แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 24 กันยายน 2567
คนเราเมื่อเกิดมาล้วนอยากมีชีวิต แล้วก็ไม่ใช่แค่มีชีวิตเฉย ๆ อยากอยู่ไปนาน ๆ ด้วย อันนี้จะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณของคนเราก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่ของคนเราอย่างเดียว ของทุกชีวิตเลย แต่มันก็มีบางคนที่ไม่รู้ว่าอยากอยู่หรืออยากตายกันแน่ ก็มีบางคนรู้ชัดเลยว่าไม่อยากอยู่ แต่คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากอยู่หรืออยากตายนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลก แต่มันก็มี ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจอเหตุร้ายภัยพิบัติอะไร ไม่ได้อกหัก ไม่ได้สูญเสียคนรัก ไม่ได้เจอธุรกิจล้มละลาย แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากอยู่หรืออยากตายกันแน่
มีคนไข้คนนึงมาหาหมอเพราะว่าเป็นมะเร็ง มะเร็งปอดนี่ก็หนักนะหมอที่คุยด้วยนี่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของไข้โดยตรง แต่ว่าก็ได้รับการแนะนำให้มาช่วยดูคนไข้คนนี้หน่อย เราก็สังเกตนะว่าคนไข้คนนี้ซึ่งเป็นผู้ชายอายุประมาณ 60 แกมีประวัติความเป็นมาที่แปลก อยู่เจ้าตัวประสบอุบัติเหตุ หรือว่าเจออะไรต่ออะไรมามากมายหลายอย่าง ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตผาดโผน เสี่ยงตาย ขับรถเร็วบ้าง หรือว่าขี่ม้าควบม้าจนตกลงมาจากหลังม้ากระดูกหักบ้าง แขนหักบ้าง ขาหักบ้าง ปอดทะลุบ้าง ก็เป็นมาตลอดตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ จนอายุ 60 แล้ว หมอคนอื่นก็คงจะสนใจแต่เรื่องโรคมะเร็งของคนไข้คนนี้ แต่ว่าหมอคนนี้แกไม่ใช่หมอที่สนใจแต่เรื่องการรักษาโรค แกสนใจการรักษาหรือเยียวยาคนด้วย ก็เลยชชวนคุยชวนถามเกี่ยวกับเรื่องชีวิตความเป็นมาของคนไข้คนนี้ เดี๋ยวก็เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เล็กเลย ตั้งแต่เอาว่าตั้งแต่คลอดออกมาก็มีปัญหาแล้วเพราะว่าคลอดก่อนกำหนด พอคลอดก่อนกำหนดก็เจ็บป่วยออดแอด แม่ก็ต้องดูแลรักษาเอาใจใส่เป็นเวลาถึง 2-3 ปีเลยทีเดียวที่เด็กคนนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรง แม่ก็ต้องทุ่มเทในการดูแลลูก
จนกระทั่งผู้เป็นพ่อไม่พอใจที่ภรรยานี่ ไปเสียเวลากับลูกคนนี้มากเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะว่าภรรยาดูแลลูกจนกระทั่งไม่ได้ปรนนิบัติสามี งานบ้านหรืองานการก็ไม่ค่อยได้ช่วยมาก เพราะว่าต้องมาต้องมาดูแลใจใส่ลูกคนเล็กคนนี้ ก็เลยต่อว่าภรรยา แล้วมีปากเสียงเป็นประจำ จนกระทั่งตัวสามีหรือผู้เป็นพ่อก็ไม่ค่อยชอบลูกคนนี้ เคยลั่นวาจากับภรรยาว่า ถ้ามันเป็นสัตว์ฉันก็ปล่อยมันอดตายไปแล้วล่ะ แต่ภรรยารักลูกมากก็ประคบประหงมลูกจนกระทั่งแข็งแรง แต่ลูกก็รู้นะว่าพ่อไม่ค่อยชอบขี้หน้าตัวเองเท่าไหร่ แม้แต่ว่าตัวเองจะเรียนเก่งยังไงก็ไม่เคยได้รับคำชนจากพ่อ บางทีพ่อก็หาเรื่องดุด่า บางทีก็ไม่คุยกับลูกเลยนะเป็นเวลาหลาย อาทิตย์ ไม่ว่าแม้ลูกโตขึ้นทำงานประสบความสำเร็จในธุรกิจ พ่อก็ไม่เคยชมเลย รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยดีเลยในสายตาของพ่อ ลึก ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีคุณค่าเท่าไหร่ในสายตาของพ่อ แล้วพอเป็นวัยรุ่นก็เลยมีพฤติกรรมที่ชอบเสี่ยงอันตราย นอกจากอยากกินเหล้าสูบบุหรี่ ยังชอบทำอะไรที่มันผาดโผนเสี่ยงตายอยู่เป็นประจำ แล้วบ่อยครั้งก็เจออุบัติเหตุ แม่ก็ต้องมาดูแล พ่อก็ยิ่งไม่พอใจใหญ่ที่มาเสียเวลากับไอ้ลูกคนนี้ ลึก ๆ พ่อก็คงอยากจะให้คนนี้มันตายซะ จะได้ไม่ต้องเป็นภาระกับแม่หรือที่บ้าน
พอคุยเล่าเรื่องนี้ให้หมอฟัง หมอก็บอกว่าในใจคุณคงจะสงสัยนะ ว่าควรจะอยู่เพื่อแม่หรือควรจะตายเพื่อพ่อกันแน่ คน ๆ นี้อึ้งเลยนะ แล้วแกก็เล่าถึงเรื่องราวประสบการณ์เสี่ยงตายของแกให้หมอฟัง ที่จริงหมอต้องซักไปเรื่อย ๆ แกก็ค่อย ๆ เล่า พูดว่าตั้งแต่เด็กจนแก่ 60 แล้ว มีแต่เรื่องเสี่ยงตาย แล้วก็มันไม่ใช่เป็นความบังเอิญนะ มันไม่ใช่อุบัติเหตุนะ มันเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวที่จะทำอะไรที่ผาดโผนเสี่ยงตายอยู่เสมอ แม้จะมีครอบครัวแล้วก็ตาม หมอก็ทึ่งนะเพราะว่าคนที่ใช้ชีวิตแบบผาดผนเสีย่งตายแบบนี้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ มันไม่ใช่ง่ายนะ ก็เลยถามว่าคุณรู้ไหมว่าอะไรทำให้คุณรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ แกก็ตอบว่าโชคครับ ผมโชคดี หมอบอกมันไม่ใช่แค่นั้นนะ เพราะในใจในหมอเชื่อเลยว่า ในหัวของคนไข้นี้มันมีการต่อสู้กันระหว่างความคิด 2 อย่าง หรือความรู้สึก 2 อย่าง ความรู้สึกนึงก็อยากตายสมใจพ่อ แต่ความรู้สึกนึงก็อยากอยู่เพื่อแม่ เพราะพ่อแม่ พ่อแม่รักตัวเองมาก มันมีเสียงที่เถียงกันอยู่ในหัวว่าตกลงจะเอายังไงแน่ ในเมื่อแม่อยากให้อยู่ส่วนพ่ออยากให้ตาย หมอก็เลยถามตรงนี้แหละนะว่าอะไรทำให้คุณสามารถจะอยู่มาจนถึงวันนี้ได้ มันไม่ใช่แค่โชคดีอย่างเดียว
สุดท้ายคนไข้วันนี้ก็บอกว่าข้างในผมมันอยากจะมีชีวิตอยู่ หมอก็บอกว่านี่พูดยังเบาอยู่นะ พูดดัง ๆ กว่านี้ พูดให้มันชัดห้อยชัดคำหน่อย ก็อึกอักนะเสร็จแล้วก็พูดว่า ผมอยากจะมีชีวิตอยู่ หมอก็เลยบอกว่าหมอก็อยากให้คุณมีชีวิตอยู่เหมือนกัน ทำไมหมอถึงซักแล้วก็ตอบแบบนั้น เพราะหมอเชื่อว่าคนไข้เองจริง ๆ ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองอยากจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่ว่าในส่วนลึกมันอยากจะมีชีวิตต่อไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจอเหตุการณ์ อะไรที่เสียงอันตรายจึงรอดมาได้เสมอ บางทีเจ้าตัวคงอยากจะรู้นะว่า เออ...กูอยากอยู่หรืออยากตายกันแน่นะ ก็เลยหาเรื่องที่จะทดสอบว่าจริง ๆ อยากอยู่หรืออยากตายกันแน่ วิธีการทดสอบคือว่าไปทำอะไรที่มันเสี่ยงภัยเสี่ยงอันตราย การทำอะไรที่เสี่ยงภัยเสี่ยงอันตราย มันก็มีทางเลือกอยู่ 2 อย่าง หรือทางออกอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่อยู่ก็ตาย ก็ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ ฉันอยากตายหรืออยากอยู่ก็เลยลองทำอะไรที่มันเสี่ยงอันตราย เพราะว่ามันเป็นโอกาสที่ได้ตัดสินใจว่า อยากอยู่หรืออยากตายกันแน่ เพราะถ้าเสี่ยงอันตรายแล้วอยากตาย ก็คงปล่อยให้ตัวเองตายไปเลย แต่ทุกครั้งก็รอดกลับมาได้เพราะว่าลึก ๆ มันอยากอยู่ ตอนที่อยู่ในช่วงที่มันเสี่ยงอันตราย เป็นเพราะความอยากอยู่นะทำให้สามารถจะรอดมาได้ เป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองอยากอยู่ไม่ใช่อยากตาย
แต่มันก็ไม่แน่ใจเพราะรอดมาแล้ว รอดมาได้แล้วก็ยังมีความกังขาอีกนะว่าวตกลงอยากอยู่หรืออยากตาย เพราะว่าเห็นพ่อ เวลาเจอพ่อมันก็กระตุ้นให้ความรู้สึกอยากตายมันเกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้ไม่แน่ใจว่าความอยากตายหรืออยากอยู่อันไหนที่มันมีน้ำหนักมากกว่ากัน เพราะว่าอยากอยู่ก็อยากอยู่นะ เพราะว่าแม่นี่รักตัวเองมาก อยากให้ตัวเองนี่อยู่รอด แม่ลงคะแนนแล้วว่าควรอยู่ ส่วนพ่อลงคะแนนว่าควรตาย คำถามคือเจ้าตัวล่ะ แล้วตัวฉันน่ะอยากอยู่หรืออยากตาย ก็เลยพาตัวเองไปสู่ภาวะที่มันเสี่ยงตาย และสุดท้ายก็เพราะว่าตัวเองอยากอยู่จึงรอดมาได้ แต่ว่ามันก็ยังไม่ไม่มั่นอกมั่นใจเพราะว่าไม่ได้ใคร่ครวญจริง ๆ จนกระทั่งเจอหมอคนนี้ แล้วหมอแกซักไปเรื่อย ๆ สุดท้าย มันก็ทำให้คนไข้เขารู้ว่าจริง ๆ ลึกในส่วนลึกเขาอยากมีชีวิตอยู่ แล้วพอหมอย้ำว่าหมอก็อยากให้คุณมีชีวิตอยู่เหมือนกัน ปรากฏว่าโรคมะเร็งของเขาทั้งที่เป็นโรคที่มันลามไปเยอะแล้ว พอตั้งใจว่าอยากจะมีชีวิตอยู่นะ ก็สามารถจะอยู่ได้นาน 8-9 ปี ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะตายไปในเวลาไม่กี่ปี หรืออาจจะไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ แต่พอคนไข้คนนี้เขามีความมั่นใจ เขารู้ชัดว่า ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาก็ดูแลตัวเองอย่างดีเลยนับแต่นั้นมา ไม่เคยมีอุบัติเหตุ ไม่เคยมีเรื่องที่ต้องเจ็บปวด หรือต้องแขนหนักขาหัก หรือมีแผลอะไรเลย เพราะว่าเขารู้แล้วว่ายังอยากมีชีวิตอยู่ เขาก็เลยดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ไปหาเรื่องเสี่ยงอันตรายเสี่ยงภัย
มันก็มีนะคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากอยู่หรืออยากตาย แล้วก็อยากจะรู้ว่าจริง ๆ อยากอยู่หรืออยากตายกันนะ ก็เลยต้องไปหาเรื่องทดสอบพาตัวองไปอยู่ในสหการณ์ที่มันเสี่ยงตาย แล้วดูว่าอยากอยู่หรืออยากตายกันแน่ จริง ๆ ก็นับว่าเขาโชคดีนะที่เขามีแม่ที่รักเขา ถ้าไม่มีแม่ที่รักเขานี่คงตัดสินใจตายไปนานแล้ว ให้สมใจพ่อเพราะรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า แต่เขาคงก็สองจิตสองใจ มันสู้กันเองระหว่างความอยากตายความอยากอยู่ แล้วบางทีลึก ๆ ความอยากอยู่มันก็มีกำลัง แต่ว่าบางครั้งมันก็พ่ายแพ้ต่อความอยากตาย เพราะฉะนั้นก็เลยทำอะไรที่มันเสียงอันตราย แต่พอถึงช่วงที่หน้าสิ่วหน้าขวานหรือช่วงที่มันจวนตัว ความอยากอยู่มันก็มีกำลัง ก็เลยทำให้รอดตายทุกครั้ง แต่แม้กระนั้นก็ยังกังขาอยู่ว่าตกลงเอายังไงแน่ จนกระทั่งหมอนี่ได้มาซักถามพูดคุย จนกระทั่งเข้าใจชัดเลยว่า อ๋อ..จริง ๆ ข้างในของฉันมันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป พอชัดนะหลังจากการสนทนากับคุณ หมอครั้งนั้น นอกจากเขาจะไม่ทำตัวให้มันเสี่ยงอันตรายต่อไป ปรากฏว่าเขาสามารถที่จะให้อภัยพ่อได้ ไม่ว่าพ่อจะคิดยังไงกับเขาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เก็บเอามาเป็นเป็นเรื่องทิ่มแทงใจแล้วให้อภัยพ่อ แล้วก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าเขาอยากอยู่
อันนี้มันก็เป็นเรื่องที่แปลกนะ คนบางคนนี่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากอยู่หรืออยากตายกันแน่ ความรู้ตัวบางทีมันไม่ใช่แค่รู้ว่าอยู่เพื่ออะไรเท่านั้นนะ ลึก ๆ มันต้องมีความรู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่ด้วย ถ้าคนเรารู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร หรือมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มันก็มีความอยากอยู่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งที่มุ่งหมายให้บรรลุ แต่คนบางคนนี่อย่าถามเลยนะว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะว่าแม้กระทั่งว่าอยากอยู่หรืออยากตายยังไม่รู้เลย หรือว่าไม่รู้ชัดนะจนกว่าจะฟังเสียงภายใน บางทีเสียงภายในนี่มันชัดนะ แต่คนเราไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่ สิ่งที่หมอได้ช่วยคนไข้คนนี้ คือ ช่วยให้ได้ฟังเสียงภายในจนมั่นใจว่า ฉันอยากอยู่ แล้วยิ่งหมอบอกว่า หมอก็อยากให้คุณอยู่เหมือนกัน เขาก็มั่นใจ พออยากอยู่แล้วนะการใช้ชีวิตของเขามันก็ดีขึ้น แต่ก็แน่นอนนะ
คนเราแค่อยากอยู่ไม่พอนะ มันต้องรู้ว่าอยู่เพื่ออะไรด้วย
บางคนอยากอยู่นะแต่ไม่รู้ว่าอยู่เพื่ออะไร เพราะว่าอะไรที่อยากทำก็ทำสำเร็จแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป หรือว่าอาจจะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า เพราะว่าลูก ๆ ไม่สนใจใคร ๆ ก็ไม่สนใจ มันก็อยากอยู่นะแต่ว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม สุดท้ายก็เลยอยากตาย อย่างที่คนแก่หลายคนก็บอก บ่นกับลูกบ่นกับใคร ๆ ว่าอยากตาย ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอยากจะมีอายุยืนยาว เวลาไปทำบุญก็อยากจะให้พระให้พรว่าให้มีอายุยืน พอพระให้พรว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละ ก็ปราบปลื้ม แล้วคนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ อยากจะมีชีวิตอยากจะมีอายุยืนแต่พออยู่ไปกลับอยากตาย ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วย ไม่ใช่เพราะธุรกิจล้มละลาย ไม่ใช่เพราะว่ามีใครล้มหายตายจาก แต่เป็นเพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไม คราวนี้พอรู้ว่าจะอยู่ไปทำไมแล้วคงไม่พอนะ มันต้องมีความรู้เนื้อรู้ตัวด้วย รู้ว่าอยากอยู่อันนี้เป็นพื้นฐานแล้ว ก็รู้ต่อไปว่าอยู่ไปเพื่ออะไร แต่การอยู่ไปเพื่ออะไรนี่มันจะสัมฤทธิ์ผลได้ มันต้องมี ความรู้เนื้อรู้ตัว เพราะว่าการที่เราเรารู้เนื้อรู้ตัวมันก็ทำให้เราสามารถจะใช้ชีวิตเต็มร้อย หรืออยู่อย่างเต็มร้อยได้
เดี๋ยวนี้พูดกันเรื่องว่าใช้ชีวิตเต็มร้อย แต่ว่าไม่ค่อยได้อยู่เต็มร้อยกับปัจจุบันขณะเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นคนเราถ้ามีความรู้เนื้อรู้ตัวมันไม่เพียงแต่ช่วยทำให้สิ่งที่ตั้งใจ สิ่งที่ถือเป็นจุดหมายของชีวิตสัมฤทธิ์ผลได้แล้ว ยังทำให้มีความสุขด้วยนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บรรลุผลอย่างที่ต้องการก็ตาม เพราะถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวมันก็ง่ายมากที่จะปล่อยให้ความโศก ความเศร้า ความเครียด ความเหงาครอบงำได้ แล้วมันยังปล่อยให้ความลังเลสงสัยนานาชนิดรุมเร้าจิตใจ
คนเราพอรู้เนื้อรู้ตัว ใจมันจะโปร่งโล่ง มันจะเป็นพื้นฐานของการเกิดปัญญาต่าง ๆ หรือเป็นพื้นฐานในการช่วยทำให้ชีวิตมันมีคุณค่ามีความหมาย
พวกที่บ่นว่าอยากตาย ๆ ทั้ง ๆ ที่มีเงินมีมีทองมากมาย ทั้งที่ประสบความสำเร็จในการงานมาแล้ว อันนี้เพราะเขานอกจากไม่รู้ว่าอยู่ไปเพื่ออะไรแล้วยังไม่มีความรู้เนื้อรู้ตัวด้วย จึงปล่อยให้ความความท้อแท้ ความผิดหวัง ความเศร้า หรือว่าความวิตกกังวลต่าง ๆ ครอบงำ รวมทั้งปล่อยให้ความกังขาสงสัยว่าชีวิตไม่มีคุณค่าหรือเปล่า จริง ๆ ถ้ามีความรู้นตัวมันมีความสงสัยเลยนะเรื่องคุณค่าของชีวิต ลูกหลานไม่สนใจก็ไม่เป็นไรเพราะว่าอยังสามารถจะอยู่ได้อย่างมีความสุข คนถ้ารู้เนื้อรู้ตัวจริง ๆ นี่มันไม่รอคำชื่นชมสรรเสริญ หรือหิวโหย หรือโหยหาการยอมรับจากใครเลยก็ได้ เพราะว่าถึงแม้จะไม่มีคนมาสนใจ ให้มาปรนเปรอ มาเคารพนอบน้อม แต่ก็มีความสุขอยู่แล้วภายใน ไม่ปล่อยให้นิวรณ์โดยเฉพาะความลังเลสงสัยในการมีชีวิต หรือในคุณค่าของชีวิตมารบกวน แล้วขณะเดียวกันถ้าหากว่ามีความรู้เนื้อรู้ตัวจริง ๆ ถึงจุดนึงมันก็ไม่ได้หวงแหนชีวิตเลยด้วยซ้ำ แม้รู้ว่าชีวิตมีคุณค่าแล้ว ก็อยากจะมีชีวิตเพื่อจะทำสิ่งที่ดีมีคุณค่าไปเรื่อย ๆ แต่ถึงเวลาจะตายก็ไม่อาลัยอาวรณ์ เพราะว่ายิ่งมีความรู้สึกตัวมากเท่าไหร่ ความหลงตัวลืมตนมันก็น้อยลง ความยึดถือในตัวตนก็น้อยลง
ยิ่งรู้ตัวมากเท่าไหร่ ตัวกูหรือตัวตนมันก็เบาบาง หรือความยึดถือในตัวตนก็เบาบาง
แล้วพอยึดถือในตัวตนน้อยลง ความกลัวตายมันก็น้อยลงตามไปด้วย เรียกว่า เมื่ออยู่ก็อยู่อย่างมีความสุข เมื่อถึงเวลาตายก็ไม่อาลอาวรณ์ อันนี้เพราะว่ามีความรู้สึกตัวเป็นพื้นฐาน ที่ช่วยทำให้กิเลสตัณหามันมารบกวนจิตใจได้น้อยลง แล้วมันทำให้ความยึดติดถือมั่นในตัวตนเบาบาง ทำให้ให้อัตตามันมีอำนาจครอบงำจิตใจน้อยลง คนเราถ้าอัตตาครอบงำจิตใจน้อยลง ความกลัวตายมันก็น้อยลงไปด้วย ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงบอกว่าให้ฝึกตายก่อนตาย ฝึกตายก่อนตาย หมายความว่า ฝึกให้ตัวกูมันตายก่อนที่จะหมดลม ที่จริงตัวกูมันไม่มีตั้งแต่แรก แต่ที่ท่านพูดหมายความว่าให้ความยึดถือในตัวกูมันดับเมื่อความยึดถือในตัวกูมันดับหรือว่า มันน้อยลง ความกลัวตายก็จะน้อยลงตายตามไปด้วย และการทำความรู้สึกตัวอยู่เสมออันนี้มันเป็นพื้นฐานเลยนะในการที่ทำให้ความยึดถือในตัวกูมันน้อยลง
ถ้ารู้สึกตัวจริง ๆ รู้สึกตัวที่เกิดจากการที่มีมีสติครองใจ ทำอะไรก็ทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว รู้กายรู้ใจ ไม่ใช่รู้สึกตัวแบบประเภทที่ว่าไม่สลบไม่เมา ความรู้สึกแบบคนทั่ว ๆ ไป ความรู้สึกตัวแบบคนทั่ว ๆ ไป มันยังไม่ใช่เป็นความรู้สึกตัวที่พูดถึงเท่าไหร่นะ เพราะความรู้สึกตัวที่พูดถึงมันต้องมีสติปัฏฐานเป็นเป็นพื้นฐานคือรู้กายรู้ใจ รู้จักตัวเองในมุมที่ลึกซึ้งไม่ใช่แค่รู้ว่าอยากอยู่ไม่อยากตาย หรือไม่ใช่แค่รู้ว่าอยู่ไปเพื่ออะไร แต่รู้กายและใจในปัจจุบันขณะ จนกระทั่งไม่เปิดช่องให้กิเลสตัณหาหรือความหลงในตัวกูนี่มันครอบงำใจได้