง หรือบางทีก็เป็นแผ่นดินไหว พระหรือภิกษุณีที่ประสาทอ่อนก็จะตกใจหนี เลิกทำความเพียรเลย
บางทีมาในลักษณะของการมาล่อหลอกให้เลิกทำความเพียร เช่น มารมาล่อมาชักชวนพระพุทธเจ้า ให้เลิกทำความเพียร เช่น บอกว่าท่านก็สะสมบุญมาเยอะแล้ว จะทำความเพียรไปทำไม หรือบางทีมาชักชวนภิกษุณีบางท่านให้เลิกทำความเพียร ไปแสวงหาความสุขจากโลกก่อน พอแก่ตัวแล้วค่อยมาปฏิบัติก็ได้ เอาเหตุผลมาล่อ
หรืออย่างที่เคยเล่าพระสมิทธิกำลังทำความเพียรอยู่ มารก็มาหลอกแปลง มาป่วนด้วยการทำให้เกิดแผ่นดินไหว พระสมิทธิตกใจหนีไปเลย แต่ตอนหลังพระพุทธเจ้าบอกกับพระสมิทธิว่าถ้าเจอแบบนี้อีก ให้บอกมารว่า “มารผู้มีบาป เรารู้จักท่านแล้ว อย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน”
เหล่านี้เป็นวิธีที่หลายท่านใช้ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ใช้ อย่างมีคราวหนึ่งมารมาเข้าสิงพระพรหม แล้วพูดจากวนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้จึงพูด ว่า “มาร เรารู้จักท่าน อย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน”
หรือบางทีก็มารังควาน มาป่วน อย่างเช่นมาเข้าท้องพระโมคคัลลานะ ขนาดพระโมคคัลลานะท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว มารยังมาป่วนอีก เพราะถือว่าตัวเองมีอำนาจ พระโมคคัลลานะท่านมีฤทธิ์มาก ท่านยังใช้ฤทธิ์ขับมารออกไปจากท้องไม่ได้ เพราะมารก็มีฤทธิ์เหมือนกัน แต่พอท่านบอกกับมารว่า “มาร เรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน” เท่านี้แหละมารยอมแพ้เลย
พระสมิทธิพอพูดเช่นนี้ มารก็เลิกกลั่นแกล้งท่านอีกต่อไป พอพระพุทธเจ้าพูดเช่นนี้กับมารที่สิงพระพรหม มารก็ยอมแพ้ เสียใจ แล้วก็พูดพึมพำว่า “พระสมิทธิรู้จักเราแล้ว” “พระตถาคตรู้จักเราแล้ว” หรือว่า “พระโมคคัลลานะรู้จักเราแล้ว” แล้วก็ล่าถอยไปเลย
เราก็ใช้วิธีการที่พระพุทธเจ้า พระสาวกใช้ ไม่ต้องไปสู้รบตบมือกับมาร แค่รู้ทันมันก็พอแล้ว มารที่ว่านั้นถึงแม้จะเป็นเทวปุตตมาร แต่มารก็มีหลายอย่าง ขันธมารก็มี กิเลสมารก็มี ก็เหมือนกันเวลามันมารบกวน ล่อหลอก รังควานใจของเรา เพียงแค่เรารู้ทัน รู้ว่าโกรธ รู้ว่าโศกเศร้า รู้ว่าเครียด รู้ว่าโลภ รู้ว่าอิจฉา รู้ว่าราคะ มันก็ล่าถอยไปเลย
ครูบาอาจารย์บางท่านให้อุบายว่า เวลามีความโกรธในใจ ก็ให้นึกคำว่า “โกรธหนอ” เวลามีความเครียดก็ “เครียดหนอ” แต่บางคนไม่เข้าใจไปคิดว่าเป็นคำบริกรรม หรือไปคิดว่าเป็นคาถา แต่ที่จริงแล้วจุดหมายคือ เพื่อให้รู้ทัน หรือเพื่อเตือนใจไม่ให้หลงไปกับความโกรธ ไม่ให้หลงไปกับความเครียด แค่รู้ทันโดยที่ไม่คิดร้าย ไม่ผลักไส ไม่รู้สึกลบกับอารมณ์เหล่านี้ มันก็ล่าถอยไปเอง
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดพยายามต่อสู้กับมัน กดข่ม ผลักไสมัน ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มกำลังให้กับมัน ซึ่งวิธีนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้แนะนำให้พระสาวกใช้เวลาเจอมารมารบกวนรังควาน แค่บอกมารว่า “มาร เรารู้จักท่านแล้ว อย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน” เป็นการทักด้วยความรู้สึกที่ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียด อาจจะเป็นการทักที่สุภาพประกอบด้วยเมตตาด้วยซ้ำ ปรากฏว่ามารก็ล่าถอยไปเลย ก็เหมือนกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พอเจอปลายสายบอกว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือคะ” ก็ยอมแพ้วางหูไปเลย ไม่มารบกวนต่อไป
อารมณ์หรือความคิดที่เป็นอกุศลที่เป็นลบก็เหมือนกัน เราไม่ต้องไปสู้รบตบมือกับมัน แค่ทัก หรือว่าแค่รู้ว่ามันเกิดขึ้น เหมือนกับโจรที่ย่องเบาเข้ามาในบ้าน หรือเหมือนกับแก๊งมิจฉาชีพที่โทรมาเพื่อจะหลอกเรา เพียงแค่ทัก ทักด้วยอาการสุภาพ มันก็ล่าถอยไป
แต่ส่วนใหญ่จะทำอย่างนั้นไม่ค่อยได้ เพราะว่าลึก ๆ จะมีความรู้สึกลบกับมัน มีความไม่ชอบ อยากจะขับไล่ไสส่ง มีความโกรธหรือรู้สึกลบอยู่ลึก ๆ เวลามีความโกรธเกิดขึ้น ก็เอาความโกรธเข้าไปสู้กับมัน เรียกว่าโกรธซ้อนโกรธ ความโกรธก็เลยยิ่งมีพลัง
เช่นเดียวกันบางคนถึงแม้ว่าจะบอกกับตัวเองว่า “โกรธหนอ โกรธหนอ” แต่ว่าน้ำเสียงมันมีความรู้สึกลบต่อความโกรธ ลึก ๆ ในใจมันอยากจะกดข่มความโกรธ อยากจะผลักไสความโกรธ หรือว่าไม่ชอบความโกรธ ความโกรธก็เลยยังอยู่ แล้วก็มีกำลังยิ่งกว่าเดิม
บางคนสงสัยว่า ทำไม “โกรธหนอ”แล้ว “เศร้าหนอ”แล้ว ทำไมมันยังไม่หายไป ก็เพราะว่าสิ่งที่ทำนี้ไม่ใช่แค่เป็นการทัก หรือว่าเป็นการรู้ซื่อ ๆ แต่มันมีความรู้สึกลบ มีความรู้สึกไม่พอใจที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนั้น
เหมือนกับจะดับไฟ ใช้น้ำสาดดับไฟมันก็ได้อยู่ แต่มันต้องเป็นน้ำบริสุทธิ์ ถ้าเป็นน้ำที่เจือด้วยน้ำมัน ไฟจะไม่ลดลง อาจจะเพิ่มขึ้น รุนแรงมากขึ้น เพราะฉะนั้นแม้บางคนจะบอกกับตัวเองว่าโกรธหนอ โกรธหนอ หรือเศร้าหนอ เศร้าหนอ หรือเครียดหนอ เครียดหนอ แล้วมันไม่หายไป
ก็เป็นเพราะไม่เข้าใจคำว่า “หนอ” นั้นไม่ใช่เป็นคำบริกรรม ไม่ใช่คาถา แต่เป็นการเตือนให้เรารู้จักวางใจเป็นกลางต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีความรังเกียจ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหงุดหงิด
เหมือนกับที่หมอพูดกับเบอร์แปลก ๆ ที่โทรมาว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือคะ” ไม่ได้มีน้ำเสียงเหยียดหยัน ไม่ได้มีน้ำเสียงรังเกียจเลย แค่พูดธรรมดาเท่านี้ เขาก็ไปแล้ว หรือเขาบางคนอาจจะบอกยอมรับความจริงว่า “ใช่ค่ะ เจอบ่อยหรือคะ” ซึ่งเขาก็มีปฏิภาณเหมือนกัน ขณะที่บางคนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้ววางหูไปเลย หรือบางคนก็มีไม่พอใจบ้างก็พูด “คอลเซ็นเตอร์แล้วไงฮะ” แต่ก็วางหูในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นคอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพ หรือจะเป็นมาร ไม่ว่าจะเป็นเทวปุตตมาร หรือว่ากิเลสมาร พวกนี้มันก็พ่ายแพ้ต่อการถูกรู้ ถูกเห็น หรือพ่ายแพ้ต่อการถูกรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง หรือรู้ซื่อ ๆ
เราห้ามไม่ให้ความเกลียด ความโกรธ เกิดขึ้นในใจเรานั้นยาก มันก็ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ถึงแม้มันเกิดขึ้นก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ เพราะว่าใจเรามีสติเป็นเครื่องรักษา เหมือนกับฝนเราห้ามไม่ได้ แต่ว่าฝนก็ไม่ทำให้เราเปียกได้ เพราะว่าเรามีเรือนที่มุงหลังคาไว้ดีแล้ว ใจที่มีสติเป็นเครื่องรักษาไว้ดีก็ย่อมปลอดภัย.