พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 20 กันยายน 2567
ในชีวิตประจำวันของเรา มีอารมณ์ที่มากระทบ รับรู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางสัมผัส และบางทีก็เกิดความคิดและอารมณ์ขึ้นในใจ
ความคิดและอารมณ์บางอย่างมันน่าพอใจ ชวนเข้าหา แต่บางอย่างมันก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ คนธรรมดาก็มักจะผลักไส โดยเฉพาะความโกรธ ความเศร้า ความหงุดหงิด ความรำคาญใจ
แต่มันก็มีความคิดหรืออารมณ์บางอย่าง แม้ว่ามันจะเป็นลบ แต่ว่าหลายคนก็เลือกที่จะหลบหนี หรือว่าถอยห่าง ไม่ยอมเผชิญหน้ากับมัน เช่น ความกลัว หรือสิ่งที่เรากลัว พอมันเกิดขึ้น หรือเรารับรู้ เราก็จะทำทุกอย่างที่จะทำได้ เพื่อที่จะไม่เผชิญหน้ากับมัน หันหลังให้มัน หนีมัน แต่ยิ่งหนีมันก็ยิ่งไล่ล่า หรือว่าหลอกหลอนเรา
สิ่งที่เราควรทำและทำได้ คือการเผชิญหน้ากับมัน รับรู้มัน โดยไม่ผลักไส แล้วก็ไม่ไหลตาม หรือว่าหลุดเข้าไปในอารมณ์นั้น
ลองสังเกตดู เวลาเรามีความกลัวหรือมีความคิดถึงสิ่งที่เรากลัว เราจะมีอาการทั้งทางกายและทางใจ ทางใจก็คือ พยายามที่จะปฏิเสธมัน หลบมัน ทางกายก็อาจจะเกิดหายใจถี่สั้น หัวใจเต้นเร็ว เกิดอาการเกร็ง
ที่จริงวิธีที่ดีกว่านั้น ไม่ใช่การถอย การหนี การหลบ แต่คือการเผชิญหน้ากับมัน โดยที่ไม่ไปต่อสู้ผลักไสมันด้วย อันนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่ง ที่เราเรียกว่า รู้ซื่อ ๆ เห็นมัน แค่ดูมันเฉย ๆ
ใหม่ ๆ อาจจะดูมันตรง ๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะดูอารมณ์ สิ่งที่เราทำได้คือ มาดูที่กายของเราเวลามีความกลัว ที่จริงรวมถึงความโกรธด้วยว่ามีอาการอะไรเกิดขึ้นกับกายของเราบ้าง อันหนึ่งที่เห็นชัดคือ ลมหายใจ หายใจถี่ สั้น หัวใจเต้นเร็ว มือไม้เกร็ง บางทีขนลุก ที่จริงเพียงแค่เรามารับรู้กายว่ามีอะไรเกิดขึ้น เท่านี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว เพราะมันทำให้ใจไม่ถลำเข้าไปในอารมณ์ หรือว่าต่อสู้ผลักไส หรือถอยหนีอารมณ์นั้น
แต่ต่อไปถ้าหากว่าสติเราดี มีกำลัง เราก็สามารถใช้สตินั้นมาเป็นเครื่องช่วยให้เราดูหรือพิจารณาอารมณ์และความคิดที่เรากลัว หรือที่น่ากลัวนั้น และสิ่งใดก็ตามที่เรารู้ ดูมันเฉย ๆ โดยเฉพาะที่เป็นความคิดและอารมณ์ มันจะทนอยู่ไม่ได้ ทุกอารมณ์เลย แม้ว่ามันจะเก่งกาจในการหลอกล่อเราให้หลง หรือว่าต่ออายุให้มัน แต่ทันทีที่เราเผชิญหน้ากับมัน รู้ทันหรือดูมันเฉย ๆ มันก็ล่าถอยไป
เหมือนกับผู้ร้ายที่ลอบเข้ามาเพื่อขโมยของ หรือทำมิดีมิร้ายในบ้านเรา แต่พอเราหันหน้าเผชิญกับมันด้วยจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว แม้เราไม่ทำอะไรกับมันเลย แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้มันถอยหนีออกจากบ้านของเราไปได้ วิธีนี้ใช้ได้แม้กระทั่งสิ่งที่มันเป็นความฝัน หรือจินตนาการ อย่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 12 มักจะฝันร้าย แล้วก็ฝันคล้าย ๆ กันติดต่อกันอยู่หลายวัน
ในฝันนั้นก็คือว่า เวลาออกไปนอกบ้าน มันเหมือนกับมีภูตผีปีศาจไล่ตามเธอ ด้วยความกลัวเธอก็วิ่งหนีเข้าไปในบ้าน แต่ว่าไม่ทันจะปิดประตู ภูตผีเหล่านั้นมันก็ลอดเข้ามาในบ้าน
เธอก็หนีเข้าไปในห้อง ปิดประตูก็ปิดไม่ทัน มันก็กรูกันเข้าไปในห้อง เธอวิ่งไปจนกระทั่งเจอผนังห้อง ไปต่อไม่ได้ ขณะที่ภูตผีเหล่านั้นก็ตามมาติด ๆ ตอนที่ภูตผีมันจะประชิด หรือขย้ำ ทำร้ายตัวเธอ หรือก่อนที่มันจะถึงตัวเธอ เธอก็ตกใจ แล้วก็ตื่นขึ้นมา
พอตื่นขึ้นมาก็หายใจถี่กระชั้นมาก เพราะกลัว เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเธอไม่กล้านอน เพราะนอนแล้วก็ฝันร้าย
วันหนึ่ง เธอก็เล่าความทุกข์ของเธอให้กับเพื่อน ๆ ฟัง ว่า ฉันฝันร้าย มีภูตผีคอยตามไล่ฉัน เพื่อนก็ถามว่าหน้าตาเป็นอย่างไร รูปร่างมันเป็นอย่างไร เธอตอบไม่ได้ เพราะว่าทุกครั้งก็จะวิ่งหนีตลอด ไม่เคยเหลียวหลังไปมอง จะเหลียวไปดูได้อย่างไร มันน่ากลัว
แต่ว่าคำถามของเพื่อน ก็ทำให้เธอฉุกคิดว่า เราไม่เคยรู้เลยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร แต่เราก็กลัวมัน
แล้วคืนนั้น เธอก็ฝันอีก ฝันเหมือนเดิม ภูตผีไล่ตามเธอ เธอก็หนีเข้าบ้าน มันก็เข้ามาในบ้านได้ ปิดประตูไม่ทัน พอเธอหนีเข้าห้อง ปิดประตูไม่ทัน มันก็ตามหลังเธอเข้ามาในห้อง พอเธอวิ่งไปถึงผนังห้อง ไปต่อไม่ได้กลัวก็กลัวนะ กลัวภูตผีมันจะขย้ำ
แต่ด้วยความสงสัยว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร เธอก็เลยรวบรวมความกล้า ในฝันนั้น หันหน้ามาเผชิญกับภูตผีเหล่านั้น ปรากฏว่าภูตผีเหล่านั้นมันไม่ทำอะไรเธอเลย มันก็แค่กระโดดเหยง ๆ อยู่หน้าเธอ ไม่ได้ทำร้ายเธอ ไม่ได้บีบคอเธอ กระโดดเหยง ๆ อยู่อย่างนั้น
แล้วเธอก็ดูว่า ภูตผีเหล่านี้มันคุ้น ๆ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิดเลย คืนนั้นเธอก็หลับได้สบาย พอเธอตื่นขึ้นมานึกถึงความฝัน เธอก็จำได้ว่าภูตผีเหล่านั้น มันเหมือนตัวการ์ตูนที่เธอได้อ่านก่อนนอน ไปเปิดดูหนังสือการ์ตูน โอ้ ใช่เลย ไอ้พวกนี้นั่นแหละที่มาหลอกฉันในยามค่ำคืน
ก็กลายเป็นว่า อ่านหนังสือการ์ตูนแล้ว ก็มีภาพภูตผีในการ์ตูนมาติดตาติดใจ แล้วมันก็เข้าไปหลอกหลอนในความฝัน พอเธอรู้เช่นนี้เธอไม่กลัวมันอีกแล้ว นับตั้งแต่นั้นมาฝันร้ายก็ไม่เกิดขึ้นกับเธออีก เพราะรู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย
แต่เธอไม่มีทางรู้ถ้าหากว่าไม่หันหน้ามาดู ว่ามันคืออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร เด็กคนนี้กล้าเผชิญกับภูตผี มันก็เลยไม่สามารถจะหลอกหลอนเธอได้อีก แต่ก่อนเอาแต่หนีท่าเดียว มันก็เลยหลอกหลอนเธอทุกคืน จนกลายเป็นฝันร้าย แต่พอหันหน้าเผชิญกับมัน มันก็ไม่มีอำนาจที่จะมาหลอกหลอนเธอได้อีกต่อไป
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นว่า คนเราเวลาเรากลัวอะไรขึ้นมา บางทีเรากลัวเพราะเราไม่รู้ ความกลัวมันจะเกิดจากความไม่รู้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้ เราก็จะไม่กลัว และที่เรารู้ก็เพราะเราเผชิญหน้ากับมัน เราไม่ยอมหนี หรือปล่อยให้มันไล่ล่า
อันนี้ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็เป็น มีผู้ป่วยคนหนึ่ง เป็นมะเร็งตับอ่อน อายุแค่ 40 ต้น ๆ หมอเจ้าของไข้ก็รักษาทุกวิธีแล้ว แต่ก็ทำท่าว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เลย หมดปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไร ขณะที่ผู้ป่วยเองก็แย่ลงไปเรื่อย ๆ
ก็เลยส่งผู้ป่วยคนนี้ ให้เพื่อนที่เป็นหมออีกคนหนึ่ง เป็นผู้หญิง เพราะเห็นว่าหมอคนนี้มีความรู้ทางด้านการแพทย์หลายสาขา ถึงแม้ว่าเคมีบำบัด ฉายแสง ช่วยอะไรคนไข้คนนี้ไม่ได้ แต่ว่าการแพทย์แผนตะวันออกอาจจะช่วยได้
เธอก็รับคนไข้คนนี้มา แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ให้การรักษาทางการแพทย์นัก เพราะว่าอาการของเขาก็หนักมาก แต่สิ่งที่เธอสังเกตก็คือ สีหน้าของเขาหม่นหมอง เธอก็เลยเลือกที่จะคุยกับคนไข้
คนไข้มีความทุกข์มาก มีความเครียด ความวิตกกังวลเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นมะเร็งตับอ่อน ไม่มีใครที่รักษาได้ แล้วเขาก็เริ่มจะเข้าสู่ระยะสุดท้าย คนไข้ได้ปรึกษากับหมออยู่ 2-3 ครั้ง ก็เริ่มจะรู้สึกสบายใจ แล้ววันหนึ่งคนไข้ก็มาหาหมอ บอกว่า ผมนอนไม่หลับมา 2 คืนแล้ว ขอยาได้ไหม อยากได้ยานอนหลับ
หมอคนนี้ไม่ให้ยานอนหลับง่าย ๆ ก็คุยกับคนไข้ถามว่า ทำไมถึงนอนไม่หลับ คนไข้บอกว่าฝันไม่ค่อยดี หมอถามว่าฝันอะไร เขาบอกว่าในฝันมีสัตว์ร้ายที่เหมือนกับกาตัวใหญ่ ๆ หรือเหยี่ยวตัวใหญ่ ๆ มาไล่ล่าเขา มันน่ากลัวมาก และทุกครั้งเขาก็จะวิ่งหนี วิ่งหนีอสูรร้ายตัวนี้
ตอนที่พูดนี่ เขาก็ดูเครียด หมอก็เลยชวนเขา บอกว่าไหนลองจินตนาการ ลองย้อนกลับไประลึกถึงความฝันนั้น ทีแรกเขาก็ไม่กล้า แต่ว่าหมอก็ให้กำลังใจ เขาเลยยอมทำตามด้วยการหลับตา แล้วก็จินตนาการถึงอสูรร้ายตัวนั้นที่มันบินได้ แล้วก็ไล่ล่าเขา
พอเข้าสู่ความฝัน เขาก็เริ่มเครียด เริ่มมีเหงื่อเลย คือความกลัวมันผุดขึ้นมาในใจ และในจินตนาการนั้น เขาก็หนี แต่หนีไม่พ้น หมอก็แนะนำเขาตอนฝันว่า “ลองล่องหนหายตัวสิ” เขาบอกว่า “เคยทำแล้ว ตัวนั้นมันเห็น”
“อ้าว แล้วหลบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งล่ะ!” “ไม่ได้หรอก มันเห็น มันรู้”
“เคยคุยกับมันไหม” “เคย แต่มันไม่ตอบ”
ไม่ว่าหมอแนะนำอะไร ก็ไม่มีประโยชน์เลย เพราะอสูรตัวนี้มันฉลาดมาก แล้วมันไล่ตามเขาทุกที่เลย ทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล
และเขาก็พูดถึงอสูรตัวนี้ มันดุร้ายและมีอำนาจมาก ไม่สามารถจะต้านทานมันได้ ทำอย่างไร ๆ ก็ต้องเสร็จมัน หมอก็เลยบอกว่า “ไหน ๆ ก็ทำทุกวิธีแล้วไม่ได้ผล งั้นก็ลองยอมให้มันเขมือบเราดูสิ ยอมให้มันจับเราดู”
ทีแรกหมอคิดว่าเขาไม่กล้า แต่เขากล้า เขาลองจินตนาการว่าไม่หนีไม่ถอย ยอมให้มันเข้ามาประชิดตัวเขา
ตอนแรกนี่เขาตัวสั่นเลย แล้วก็ร้องไห้ สั่นอย่างหนัก เหงื่อออก สั่นจนกระทั่งเก้าอี้นี่เขย่าเลย แสดงว่าเขากลัวมาก แต่สักพักเขาก็เริ่มสงบ แล้วก็นิ่ง รู้สึกดีขึ้น พอเขาลืมตาขึ้นมา ก็รู้สึกว่าสบายแล้ว รู้สึกโปร่งโล่ง
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มาหาหมอ หมอก็โทรศัพท์ถามเขาว่าเป็นอย่างไร เขาบอกว่าเขาสบายแล้ว ตอนนี้นอนหลับได้ ไม่มีความกังวลอะไร บอกว่ารู้สึกดีมากตั้งแต่ไปหาหมอ แล้วให้หมอแนะนำเขาให้ฝันจินตนาการถึงอสูรร้ายตัวนั้น พอหลังจากนั้นมันก็ไม่มารบกวนเขาอีกเลย
แล้วหมอก็ถามถึงอาการว่าเป็นอย่างไร อาการผมไม่ดีเลย แย่ลงไปเรื่อย ๆ อาการทางกาย แต่ใจผมนี่สุขสบายขึ้น ผ่อนคลายขึ้น เขายังเล่าว่าเมื่อวันสองวันก่อน จู่ ๆ ก็จินตนาการเห็นว่าตัวเองอยู่ด้านหนึ่งของกำแพง เขาอยู่หน้ากำแพง แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่า มีตัวเขาอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงด้วย แต่เขาไม่รู้สึกกลัวเลย รู้สึกสบาย ๆ
หลังจากนั้น 2-3 วัน หมอก็โทรศัพท์ไปที่บ้าน ปรากฏว่าเขาตายแล้ว เขาตายอย่างสงบมาก ก็เป็นไปได้ว่า อสูรร้ายที่เขากลัว มันก็คือความตายนั่นแหละ แต่เขาไม่สามารถจะระบุมันได้ว่ามันคือความตาย แต่รู้แต่ว่ามันน่ากลัว
จิตใต้สำนึกของเขามันกลัวตาย ก็เลยจินตนาการว่าเป็นภาพของอสูรร้ายที่ไล่ล่าเขา แล้วความทุกข์ของเขาที่เกิดขึ้นเพราะเขาต้องการหนีความตาย แต่ในฝันในจินตนาการนั้น เขาได้เผชิญหน้ากับความตาย เขายอมให้ความตายมาเล่นงานเขา ทีแรกก็กลัว แต่ตอนหลังก็สบาย
กำแพงที่เขาจินตนาการ ที่เขานึกเป็นภาพ ก็คงหมายถึงความตาย หรือสิ่งที่ขวางกั้นเขาระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า แล้วจิตใต้สำนึกบอกเขาว่า เขากำลังจะไปสู่โลกหน้า แต่เขาไม่กลัว สิ่งที่หมอช่วยก็คือ ทำให้เขายอมรับความตาย พูดง่าย ๆ ก็คือแต่ก่อนนี้เขาหนีความตายตลอด
มีคนไข้คนหนึ่ง ป่วยเป็นมะเร็งเหมือนกัน แต่ว่าไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ยังทำงานหนักทั้ง ๆ ที่ผ่าเอามะเร็งออกที่ช่องท้อง แต่ก็ยังทำงานขนของ เหมือนกับไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย ยาก็ไม่กิน แต่ว่าจิตใจก็ย่ำแย่
คนไข้คนนี้ถูก refer มาให้หมอคนนี้ หมอก็ได้พูดคุยกับเขาและถามเขาว่า ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเขา เขาบอกว่าบางครั้งรู้สึกเหมือนมีหลุมดำที่คอยดูดให้เขาเข้าไปข้างใน แต่เขาพยายามสู้กับมัน
หมอเห็นได้ชัดว่า ที่เขาพยายามสู้กับหลุมดำ ไม่ยอมให้ดูดเข้าไป มันทำให้เขาเหนื่อยมาก หมอก็เลยแนะนำว่า ลองจินตนาการว่าหลุมดำมันปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วหมอก็บอกว่า คราวนี้ไม่ต้องสู้กับมัน ยอมให้หลุมดำมันดูดเข้าไปเลย
ทีแรกเขาก็ไม่ยอม แต่ตอนหลังเขาก็ยอม พอเขาหลับตาแล้วจินตนาการว่ามีหลุมดำหลุมใหญ่ ที่มันมีแรงดึงดูดมาก เขาก็ปล่อยให้ตัวเองถูกหลุมดำดูดเข้าไป หมอถามว่าเป็นอย่างไร
“มันมืดมาก มืดสนิทเลย ทีแรกก็ดูน่ากลัว แต่ตอนหลังรู้สึกผ่อนคลาย” พอเขาไม่ต่อสู้ขัดขืนกับหลุมดำแล้ว เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น พอลืมตาขึ้นมา ก็รู้สึกว่าดีขึ้น แล้วจิตใจเขาก็สบาย
หลุมดำนี่คงจะหมายถึงความตาย หรือความเจ็บป่วย ที่เขาพยายามต่อสู้ขัดขืน แต่พอไม่พยายามต่อสู้ ไม่ขัดขืน ยอม ก็ปรากฏว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด อันนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า เวลามีอารมณ์ความรู้สึกใดที่มารบกวนจิตใจเรา หรือหลอกหลอน คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะหนี เลือกที่จะต่อสู้ เลือกที่จะขัดขืน
แต่บางทีการยอมเผชิญหน้ากับมัน กลับพบว่า มันไม่มีอะไรที่น่ากลัว ความเครียดที่เคยเกิดขึ้นกับการต่อสู้ ขัดขืน หรือวิ่งหนี มันก็หายไป กลายเป็นความผ่อนคลาย
เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความรู้สึกใด ๆ ที่มารบกวนจิตใจ อาจจะไม่ใช่แค่ความกลัว อาจจะเป็นความรู้สึกผิด หรือแม้แต่อารมณ์อื่นก็ตาม รวมทั้งความคิดด้วย การที่ครูบาอาจารย์สอนว่า อย่าไปกดข่มมัน อย่าไปต่อสู้กับมัน แค่ให้รู้ซื่อ ๆ นี่มันเป็นวิธีการที่ช่วยได้มาก มีพลังมาก
สมัยพุทธกาล มีพระจำนวนมากโดนมารมาหลอก อย่างพระสมิทธิ ภาวนาอยู่ในป่า ปรากฏว่าโดนมารมาหลอกด้วยการทำให้เกิดแผ่นดินไหว พระสมิทธิก็หนีเลย หนีไปเชตวัน พระพุทธเจ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระสมิทธิก็เล่าให้ฟัง
พระพุทธเจ้าบอกว่า ทีหลัง เวลามันมีแบบนี้อีกนะ พูดกับมารเลยว่า “มาร เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว” พระสมิทธิก็เชื่อ พอไปภาวนาอีก เจอแผ่นดินไหวอีก พระสมิทธิรู้เลยว่า ฝีมือมาร ก็เลยบอกว่า “มาร เรารู้แล้วว่าคือเจ้า” แค่นี้ มารก็ถอยหนีเลย
มารมันจะมีฤทธิ์มากมายเพียงใด แม้มันจะมีฤทธิ์มากมายกว่ามนุษย์ แต่สิ่งที่มันกลัวคือ การถูกรู้ทัน ไม่ต้องหนีมัน แค่เผชิญหน้ากับมัน แล้วก็บอกมันว่า เรารู้ทันมัน
ทุกอารมณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ทันมัน มันก็พ่ายแพ้ อยู่ที่ว่าเราจะรู้ทัน เพราะมีสติมากพอหรือเปล่า ส่วนใหญ่นี่พอมีความกลัว ก็หนีเลย หนี แล้วก็ปล่อยให้มันหลอกหลอนไล่ล่า แต่ถ้าเราหันหน้าเผชิญกับมัน เราก็สามารถที่จะถอนพิษสง หรือว่าทำให้มันหมดอำนาจขึ้นมาได้
การรู้ซื่อ ๆ หรือการเผชิญหน้ากับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เคยรบกวนหลอกหลอนเรา จึงเป็นวิธีการที่สำคัญมากที่ไม่ว่าในยามสุข หรือในยามทุกข์ ในยามปกติ หรือยามป่วยไข้ มันเป็นวิธีที่ทรงพลังมาก ในการที่จะพาใจของเราให้กลับมาเป็นปกติ.