แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 22 กันยายน 2567
ในชีวิตของเรามันมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราทำอะไรไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นปัญหา อาจเป็นเพราะว่าเราไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรได้ หรือไม่มีความสามารถ ไม่มีทรัพยากร อย่างเช่น ปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ปัญหาการศึกษาของคนในชาติ ซึ่งตอนนี้ก็น่าเป็นห่วงทั้งคู่แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นนักวิชาการ ไม่ได้เป็นนักการศึกษา หรือไม่มีความรู้เลย เราก็ทำอะไรไม่ได้ เกินความสามารถของเรา แต่ก็มีปัญหาหลายอย่างที่เราพอจะทำอะไรได้บ้าง หรือทำอะไรได้มาก หรือในความสามารถที่เราจะทำได้ ตั้งแต่มีส่วนเล็กน้อยไปจนถึงมีส่วนมาก เช่นเรื่อง สุขภาพ การงาน การเงิน หรือว่าเรื่องความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนที่เราเกี่ยวข้อง เช่น ลูกหลาน สามีภรรยา พ่อแม่ หรือว่าเพื่อนร่วมงาน คนป่วย พนักงาน บริษัท มันก็มีปัญหาให้เราเห็นรับรู้อยู่มากมาย และเป็นเรื่องที่ควรจะแก้ ไข แล้วเราอยู่ในวิสัยที่จะทำอะไรได้บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ว่าในขณะที่เราพยายามจัดการกับปัญหาเหล่านี้ และแม้ว่ามันยังไม่คลี่คลาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทุกข์ วิตกกังวล หรือเครียด
ปัญหามันมีไว้แก้ มันไม่ได้มีไว้กลุ้ม
อย่างที่มีคนได้เคยพูดเอาไว้เมื่อมีปัญหาก็แก้ต้องใส่ใจขวนขวายรับรู้ แต่ก็ต้องรู้จักทำใจ เช่น ไม่แบกมันให้เป็นภาระหนักอกหนักใจอยู่ตลอด เวลามันทำได้นะ ใส่ใจกับปัญหาแต่ก็ไม่แบกเอาไว้ให้เครียด ให้กลุ้ม ให้หงุดหงิด หรือว่าคับแค้นใจ มันไม่ใช่ว่าเมื่อเราแก้ไขปัญหาใด ๆ หรือมีปัญหาต้องแก้จะต้องเครียดไปกับปัญหา เดี๋ยวเราต้องกลุ้ม อยู่ที่การวางใจด้วย เช่น เจ็บป่วย เราก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ต้องจัดการ ต้องแก้ไขเยียวยารักษาร่างกายให้ดี แต่ก็ไม่หมายความต้องเครียดกลุ้มอกกลุ้มใจกับความเจ็บป่วย การที่เราจะขวนขวายทำอะไร หรือการที่เราจะใส่ใจอะไรก็ตาม มันไม่จำเป็นต้องทำด้วยความเครียด ความวิตกกังวล หรือมีปัญหาที่จะต้องแก้ที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทำด้วยความโกรธ ความหงุดหงิด หลายคนต้องอาศัยอารมณ์เป็นแรงผลักดัน ถ้าไม่มีความกังวลมันก็ไม่มีความกระตือลือล้นขวนขวายที่จะดูแลรักษา สุขภาพ อันนั้นมันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นก็ได้ เราขวนขวายดูแลสุขภาพแต่ว่าเราก็ไม่ได้เครียน ไม่ได้วิตกกังวลกับมัน พูดง่าย ๆ คือว่าไม่ได้แบกมันอยู่ตลอดเวลา
คนเรานี้ถ้าเกิดว่าแบกเอาความเจ็บปวด ป่วยหรือปัญหางานการตลอด เวลามันกับทำให้เราไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงจะทำอะไรนะ เพราะอารมณ์พวกนี้มันก็บั่นทอนจิตใจเรามาก อย่างน้อย ๆ ก็จะทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือว่าหงุดหงิด ตอนที่เราใส่ใจกับปัญหา ปุถุชนก็จะมีความเครียด มีความวิตก แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรกับร่างกายของเราตลอดเวลา บางครั้งเราก็มีงานที่ต้องทำ บางครั้งเราก็กินข้าวเพื่อบำรุงร่างกาย บางครั้งเราก็ต้องสนทนากับลูกหลาน ในช่วงเวลาเหล่านั้นไม่จำเป็นที่เราจะต้องแบกเอาความทุกข์พร้อมความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือแบบความกังวลเอาไว้ มันเป็นช่วงเวลาที่เราควรจะวางสิ่งเหล่านั้นลง ไม่ใช่ว่าแบกความเจ็บป่วยให้หนักอกหนักใจตลอด เวลานอนก็กลุ้ม กินก็กลุ้ม ทำงานก็กลุ้ม หรือคุยกับลูกหลานก็กลุ้มก็เครียดเพราะเรื่องสุขภาพ อย่างน้อย ๆ ควรจะรู้จักวางนะเรื่องปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพลง จดจ่อใส่ใจกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนั้น หรือว่าจดจ่อใส่ใจอยู่กับคนที่เรากำลังสนทนาด้วย ไม่ใช่ว่าคุยกับลูกคุยกับหลานแต่ว่าใจก็คิดถึงความเจ็บความป่วย ไม่ใช่ว่ากำลังกินข้าวแต่ก็นึกถึงปัญหางานการที่รุมเร้า
ในช่วงเวลานั้นเราควรจะจดจ่อใส่ใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำ ระหว่างที่คุยกับลูกหลานใจก็อยู่กับเขาเต็มร้อยวางเรื่องอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานการ เรื่องสุขภาพลง ระหว่างที่เรากำลังกินข้าวเราก็วางเรื่องอื่น ๆ ลง จดจ่อใส่ใจอยู่กับการกินข้าว ถ้าเรารู้จักเอาใจมาอยู่กับปัจจุบัน การที่เราจะวางสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นปัญหามันก็ไม่ใช่เรื่องยาก มันก็เหมือนกับว่าเรามีลิ้นชักหลายใบ ลิ้นชักแต่ละลิ้นชักก็เปรียบเหมือนกับงานการ หรือปัญหาที่เราต้องแก้ ในชีวิตคนเราก็มีปัญหาที่ต้องแก้ต้องจัดการวันนึง ๆ ก็อาจจะมีสัก 5 อย่าง 10 อย่าง แต่เวลาเราจะแก้ปัญหาใดเราก็เปิดลิ้นชักนั้นมา ถึงแม้ยังแก้ไม่จบแต่เราทำอย่างอื่นในลำดับถัดไป เราก็ปิดลิ้นชักเดิมแล้วก็เปิดลิ้นชักใหม่ขึ้นมา ทำงานนั้นเสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จ แต่ว่าได้เวลาทำงานอื่น ก็วางงานนั้นลงแล้วก็ไปจดจ่อกับงานอื่น ถ้าเราเปิดทีละลิ้นชัก ๆ มันก็ไม่วุ่นวาย แต่บางคนนี่เปิดทุกลิ้นชักเลย เอาปัญหาต่าง ๆ มาสุมกองก็เลย เครียดนะ ระหว่างที่กินข้าวก็นึกถึงปัญหางานการ นึกถึงปัญหาสุขภาพ นึกถึงปัญหาลูก หรือระหว่างที่อกำลังนอนก็เอาปัญหาต่าง ๆ มารุมเร้า สุดท้ายก็เครียด สุดท้ายก็แย่ ปัญหาก็ไม่ได้แก้ สติปัญญาก็ไม่แจ่มใส
เคยมีคนถามหลวงพ่อพยอมนะว่า วัดสวนแก้วหรือว่าหลวงพ่อพยอมยืมเงินจากธนาคารมาเป็น 10 ล้านเพื่อมาทำกิจกรรมช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ ก็ถามท่านว่าเครียดไหม เป็นทุกข์บ้างไหมกับหนี้สินที่มีมากมาย ท่านตอบดีท่านบอกว่า "จะเครียดทำไม จะกลุ้มทำไม ไอ้คนที่ควรเครียดควรกลุ้มก็คือเจ้าของเงินนะ เครียดที่ว่าเราจะมีปัญญาจ่ายเขาหรือเปล่านะ อาตมาไม่เครียดหรอกนะ" ไม่เครียดนี่ไม่หมายความว่าไม่ใส่ใจใน การหาเงินมาชำระหนี้นะ ท่านก็ขวนขวายใส่ใจหาเงินมาชำระหนี้ แต่ว่าใจไม่เครียดพูดง่าย ๆ คือว่า ใส่ใจแต่ไม่แบก มันทำได้นะใส่ใจกับงานการ ใส่ใจกับปัญหา แต่ก็ไม่แบกเอาปัญหาเหล่านั้นมาให้เกิดความหนักอก หนักใจ เกิดความเครียด มีหนี้ก็ต้องรับผิดชอบต้องหาเงินมาชำระหนี้ แต่ว่าใจไม่เครียด อันนี้เรียกว่า รู้จักทำกิจและทำจิต กิจก็ต้องทำมี หนี้ก็ต้องหาเงินมาชำระ มีปัญหาก็ต้องแก้ เจ็บป่วยก็ต้องรักษา แต่ไม่ได้ทำกิจอย่างเดียวทำจิตด้วย คือปล่อยวางไม่แบกมันเอาไว้ อย่างน้อยเมื่อไม่ได้ทำอะไรกับสิ่งนั้น หรือปัญหาเหล่านั้นก็วางสิ่งนั้นลง ระหว่างที่ใส่ใจสุขภาพก็อาจจะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แต่พอไปทำอย่างอื่นก็วางเรื่องสุขภาพ เรื่องความเจ็บป่วยลง งานการก็เหมือนกัน มีงานกี่งานก็แล้วแต่ แม้จะเป็นงานใหญ่งานยากแล้วยังทำไม่เสร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขณะที่ยังทำไม่เสร็จก็ต้องแบกงานนั้นเอาไว้ให้เครียด ให้กลุ้ม ถึงเวลาไปทำงานอื่นก็วางงานนั้นลง และจดจ่อใส่ใจอยู่กับงานใหม่งานอื่นแทน
สมัยที่หลวงพ่อพุทธทาสยังมีกำลังวังชาอยู่ ท่านก็เอาใจใส่มากนะกับการพัฒนาสวนโมกข์ มีการสร้างอาคารหลายแห่ง แต่ว่าอาคารแต่ละแห่งนี่ก็ใช้เวลานานเป็นปีหรือหลายปี เพราะว่าอาศัยแรงหรือกำลังของพระ รวมทั้งตัวท่านด้วย มีช่วงนึงสวนโมกข์สร้างอาคารที่ชื่อว่า ธรรมนาวา อาคารเป็นรูปคล้ายเรือ อเนกประสงค์นะเก็บน้ำฝนด้วยแล้วก็เป็นที่ประชุมด้วย เพราะเวลาฝนตกแล้วลานหินโค้งมันไม่มีหลังคา ก็ต้องย้ายผู้คนไปที่อาคารเพื่อฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์พุทธทาส เป็นต้น ในขณะที่ฝนตก ก็มีคน ๆ นึงมาสวนโมกข์เป็นระยะ ๆ แล้วก็ทราบว่าสวนโมกข์กำลังสร้างเรือ อาคารนี้เรียกสั้น ๆ ว่า เรือ วันนึงก็มาสวนโมกข์แล้วไปกราบท่านอาจารย์พุทธทาส ถามว่า "อาจารย์ เรือนี่ไปถึงไหน" ท่านาจารย์พุทธทาสบอกว่าเสร็จแล้ว ชายนั้นก็แปลกใจเพราะว่าเมื่อ 2-3 เดือนก่อนมาที่สวนโมกข์ ก็เห็นเรือสร้างไปได้แค่ครึ่งเดียว 2-3 เดือนผ่านไปมันจะเสร็จได้เชียวหรือ ก็แปลกใจว่าทำไมเสร็จเร็วอย่างนั้น พอไปดูเรือก็ปรากฏว่าการก่อสร้างก็ยังคืบหน้าไปจาก 2-3 เดือนที่ผ่านมาไม่เท่าไหร่ ก็แปลกใจเลยเดินกลับมาถามท่านอาจารย์พุทธทาสว่า "อาจารย์ไหนบอกว่าเรือเสร็จ แล้ว ผมดูมันยังอีกนานนะกว่าจะเสร็จ" ท่านอาจารย์พุทธทาสก็บอกว่า
"เสร็จแล้ว...เสร็จทุกวัน วันนี้ก็เสร็จ...พรุ่งนี้ก็เสร็จ"
ท่านไม่ได้ตีฝีปากหรือพูดเล่นนะ แต่ท่านพูดจากความรู้สึก คือ คนเราเวลาทำอะไรเสร็จ มันจะรู้สึกเบา รู้สึกสบาย เหมือนกับวางภาระลง แต่สำหรับท่านอาจารย์พุทธทาสมันไม่จะเป็นต้องเสร็จสมบูรณ์ ทำได้เท่าไหร่เมื่อถึงเวลาพักก็วางงานนั้นลงจากใจ เหมือนกับว่าเสร็จแล้ว พูดง่าย ๆ คือท่านอาจารย์พุทธทาสท่านไม่แบกงานไม่แบกเรือมาไว้ในใจ ระหว่างที่ทำงานก็ใส่ใจกับการก่อสร้างเต็มที่ แต่พอถึงเวลาเลิกงานเพราะว่าเย็นแล้วค่ำแล้ว ไม่ใช่วางแค่เครื่องไม้เครื่องมือลงจากมือนะแต่วางงานการหรือเรือลงจากใจด้วย เป็นความรู้สึกเบาสบายเหมือนคนที่ทำอะไรเสร็จแล้ว อันนี้เรียกว่า ทำงานด้วยใจที่ปล่อยวาง ก็ได้ บางคน เราเวลาพูดถึงการปล่อยวาง เราก็นึกถึงเข้าใจหมายถึงการปล่อยปะละเลย คือ ไม่ทำอะไร ปล่อยปะละเลย คือ ไม่ทำอะไร ไม่ใส่ใจด้วย แต่จริง ๆ แล้ว เราทำได้นะใส่ใจขวนขวาย แต่ว่าใจนี่ไม่แบกอะไรไว้เลย ซึ่งมันก็ต่างจากคนจำนวนมาก คือ ถ้าหากว่าทำอะไรใส่ใจ เห็นปัญหาว่าต้องแก้ไข จิตใจก็จะเครียด จิตใจก็จะกลุ้ม จิตใจจะไม่กลุ้ม จิตใจจะไม่เครียดก็ต่อเมื่อไม่ทำอะไรเลย หรือเมื่อปล่อยปะละเลยไม่ใส่ใจอะไรเลย ถ้าใส่ใจเมื่อไหร่ก็จะเครียดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเมื่อเห็นปัญหาเห็นภาระที่ต้องแก้ แต่นั่นมันเป็นทางสุดโต่ง 2 ทาง ทางที่ 3 ที่ทางสายกลางคือว่า ใส่ใจแต่ว่าไม่แบกเอาไว้ ซึ่งทำได้ถ้าหากว่ารู้จักทำใจ เช่น ระหว่างที่ทำใจก็อยู่กับสิ่ง ที่ทำไม่ไปพะวงกับเป้าหมายที่ยังมาไม่ถึง
อย่างที่พูดเมื่อวาน เดินบนเส้นลวด ฟิลิปป์ เปอตีต์ (Philippe Petit) เแกก็สนใจแต่ แต่ละก้าวที่ย่างเท้าบนเส้นลวดไม่ได้สนใจเป้าหมาย เวลาเราทำงาน เราก็ใส่ใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำในปัจจุบัน วางงานการ วางความสำเร็จหรือเป้าหมายไว้ก่อน แล้วเราจะรู้สึกเบาสบายขึ้นมา และยิ่งเมื่อทำเสร็จแล้วหรือว่ายังทำไม่เสร็จ แต่พักงานนไว้ก่อน ก็ไม่ได้พักแค่งานนะแต่ว่าพักใจด้วย หรือวางเรื่องนั้นออกลงจากใจเพื่อจะได้ไปทำงานอื่น ต่อ เหมือนกับว่าปิดลิ้นชักแล้วก็เปิดลิ้นชักใหม่ขึ้นมาทีละลิ้นชัก ๆ ไม่ใช่เปิดทุกลิ้นชัก ถ้าเรารู้จักวางใจแบบนี้ การที่เราจะใส่ใจโดยไม่แบกนี่เป็นเรื่องไม่ยากนะอย่างน้อย ๆ เรามีสติเร็วพอไวพอ เวลาทำงานอื่นแล้วมันไปคิดถึงงานที่ยังคาอยู่ก็มีสติเห็นมัน เห็นความคิดที่มันผุดขึ้น ไม่ปล่อยใจให้ไหลไปตามความคิดนั้น หรือเวลาที่ทำงานอยู่นึกถึงความเจ็บป่วยขึ้นมา ก็เห็นความคิดที่มันหมกมุ่นอยู่กับความเจ็บความป่วยแล้วก็เห็นอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นตามมา เมื่อนึกถึงความเจ็บป่วยก็จะได้มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์เหล่านี้ มันก็จะวางได้
เราทำงาน เราคุยกับลูกหลาน หรือแม้แต่เราเจริญสติทำสมาธิ เราก็วางเรื่องความเจ็บป่วยลง ไม่ใช่ว่าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา หรือว่าทำอะไรก็ตามก็ไม่เอาปัญหาที่ยังคาราคาซังมาทับถมจิตใจ มันคิดถึงงานนั้นหรือคิดถึงปัญหานั้นขึ้นมาก็เห็นมัน แต่ไม่ปล่อยใจไหลไปตามความคิด พาใจหลุดจากความคิด หรือปล่อยวางความคิดนั้นได้ หากมันเกิดอารมณ์เกิดขึ้นตามมา วิตกกังวล ความเครียดก็ปล่อยวางมันได้ เพราะว่าเห็นมัน รู้จักวางมัน เหมือนคนที่เป็นหนี้ มีหนี้เป็น 10 ล้านแต่ว่าไม่ใช่คิดถึงแต่เรื่องหนี้ตลอดเวลา เวลากินข้าวก็วางเรื่องหนี้ลง เวลาทำงานก็วางเรื่องหนี้ลง แต่จะวางได้ต้องมีสติเห็นนะ เห็นความคิดที่มันผุดขึ้นมาว่า ความคิดถึงหนี้สินแล้วก็มักจะเกิดความหนักอกหนักใจ แต่ว่าพอเราเห็นความคิดเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นมันก็วางลงได้ อันนี้เพราะเรามีสติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดูเหมือนขัดแย้งกันมันทำได้ ใส่ใจด้วย ขวนขวายด้วยกับงาน ใส่ใจกับปัญหา รับรู้ปัญหาอยู่เต็มอก แต่ว่าใจนี้วางคือไม่แบก
ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ สิ่งที่เวลามีปัญหาอย่างอื่นขึ้นมา เช่น มีความโกรธความแค้น เราก็สามารถที่จะให้อภัยได้โดยที่ไม่ลืมมัน มีคำพูดที่เราอาจจะเคยได้ยินนะ "forgive not forget" ให้อภัยแต่ไม่ลืม 2 อย่างนี้ มันไปด้วยกันได้ ไม่ใช่ว่าเราจะให้อภัยใครเพราะเราลืมว่าเขาเคยทำอะไรกับเราเอาไว้ เราจำได้ดีแต่ว่าเราให้อภัยเพราะเรารู้ว่าการให้อภัยมันดีกับเราเอง มันเป็นการเยียวยาจิตใจทำให้เราปล่อยวาง แต่ว่าไม่ลืม ยังจำได้แต่แทนที่จะโกรธ ในกรณีที่คนอื่นทำกับเรา หรือแทนที่จะรู้สึกผิดจนให้อภัยตัวเองไม่ได้ ก็กลับสามารถให้อภัยคนอื่นก็ได้ ให้อภัยตัวเองก็ได้ หลายคนมีความรู้สึกผิดติดค้างใจแล้วไม่ยอมให้อภัยตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงพยายามที่จะพยายามลืม ลืมเรื่องหรือเหตุการณ์ร้าย ๆ จะไม่โกรธใครก็ต่อเมื่อลืมเหตุการณ์ที่เขาทำกับเรา หรือจะว่าจะไม่รู้สึกผิดย่ำแย่กับตัวเองก็ต่อเมื่อลืมเหตุการณ์ที่เราเคยทำแล้วไม่ดีกับคนอื่น มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นนะ ถ้าขืนทำพยายามลืมมันกลับยิ่งไม่ลืม แต่ว่าแม้เราจะไม่ลืม แต่เราให้อภัยได้ ให้อภัยคนอื่นก็ได้ ให้อภัยตัวเองก็ได้
สิ่งที่เราจำมันไม่ใช่การแบก การโกรธ ความโกรธความแค้นคนอื่น หรือโกรธแค้นตัวเอง หรือรู้สึกผิดกับตัวเองมันคือการแบก แต่เราสามารถจะวางได้โดยที่เราไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น การที่ไม่ลืม มันก็เป็นบทเรียนที่จะทำให้เราป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ในกรณีที่ตัวเองเคยทำอะไรไม่ดีกับคนอื่นเอาไว้ หรือเอามาเป็นบทเรียนเพื่อที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายเรา เพราะความซื่อหรือความไม่รู้เท่าทันของเรา อันนี้ก็เหมือนกัน เราใส่ใจกับเหตุการณ์ในอดีตแต่เราก็ไม่แบกเอาอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธความแค้ หรือความรู้สึกผิดเอาไว้ มันทำได้นะ แล้วมันควรทำด้วย เพราะไม่งั้นถ้าเราแบกเอาไว้ แบกอารมณ์ที่เป็นลบ แบกความโกรธ แบกความ กลุ้ม แบกความคับแค้นคับหรือว่าเครียด เราก็จะไม่มีเร่วแรงเหลือในการที่จะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหา การพัฒนาตนการดูแลสุขภาพ การทำงาน หรือการใช้หนี้ หรือว่าการทำให้ตัวเองสามารถจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
มันทำได้ใส่ใจแต่ไม่แบก ให้อภัยแต่ไม่ลืม ถ้าเรารู้จักทำใจฝึกใจเอาไว้ ไม่ใช่คิดแต่ไปจัดการกับคนอื่นหรือจัดการกับปัญหา แต่ว่าไม่มองตน หรือว่าไม่รู้จักดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี