พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 26 กันยายน 2567
เด็กผู้หญิงอายุ 12 คนหนึ่งเล่าว่า พอถึงหน้าร้อนพ่อแม่จะพาไปเที่ยวทะเล พักอยู่บนชายหาด ทุกเช้าเธอก็เดินเล่นบนชายหาด แล้วมีความสุขมาก
เธอได้เห็นคลื่นซัดเอาสิ่งมีค่าต่าง ๆ ขึ้นมาบนชายหาดมากมาย บางครั้งก็เป็นแผ่นไม้จากเรือที่จมในทะเล บางครั้งก็เป็นเศษแก้วที่ถูกขัดจนเรียบ แล้วก็ยังมีแมงกะพรุนที่ถูกซัดขึ้นมาบนชายหาด เยอะแยะไปหมด มีบางคราวก็จะไปเจอแว่นตา บนชายหาดที่ถูกน้ำชัดขึ้นมา แว่นตานั้นก็มีกระจกอยู่ข้างหนึ่ง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอเก็บเอามาเป็นของเล่น
แล้วที่เธอประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ นกสีขาว ๆ ปีกของมันสวยมาก มีอยู่หลายตัวทีเดียวบนชายหาด เวลานกบินมาใกล้ ๆ อยู่ระหว่างเธอกับพระอาทิตย์ ก็จะเห็นปีกขาว ๆ แวววาว สว่าง มันเหมือนกับปีกเทวดาเลย ใจของเธอก็เรียกว่าลอยไปกับปีกนั้น ล่องลอยแล้วก็เบาสบาย มีความสุขมาก
แต่หลังจากนั้นหลายปีเธอก็ไม่ได้ไปที่ชายหาดอีกเลย จนกระทั่งเป็นสาว เธอนึกถึงชายหาดนั้นอยู่เสมอเพราะเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุข มันสวย เมื่อเธออายุประมาณสัก 20 ปีได้ วันหนึ่งมีเวลาว่าง ก็ขับรถไปที่ชายหาดนั้นอีก
แต่เธอพบว่าภาพที่เธอเห็นมันเปลี่ยนไป ชายหาดมันมีขยะถูกพัดถูกซัดขึ้นมามากมาย แถมยังมีนกนางนวลเต็มไปหมด แย่งกันเก็บเศษอาหาร แย่งจิกพวกสัตว์ที่ถูกซัดขึ้นมาบนชายหาด
ภาพที่เห็นไม่เหมือนกับที่เธอเคยเห็นตอนเป็นเด็กเลย มันไม่สวยเหมือนเก่า เธออยู่ตรงนั้นได้ไม่นานก็ขับรถกลับ ด้วยความรู้สึกผิดหวังว่า ทำไมมันจึงเปลี่ยนไป
แต่พอเธอขับไปได้ไม่นานก็ฉุกใจคิดว่า ที่จริงชายหาดที่เห็นวันนี้กับเมื่อตอนที่เป็นเด็ก มันไม่ได้เปลี่ยนเลย ปีกสีขาว ๆ ที่เธอเคยประทับใจในวัยเด็ก มันก็คือนกนางนวลที่เธอเห็นเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง แต่มันไม่ใช่เป็นปีกเทวดาอย่างที่เธอวาดภาพเมื่อ 7-8 ปีก่อนแล้ว
ขยะที่เธอเห็นเกลื่อนชายหาด ที่จริงมันก็คือสมบัติล้ำค่า ของมีค่าที่เธอเห็นบนชายหาดตอนเป็นเด็ก ๆ นั่นเอง แผ่นไม้ เศษแก้ว หรือว่าพวกแมงกะพรุน มันก็ยังมีเหมือนเดิม ตอนนี้เธอไม่ได้มองว่ามันเป็นของมีค่าแล้ว แต่มองว่ามันเป็นขยะ สุดท้ายเธอก็พบว่าจริง ๆ ชายหาดไม่ได้เปลี่ยนหรอก ตัวเธอต่างหากที่เปลี่ยนไป
มันก็เป็นธรรมดา มุมมองเด็กพอกลายเป็นผู้ใหญ่ การให้ค่า และความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนไป ตอนเด็ก ๆ ขนมที่เรากินแล้วอร่อย จะเป็นกล้วยทอด กล้วยแขก หรือว่าลูกชิ้นปิ้ง พอเราโตขึ้น ไปร้านเดิมที่เราเคยกินตอนเด็ก ๆ มันไม่อร่อยแล้ว ไม่เหมือนเดิม ที่จริงมันก็อร่อยเหมือนเดิม รสชาติเหมือนเดิมแต่เราไม่รู้สึกอร่อยแล้วเพราะว่าพอเราโตขึ้นเราได้กินของที่มันอร่อยกว่า
อย่างสมัยตอนเด็ก ๆ แค่ได้กินไอติมโฟร์โมสต์ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว พอโตขึ้นกินไอติมโฟร์โมสต์กลายเป็นเฉย ๆ แล้ว เพราะเราได้สัมผัสกับไอติมที่อร่อยกว่า Häagen-Dazs (ฮาเก้น-ดาส)หรืออะไรพวกนี้
หนังที่เราเคยดูตอนเด็ก ๆ เราประทับใจ ไม่ว่าหนังการ์ตูนหรือว่าหนังสัตว์ประหลาดสู้กัน ตื่นเต้นมาก พอเรามาดูใหม่ กลับดูไม่ค่อยได้ เดินเรื่องก็ช้า แล้วก็เวิ่นเว้อมาก ฉาบฉวย แต่ตอนเด็กเราหลงใหลมาก
เมื่อสัก 50 กว่าปีก่อน มีหนังเรื่องหนึ่งเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ สมัยที่ยังเป็นโทรทัศน์ขาวดำ ชื่อเรื่องหุ่นอภินิหาร เป็นเรื่องของหุ่นพ่อแม่ลูกที่มี 2 ร่าง ร่างจรวดกับร่างที่เป็นหุ่น ตัวพ่อชื่อว่าโกลด้า ตัวแม่ชื่อซิลเวอร์ ตัวลูกชื่อคัม อาตมาชอบดูมาก ขาดไม่ได้เพราะว่าเป็นหนังที่ตื่นเต้นแม้จะยาวแค่ครึ่งชั่วโมง แต่ก็อดใจอดรอไม่ไหว
หุ่น 3 ตัวมีหน้าที่กอบกู้โลกให้พ้นจากอันตรายของอสูรร้ายชื่อโรดั๊ก หน้าตาโรดั๊กน่ากลัว แล้วโรดั๊กก็สรรหาสัตว์ประหลาดแปลก ๆ มาทำลายโลก โกลด้ากับซิลเวอร์เป็นหลักในการสู้กับสัตว์ร้ายเหล่านั้นจนไม่สามารถทำอันตรายกับโลกได้
เด็ก ๆ ในสมัยนั้นติดกันงอมแงม หมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ตอนเด็ก ๆ ก็ติดใจหนังชุดนี้ แกเล่าว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้กลับมาดูหนังเรื่องนี้ใหม่ เดี๋ยวนี้มีสีด้วย พอมาดูแล้ว จากที่เคยเห็นร่างของสัตว์ร้ายสัตว์ยักษ์มีความเป็นจริงเป็นจัง มาคราวนี้มันสวมชุดยางยับ มีรอยปริ ดูไม่ได้เลย
ส่วนหุ่นอภินิหารโดยเฉพาะตัวพ่อ โกลด้า ก็เหมือนกัน ร่างที่เห็นเป็นชุดยางที่ยับ ตามข้อที่เหมือนกับเป็นรอยต่อข้อที่ประกอบเป็นแขนเป็นลำตัวที่ตอนเด็กเห็นเป็นโลหะแวววาว แต่ตอนนี้เป็นชุดยางเหมือนยางยืด ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะไรเลย
หมอประเสริฐบอกไม่รู้ว่าตอนนั้นเห็นเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร มาดูตอนนี้มันดูไม่เข้าท่าเลย แต่แล้วแกก็บอกว่าเป็นเพราะว่าตอนเด็กกับตอนเป็นผู้ใหญ่ มันคนละคนกัน
มันเหมือนกับว่า ตอนเป็นเด็กกับตอนเป็นผู้ใหญ่มีสมองคนละอัน มีรูปมีกายคนละร่าง มีจิตคนละดวง เหมือนกับหนอนกับผีเสื้อ เพราะฉะนั้นการรับรู้แม้จะรับรู้สิ่งเดียวกัน แต่ว่ามันก็เห็นต่างกัน โดยเฉพาะความชอบ ความไม่ชอบ มันก็จะแตกต่างกันไปด้วย
ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ ตอนเป็นเด็กเราเป็นคนหนึ่ง พอเราโตขึ้นเราก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่จริงหน้าตามันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ในทางสรีระก็เรียกว่าอวัยวะแทบทุกส่วนเลยเป็นอันใหม่ ไม่ใช่อันเดิม เพราะว่าเซลล์มีการสร้างใหม่ตลอดเวลา ยกเว้นอวัยวะบางส่วน เช่น สมอง
จิตใจก็เหมือนกัน มันก็จะเรียกว่าเป็นคนละดวงก็ได้ ตรงกับทางพุทธศาสนาว่าหมายถึง จิตมันก็เกิดดับ เกิดดับ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นค่านิยม ทัศนคติ แม้กระทั่งสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นความสุข มันก็ไม่เหมือนกัน เราตอนนี้กับเราตอนเด็กมันคนละคนกัน
เช่นเดียวกัน เราตอนนี้กับตอนที่เราแก่ก็คนละคน ตอนนี้อาจจะรู้สึกว่าชีวิตลั้ลลา สดชื่นเบิกบาน เพราะว่าร่างกายแข็งแรง กำลังมีความฝัน มีความทะเยอทะยาน มีอนาคตที่ยาวไกล
พอเรากลายเป็นคนแก่เราก็กลายเป็นอีกคนไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าร่างกายไม่เหมือนเดิม ฟันฟาง หู ตา กล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด มันไม่เหมือนเดิม โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหามากขึ้น จากเดิมที่เคยเป็นคนหนุ่มคนสาว ที่เคยร่าเริง พอแก่เข้าก็อาจจะค่อย ๆ ห่อเหี่ยว ไม่กระชุ่มกระชวย ที่เคยมีความหวัง อยากทำฝันให้เป็นจริง พอแก่ตัวก็มันไม่มีความฝันหลงเหลือแล้ว เพราะว่าอนาคตมันไม่ยืดยาวเท่าไหร่
หลายคนไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจว่า พอเราแก่เราจะไม่ใช่คนเดิมเหมือนกับตอนนี้ อย่าว่าแต่แก่เลยเอาแค่ป่วยก็แล้วกัน พอเรากลายเป็นคนป่วยเราก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว อาจจะไม่สดใส อาจจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิด หรือว่าหดหู่ห่อเหี่ยว หรือว่าบางทีก็ซึมเศร้าไปเลย ต่างจากตอนนี้
หลายคนก็บอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ตอนที่ฉันแก่ฉันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ฉันก็รู้แล้วชีวิตมันไม่เที่ยง ฉันก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ฉันก็เรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับปัจจุบัน ถึงแม้ฉันจะแก่ฉันก็ยังสามารถจะมีความสุข เพราะความสุขของฉันมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้ร่างกายในการเสพหาความสุข
ตอนที่เราเป็นหนุ่มเป็นสาว เราก็คิดได้ ยิ่งมาสนใจธรรมะก็คิดว่า ธรรมะที่ได้ฝึกได้เรียนรู้มา เอาอยู่ ถึงเวลาเจ็บป่วยแล้วมันมีเวทนาอย่างไร ก็รู้ ก็แค่ดูมัน แค่เห็นมัน ไม่เข้าไปเป็น หรือว่าก็รู้ว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ที่เจ็บที่ป่วยมันก็เป็นกายที่ป่วยไม่ใช่เราป่วย
ในตอนที่ยังสุขภาพดีมันก็พูดได้ แต่ว่าพอป่วยเข้าจริง ๆ หลายคนเอาไม่อยู่ เพราะว่าสิ่งที่คิดว่ามี จริง ๆ มันยังไม่พอ ไม่ต้องรอให้แก่ ไม่ต้องรอให้ใกล้ความตาย แค่ป่วย บางทีไม่ต้องป่วยด้วยโรคร้ายก็ได้ อาจจะแค่เป็นหวัดหนัก ๆ จนกระทั่งล้มหมอนนอนเสื่อ ใจก็ห่อเหี่ยวอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล
ที่คิดว่าธรรมะ ไม่ว่าจะสติ หรือสมาธิ หรือปัญญา จะเอามาใช้กับตัวเองเวลาป่วยได้ ปรากฏว่ามันใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าธรรมะมันใช้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าธรรมะที่ตัวเองมีมันยังไม่พอ มันยังไม่ใช่ของจริง หรือว่ามันยังไม่มีกำลังมากพอ อาจจะเป็นเพราะว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะประมาทด้วยก็ได้
เพราะคิดว่า ธรรมะที่ฉันมี มันพอตัวแล้ว คนที่คิดแบบนี้มีเยอะ ยิ่งใกล้ชิดวัดหรือเคยบวชเป็นพระ หรือว่าได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง หรือว่าได้ฟังธรรมะบ่อย ๆ ฟังธรรมะทุกวัน คิดว่าถ้าฉันป่วยหรือว่าเกิดเหตุร้าย เช่น มีคนรักล้มหายตายจาก ฉันก็จะรักษาใจเอาไว้ได้
แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ หลายคนนั้นธรรมะที่มีก็เอาไม่อยู่เลย ส่วนหนึ่งเพราะว่าได้แต่ฟัง ได้แต่คิด แต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ฝึก อาจจะฝึกแต่ไม่ได้ฝึกให้มันลึกไปถึงขั้นรื้อถอนความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยังหลงยึดว่ามีตัวมีตน หรือว่ายังหลงติดความสงบ
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ที่รู้แน่ ๆ คือ ความเจ็บ ความป่วย และความแก่ หรือความพลัดพรากสูญเสียก็อาจจะเกิดขึ้นไม่รูปใดก็รูปหนึ่ง อาจจะไม่ใช่สูญเสียทรัพย์เพราะว่าภัยพิบัติอย่างที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดตอนนี้ อาจจะสูญเสียคนรัก อกหัก พอสูญเสียก็กลายเป็นเสียศูนย์ไปเลย เพราะว่าธรรมะที่มีมันไม่พอ
ก็ต้องฝึกเอาไว้ คนเราจะเป็นคนละคนกันโดยเฉพาะตอนเด็กกับตอนหนุ่มตอนสาว หรือว่าตอนหนุ่มสาวกับตอนแก่ อย่างตอนที่ยังสุขสบายดีกับตอนที่เจ็บป่วยมันก็คนละคนกัน ตอนที่ไม่มีเหตุร้ายกับพอเจอเหตุร้าย เช่น สูญเสียทรัพย์ บ้านถูกยึด หรือว่าตกงาน หรือว่าสูญเสียคนรัก อกหัก กลายเป็นคนละคนไปเลย
ถ้าหากว่าไม่ได้ฝึกจิตฝึกใจเอาไว้ ต้นทุนที่มีอยู่มันไม่พอ เพราะฉะนั้นก็ต้องหมั่นฝึก โดยเฉพาะเรื่องการลดละความยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าความเชื่อมั่นถือมั่นในทรัพย์ ในรูป ในร่างกาย ในคนรอบข้าง พวกนี้ล้วนแต่เป็นที่มาแห่งความทุกข์ทั้งนั้น
บางคนก็บอกว่า ฉันก็ไม่ค่อยได้ยึดมั่นอะไรแล้ว เวลามีใครมาว่าวันนี้ว่าแต่งตัวเชย แต่งตัวปอน ฉันก็เฉย เวลามีใครมาว่าอ้วนฉันก็เฉย เวลามีใครมาว่าฉันโง่รู้น้อยฉันก็เฉย แต่เวลามีบางคนบอกว่าไม่มีสติเลย โกรธมาก
นักปฏิบัติธรรมหลายคน ตำหนิเรื่องอื่นนี่เฉยมากเลย ตำหนิว่าอ้วน ตำหนิว่าลงพุง ตำหนิว่าจน เชย ไม่สะดุ้งสะเทือน แต่พอบอกว่า เธอไม่มีสติเลย หรือว่าเธอไม่มีศีลเลยนะ โมโหมากเลย แสดงว่าอะไร แสดงว่ายังมีความยึดมั่นถือมั่นในภาพลักษณ์ตัวตน หรือในความถูกต้อง
คนบางคนอย่างเช่น ผู้หญิงบางคน พอบอกว่าเขาอ้วน เขาโกรธ ผู้ชายบางคนไปบอกเขาว่าแต่งตัวเชย ๆ เขาเฉย แต่พอเรียกว่าลุง โกรธเลย
มีคนหนึ่งอายุ 60 ได้ ไปโรงพยาบาล โรงพยาบาลก็ฉีดยา ฉีดยาเสร็จพยาบาลก็ถามว่า เจ็บไหมลุง ลุงบอกว่า เจ็บตรงที่เรียกว่าลุงนี่แหละ ไม่ได้เจ็บตรงฉีดยา เจ็บตรงที่เรียกว่าลุง ทั้งที่อายุก็ 60 แล้ว แต่บางคนพอบอกว่าจนหรือว่าแต่งตัวปอน ๆ ก็โกรธเพราะว่าเขาเป็นนักธุรกิจ เขาหวังร่ำหวังรวย มาบอกว่าเขาแต่งตัวปอน ๆ หรือว่าจน เขาโกรธมาก
คนบางคนยึดติดในร่างกาย เพราะฉะนั้นมาหาว่าอ้วน ไม่ได้ คนบางคนก็ยึดติดในความหนุ่มความสาว เรียกว่าลุง เรียกป้า ก็โกรธ ไม่พอใจ แต่ถ้าไปบอกว่า ลุงไม่มีสติ เขาเฉย เพราะว่าการมีสติเขาไม่ได้ถือว่าเป็นคุณค่า ไปบอกว่าเธอไม่มีสติเลยเขายิ้มเลย แต่พอบอกว่าเธออ้วน เธอลงพุง เขาโกรธ
ตรงข้ามนักปฏิบัติธรรมนี่ใครมาบอกว่า เธออ้วน เธอเชย เรียกลุง เรียกป้านี่เฉย แต่พอทักว่า ไม่มีสติเลย โกรธเลย คนเรามันก็เหมือนว่ามันมีความยึดติดกันคนละแบบ มีทั้งหยาบแล้วก็ละเอียด
นักปฏิบัติธรรมหรือผู้ใฝ่ธรรม แม้ว่าจะไม่ได้สนใจเรื่องร่างกายว่าหล่อ ว่าสวย ว่าอ้วน ไม่สนใจเรื่องทรัพย์สินเงินทองว่ารวยหรือจน ไม่สนใจความเท่ แต่ก็ยังยึดว่า ฉันมีธรรมะ ฉันมีสติ ใครมาว่าว่าฉันไม่มีสติ ฉันโกรธ นี่ก็แสดงว่ามีความยึด ที่จริงถ้ามีธรรมะจริง ๆ พูดแค่นี้ไม่สะดุ้งสะเทือน
มีครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์พุทธทาสมีชายหนุ่มมาหา ร้องไห้มา จะมาลาท่าน บอกว่าไม่อยู่แล้ว เพราะว่าถูกนายช่างในวัดด่าว่า ไอ้ห่า เขาร้องไห้เลยเพราะไม่เคยมีใครพูดอย่างนี้กับตัว อาจารย์พุทธทาสพอได้ยินก็บอกว่า โอ๊ย จะเจ็บอะไร ไอ้ห่า กับฉันมันยังด่าแม่เลย
คือท่านไม่ถือ พอไม่ถือ ไม่ถือทั้งตัวผู้ด่าและไม่ยึดถือในถ้อยคำ รวมทั้งไม่ยึดถือในตัวตนด้วยจึงไม่ทุกข์ ด่าก็ด่าไป คนด่านั่นแหละที่จะต้องรับกรรม แต่ท่านไม่ทุกข์เพราะท่านไม่ถือ
แต่ว่าผู้ใฝ่ธรรมหรือผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมากยังถือ ถือในความเป็นคนดี ฉันต้องคาดหวังให้คนยอมรับในความดีของฉัน ยึดติดถือมั่นในภาพลักษณ์ ยึดติดถือมั่นในตัวตน ยึดติดถือมั่นในความเป็นผู้มีสติ เพียงแค่เขาทักเขาท้วงว่า เธอไม่มีสติเลย ก็โกรธ หรือบางทีเขาทักว่า เธอโกรธแล้วนะ พอทักแบบนี้ มันสะเทือนมากเลย
อันนี้เพราะอะไร เพราะยังยึด ยึดทั้งถ้อยคำที่ได้ยิน ยึดทั้งความความสมบูรณ์แบบของภาพลักษณ์ หรือว่าความเป็นคนดี ความเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่จริงมันต้องต้องฝึกไปถึงขั้นว่า เออ ใครเขาว่าเราว่าไม่มีสติ ใครเขาว่าไม่มีธรรมะก็เฉยเพราะมันเป็นแค่โลกธรรม
ถ้าเราฝึกมาถึงขั้นนี้ ย่อมเรียกได้ว่ามีต้นทุนที่จะไปรับมือกับความเจ็บความป่วยในอนาคต รับมือกับความสูญเสีย ความพลัดพราก หรือรับมือกับโลกธรรมฝ่ายลบต่าง ๆ ซึ่งมีมากมาย
ถ้าแค่นี้ยังหวั่นไหวใจกระเพื่อม เพียงแค่ถูกทักว่า เธอโกรธแล้ว เธอไม่มีสติแล้ว หรือว่าพอไม่มีคนเขาให้การยอมรับนับถือก็โกรธแล้ว แบบนี้ก็แน่ใจได้เลยว่า พออนาคตหรือวันข้างหน้าเจอความเจ็บความป่วย เจอความสูญเสียทรัพย์ สูญเสียคนรัก อกหัก ก็เสียศูนย์แน่นอน
แต่ก็ไม่สายก็เอาสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแหละมาเป็นเครื่องฝึกใจว่า ที่ทุกข์เพราะว่าเป็นเพราะยึดมั่นถือมั่น อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ เหตุการณ์เหล่านี้มันล้วนแต่ส่งสัญญาณบอกว่า เป็นเพราะเธอยึดมั่นถือมั่น จึงเศร้าโศกเสียใจ จึงเสียศูนย์ เมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นหรือละวางตัวตนได้ เกิดเหตุพวกนี้ก็ไม่ทำให้เป็นทุกข์ได้ อันนี้เขาเรียกว่าธรรมะที่ได้ปฏิบัติ ช่วยเรารับมือกับเหตุร้ายหรืออนิฏฐารมณ์เหล่านี้ได้ในที่สุด.