แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 25 กันยายน 2567
ผู้หญิงคนนึงเป็นโรคหัวใจ หลังจากผ่าตัดเสร็จ สุขภาพเธอก็ดีขึ้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่มันจะมีอาการเจ็บแป็ป ๆ อยู่เป็นครั้งคราว ทีแรกเธอก็นึกว่าคงเป็นเพราะแผลผ่าตัด จะไปลองสังเกตว่า อาการเจ็บ มันจะเกิดขึ้นทุกครั้งหลังจากที่ ทําอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้อง ไม่ถึงขั้นผิดศีลหรือไปเบียดเบียนใคร เพียงแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของเธอ อย่างเช่นมีบางเรื่องที่เกรงว่าถ้าบอกสามีแล้วจะไม่สบายใจ เธอก็เลยไม่บอก ที่จริงมันก็ไม่ใชเรื่องใหญ่ แต่ว่าพอทำอย่างงั้นเข้าก็จะรู้สึกปวดแป๊บ ๆ ที่หน้าอก หรือว่าเวลาสนทนากับเพื่อน บางอย่างที่เพื่อนพูดนี่เธอไม่เห็นด้วยแต่เธอก็เงียบ แถมทำท่าเออออไปด้วย อันนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเห็นว่าถูกต้อง แล้วทุกครั้งที่ทำสิ่งเหล่านี้ก็จะรู้สึกปวดที่หน้าอก จะเรียกว่าทุกครั้งเลยก็ว่าได้
ก็มีหลายครั้งนะที่จู่ ๆ เธอก็รู้สึกปวดขึ้นมา แล้วพอเธอย้อนใคร่ครวญทบทวนสิ่งที่เธอได้ทำก่อนหน้านั้นไม่นาน เธอก็จะพบว่าเธอได้ทำอะไรบางอย่างที่มันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ก็เป็นอย่างนี้หลายครั้ง พอปวดแป๊บ ๆ ขึ้นมาก็หันไปทบทวนแล้วก็เจอเป็นเพราะฉันทำอย่างนี้ หรือไม่ทำอย่างนี้ มันก็เลยมีอาการปวดขึ้นมาเหมือนว่ามันเป็นสัญญาณเตือน สัญญาณเตือนของร่างกายที่บอกให้เธอรู้ว่า เธอทำสิ่งที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ บางอย่างก็รู้ล่วงหน้าหมายความว่ารู้แล้วนะ แล้วก็เห็นหรือรู้สึกปวดตามมา แต่บางอย่างก็ไม่รู้ ทำไปโดยไม่รู้แต่เหมือนกว่าร่างกายมันรู้นะพอมันปวดแป๊บ ๆ เธอก็เอ๊ะขึ้นมาแล้วแล้วก็มาดูว่าเมื่อกี้ได้ทำอะไรหรือเปล่า ก็เจอนะเจอว่าได้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเท่าไหร่
ตอนหลังพอมีอาการพวกนี้ขึ้นมาเธอก็รู้เลยนะว่า เผลอทำอะไรบางอย่างเข้าไปแล้ว ก็ทำให้เธอคมีสติมากขึ้นก็ได้ แล้วเธอก็เรียกสัญญาณหรืออาการที่ว่ามันเหมือนกับเป็นที่ปรึกษาภายใน ที่คอยส่งสัญญาณเตือนเธอว่า เธอทำอีกแล้วนะ แล้วมันก็ช่วยเธอมากที่ทำให้ทำในสิ่งที่สมควร ทำตรงตามความเชื่อของตัวร่างกายของเรา มันส่งสัญญาณให้กับเราอยู่เสมอนะ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจรับสัญญาณนั้นหรือว่าจับสัญญาณได้หรือเปล่า จับได้แล้วก็สามารถจะถอดรหัสว่าเขากำลังบอกอะไรเรา อย่างเช่นความเจ็บปวดจริง ๆ มันก็เป็นสัญญาณเตือนแล้วก็บอกนะ จากร่างกายของเราว่ามันว่าจะเจออะไรที่ไม่ถูกต้องเข้าไปแล้ว หรือเจอสิ่งที่เป็นอันตราย มันทำให้เราถอยห่างจากสิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นหนามแหลมเร็วไฟ หรือว่าสัตว์มีพิษ มันเป็นสัญญาณพื้นฐานเลยนะที่ช่วยทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย
ใครที่ร่างกายไม่ส่งสัญญาณที่ว่านี้ชีวิตก็เสี่ยงนะ มันมีคนบางคนที่ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกปวดเลย ดูเหมือนโชคดีนะเพราะฟันหักก็ไม่เจ็บนะ เหยียบเศษแก้วก็ไม่ปวด หนามข่วนก็เฉย ๆ ถูกน้ำร้อนลวกก็ไม่มีอาการเจ็บแสบเจ็บร้อนเลยดูเหมือนดี แต่ไม่ดีนะเพราะว่าคนพวกนี้อายุสั้น เจอสิ่งที่เป็นอันตรายเป็นทั่วต่อร่างกายแล้วก็ไม่ถอยไม่หนี มีแผลแล้วก็ยังไม่ระมัดระวังร่างกาย ตรงที่มีแผลก็ทำให้แผลนั้นมันเหวอะหวะ มันเรื้อรัง พวกนี้แทบทุกคนน่ะลิ้นกุด อย่างน้อย 1 ใน 3 เพราะว่าคนเรามักจะเผลอกัดลิ้น แต่พอเรากัดลิ้นแล้ว ลิ้นส่งสัญญาณไปที่สมองของเราเลยนะบอกว่าเจ็บ ทำให้เราชะงักกัดไม่ลึก แต่ถ้าไม่มีสัญญานี้แล้วก็จะกัดลึกกัดแล้วมีแผลก็ยังกัดอีกจนมันเน่า หรือว่าจนมันเป็นแผลใหญ่ลุกลามไปแล้วก็ลิ้นกุดในที่สุด
มีประโยชน์นะ สัญญาณที่มาจากร่างกายเวลามันเจ็บปวด ความเจ็บป่วยก็เหมือนกันนะเจ็บป่วย มันทุกครั้งที่เจ็บป่วย ถ้าเราไม่เอาแต่เสียใจเอาแต่หงุดหงิด หรือว่าเอาแต่โวยวาย เราลองพิจารณาดู เราจะพบว่าร่างกายมันส่งสัญญาณมาบอกเราว่า เราพักผ่อนน้อยไป เรากินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือว่าเราใช้ชีวิตที่มันไม่สมดุล เราอยู่ในที่ที่มันเต็มไปด้วยเชื้อโรค หรือว่าเราทำงานหนักเกินไป ความเจ็บป่วยนี่เขาก็เป็นเหมือนสัญญาณจากร่างกายที่มาบอกเรา อยู่ที่ว่าเราจะจับสัญญานี้ได้หรือเปล่า บางคนก็จับไม่ได้นะก็เอาแต่ทุกข์เอาแต่หงุดหงิดเอาแต่กังวล แต่ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ความไม่ถูกต้องบางอย่างที่เราทำ อาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องของร่างกาย เรื่องการนอนการพักผ่อน แต่จะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตเลยทีเดียว
อย่างมีผู้ชายคนนึง เกษียณแล้วก็ไม่ค่อยคบค้ากับใคร ที่บ้านก็อยู่คนเดียวเพราะว่าหย่ากับภรรยาไปได้หลายปีแล้ว ต่อมาก็เป็นโรคหัวใจจคิดว่า เป็นเพราะว่ากินอาหารไม่ถูกต้อง กินเนื้อ กินไขมันเยอะ กินโปรตีนมากแล้วก็ไม่ค่อยออกกำลังกาย ก็พยายามควบคุมอาหารแล้วก็กินยาด้วย แต่ปรากฏว่าอาการก็ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ แกก็แปลกใจนะพอไปค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมันก็พบว่ามันมีผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนนึง ที่ป่วยแล้วรักษาได้ยากเพราะว่าใช้ชีวิตอย่างแปลกแยกกับคนอื่น โดดเดี่ยวอ้างว้าง แล้วมันตรงกับเขาเลยนะ ก็เลยพยายามที่ใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับผู้คนมากขึ้น แม้ว่าจะเกษียณแล้วแต่ว่าก็ยังมีกิจกรรมกับผู้คนเป็นจิตอาสาบ้าง ไปประชุม ก็มีการตั้งกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานอดิเรก กลุ่มอ่านหนังสือ หรือว่ากลุ่มออกกำลังกายก็ไปร่วมกลุ่มกับคนเหล่านั้น ใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับผู้คนมากขึ้น ปรากฎว่าสุขภาพดีขึ้น โรคหัวใจก็ทุเลาลง เป็นเพราะว่าเขาไม่แยกตัวตัดขาดจากคนอื่น ไม่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ในแง่นี้มันก็ชี้เห็นได้ว่าใจกับกายโดยเฉพาะอารมณ์กับหัวใจ มันสัมพันธ์กันมากนะ คนที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างแยกขาดจากคนอื่น มันก็ทำให้หัวใจแย่ลง แต่ในแง่หนึ่งถ้ามองให้ดีมันก็เชื่อเลยนะว่าโรคหัวใจนี่ก็เป็นสัญญาณเตือนนะ จากร่างกายที่มาบอกให้เจ้าตัวรู้ว่า เขาใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องนะ จะเรียกว่าไม่สมดุลก็ได้เพราะธรรมชาติคนเรามันก็ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนไม่ใช่ว่าทำแต่งงาน หรือไม่ใช่ว่าเอาแต่เก็บตัว ที่ ๆ ไม่ใช่เฉพาะอาการทางกาย ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความเจ็บป่วย หรือโรคต่าง ๆ เท่านั้นนะ อาการที่เกิดกับใจ มองให้ดีก็เป็นสัญญาณ คนที่รู้สึกซึมเศร้า รู้สึกซังกระตายเหมือนกับว่ามันไม่มีสาเหตุเพราะมองหาสาเหตุยังไงก็ไม่เจอ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นสัญญาณนะ เป็นสัญญาณเตือนว่าอาจจะหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากไป จนรู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า หลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างนึกถึงแต่ตัวเองแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีคุณค่า หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ลึก ๆ ก็จะรู้สึกว่าชีวิตตัวไม่มีคุณค่า แล้วก็เกิดความรู้สึกซังกระตายขึ้นมา เบื่อ อ้างว้าง
คนบางคนก็จับสัญญาณไม่ได้เพราะว่าเอาแต่ทุกข์ เอาแต่สงสัย หรือว่ากังวลว่าเกิดอะไรกับฉัน ฉันก็มีทุกอย่างแล้วนี่แต่ทำไมฉันยังซังกระตาย ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ไป กินดื่ม เที่ยว ช้อปก็แล้วแต่ทำไมยังเบื่อ อันนั้นเพราะว่าชีวิตไม่ได้ใช้อย่างมีคุณค่าเท่าไหร่ แต่บางคนเก็จับสัญญาณได้ ก็เปลี่ยนมาใช้ชีวิตให้มีคุณค่ามากขึ้น เช่น ไปเป็นจิตอาสา ไปช่วยเหลือผู้คน ปรากฏว่าความรู้สึกซังกระตายหรือความรู้สึกเฉาก็หายไป อันนี้เพราะว่าจับสัญญาณ จับสัญญาณเป็น จริง ๆ ความทุกข์ เช่น เวลาสูญเงินเสียทรัพย์แล้วก็เสียใจเศร้า มันก็เป็นสัญญาณที่บอกให้เรารู้ว่า เป็นเพราะเรายึดติดถือมั่นกับอะไรบางอย่างอยู่ เช่น ยึดติดถือมั่นในทรัพย์ว่าทรัพย์ของกู ๆ พอทรัพย์สูญไปก็เหมือนกับว่าบางสิ่งบางอย่างในตัวกูมันสูญหายไปด้วย บางคนเวลาทรัพย์ถูกน้ำพัดพาไปก็อยากจะไปพร้อมกับน้ำด้วยเหมือนกัน เพราะไปยึดว่าทรัพย์ของกูทรัพย์ ของกูมันไปกูก็ไปด้วย อันนี้มันสะท้อนถึงความยึดติดถือมั่นในทรัพย์นะ ถ้าเราดูให้ดี แต่บางคนหรือส่วนใหญ่ ก็จะมองไม่เห็นตรงนี้
จับสัญญาณไม่ถูกถอดรหัสไม่ได้ ก็ไปโทษชะตากรรม หรือเอาแต่บนโวยวายตีโพยตีพายว่าเคาะห์ร้ายโชคไม่ดี
เวลาโกรธที่มีคนนินทาถึงหูเรา หรือมีคนต่อว่าเราต่อหน้า ความโกรธมันก็เป็นสัญญาณบอกว่าเรายึดติดกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น หน้าตาของตัว หรือว่ายึดติดกับความคาดหวังว่าเขาต้องทำดีกับเรา เราเป็นเจ้านายเราเป็นพ่อ เราเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ มาทำอย่างนี้กับกูได้ยังไง แต่ส่วนใหญ่ก็จะจับสัญญานี้ไม่ได้ เพราะว่ามันถูกความทุกข์เล่นงานจนกระทั่งไม่สามารถจะเปิดใจเรียนรู้ หรือรับสัญญาณที่ว่านี้ได้ คือมันเวลามันมีเหตุทำนองนี้เกิดขึ้นกับเรา มันจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดึงความสนใจของเราไป เช่น ความปวด ความทุกข์ ความรุ่มร้อน ทำให้เราอยากตอบโต้ ทำให้เราพุ่งจิตออกไปข้างนอกลืมเปิดใจใคร่ครวญเสียง หรือสัญญาณที่ความทุกข์เหล่านี้มันบอกเรา คนเราถ้ามองว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เคราะห์ แต่มันมันคือสัญญาณที่เตือนเราว่าเราทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องขั้นพื้นฐานก็คือไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือไปยึดว่าเที่ยง อย่างหลวงพ่อชาบอกว่า เวลามีความทุกข์นะ คนมักจะโทษว่าเป็นเพราะมันไม่ถูกต้องอย่างงู้นอย่างนี้ ท่านบอก
"ที่จริงทุกอย่างมันถูกต้องแล้ว จิตที่ไม่ถูกต้องคือใจเรา"
ความไม่ถูกต้องนั้นพื้นฐานคือไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ซึ่งมันมันผิดเพราะว่ามันยึดไม่ได้ เพราะความจริงคือไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา จะไปคาดหวังให้คนอื่นเป็นดังใจเราก็ไม่ได้ อันนี้จะเปิดใจใคร่ครวญรับ หรือจับสัญญาณอันนี้ได้นี่มันก็ยากนะ เพราะว่ามันมีสิ่งรบกวนเยอะเหมือนกับเพื่อน เหมือนกับเราสนทนากับเพื่อนริมถนน ก็มีเสียงรบกวนเยอะเลย เสียงรถเป็นสิบ ๆ ร้อย ๆ คัน เสียงแตร เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนขายของ เพื่อนอยู่ใกล้เราพูดอะไรกับเรา เราไม่ค่อยได้ยินจนกว่าเราจะใส่ใจเพราะว่าเสียงแทรกมันเยอะ เช่นเดียวกันเวลาเกิดทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจความโกรธมันจะมีเหมือนกับสิ่งรบกวนที่ดึงดูดความที่รบกวนจิตใจของเรา หรือว่าดึงดูความสนใจของเราออกจากสัญญาณที่ควรจะจับให้ได้จับให้ถูก อันนี้มันต้องอาศัยการฝึก ถ้าเราฝึกได้ได้คล่องได้ไวเราก็จะจับสัญญาณได้
มันเหมือนกับค้างคาวยู่ด้วยกันเป็นเป็นหมื่น ๆ ตัว แล้วแต่ละตัวก็ส่งสัญญาณคล้าย ๆ เป็นเรดาร์ออกไปข้างนอก เพื่อให้มันกระทบแล้วสะท้อนกลับมาที่หัวของมัน แต่เวลามันรับสัญญา โอ้โหสัญญามันจะเยอะมากเลยนะ เพราะทุกตัวก็ส่งสัญญาณเหมือนกัน สัญญาณที่เข้าหูก็ตีกันไปตีกันมา แต่ค้างคาวมันจะรู้นะว่าสัญญาณไหนเป็นของมัน มันแยกออก หรือเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ที่รับสัญญาณจากนอกโลก สัญญาณคลื่นแม่เหลกไฟฟ้า มันมาสารพัดเลยมันมีเป็นเป็นล้าน ๆ สัญญาณนะ ที่เป็นขยะก็เยอะ แต่ว่าพวกนี้จะรู้ จะจับได้ว่าสัญญาณที่ต้องการคืออะไร สัญญาณจากนอกโลก สัญญาณจากสิ่งมีชีวิตที่คิดว่ามีอยู่ในจักรวาล
ใจเราก็เหมือนกันนะ เวลามันเจอเวลาจะรับสัญญามันมีสิ่งรบกวนเยอะ แต่ว่าถ้าเราจับสัญญาณได้ถูกมันก็จะช่วยทำให้เราปรับตัวได้ ที่จริงเวลาปฏิบัติ หลายคนก็จะพบนะมีความเครียด หลายคนบอกว่าทำแล้วมันแน่นหน้าอก ทำแล้วปวดหัว ถ้าไม่มัวแต่บ่นนะหรือท้อแท้ว่า ฉันทำไม่ได้ๆ ลองดูดี ๆ อันนี้คือสัญญาณจากใจของเราที่บอกว่าเราปฏิบัติผิดนะ จ้องมากไป เพ่งมากไป คนที่จับสัญญาณได้เป็นจะรู้เลยนะ ถ้าปฏิบัติแล้วเคลียดแสดงว่าตั้งใจมากไป เพ่งมากไป จ้องมากไป หรือว่าอยากจะเอาชนะกิเลสมากเกินไป ทำใจสบาย ทำใจเล่น ๆ แต่บางคนส่วนใหญ่จับสัญญาณไม่ได้ว่าร่างกายกำลังบอกเรา จิตใจกำลังเราบอกแล้วนะว่าเราทำผิดแล้วนะ ก็เลยเป็นทุกข์น แล้วบางคนก็เลยเลิกไป หรือบางคนก็ก็เครียดหนักขึ้นจวนปวดหัว หรือบางทีก็ตัวแข็งก็มี อันนี้เพราะว่าใจมันเตือนแล้ว มันส่งสัญญาแล้วแต่ว่าไม่สนใจฟัง
คนเรานี่ถ้าหากว่ามองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่ากายหรือใจ จริง ๆ มันมันเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกเรา อย่าไปมองว่ามันเป็นเคราะห์อย่าไปมองว่าเป็นทุกข์ เพราะถ้าเรามองเป็นเคราะห์เป็นทุกข์เราก็จะผลักใส เราก็จะปิดใจ เราก็จะโวยวาย แต่ถ้าเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจของเราก็ตาม นี่มันเป็นสัญญาณที่บอกเราว่ามันมีอะไรที่ไม่ถูกต้องบางอย่าง แล้วกลับมาดูกลับมาใคร่ครวญ เหมือนคำวิจารณ์เหมือนคำตอบว่าด่าทอ ถ้ามองให้ดี ๆ เขากำลังบอกนะว่าเราทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง หรืออะไรที่เราควรแก้ไข หรือบางทีก็กำลังบอกสัจจธรรมให้กับเรา คนที่คิดแบบนี้จะบอกว่าวันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นอัปมงคลนะ เพราะอะไร เพราะก็มองว่าการถูกตำหนิ มันเป็นของดีอย่างที่หลวงพ่ออคำเขียนบอกว่า แม้ถูกด่าก็เห็นสัจจธรรมได้ แต่หลายคนไม่เห็นสัจจธรรมน ะเพราะเอาแต่โกรธ เอาแต่โมโห เอาแต่โวยวายว่าทำไมมาว่าฉัน ทำไมมาด่าฉัน ก็เลยไม่เห็นสัจธรรม ที่จริงสัจจธรรมนั่นก็คือสิ่งที่ความโกรธ หรือการถูกต่อว่าด่าทอมันบอกเรา ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ใฝ่ธรรมต้องฉลาดในการจับสัญญาณจากสิ่งที่เรียกว่า อนิฏฐารมณ์ ให้ได้
อนิฏฐารมณ์ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ หรือเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา พวกนี้มันล้วนแต่เป็นของดีที่บอกสิ่งดี ๆ ให้กับเรา ถ้าเรารู้จักมอง