พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 19 กันยายน 2567
เดี๋ยวนี้การทำสมาธิและการฝึกสติ ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากผู้คน แต่ก่อนก็เข้าใจว่า เรื่องการทำสมาธิการฝึกสติเป็นเรื่องของพระเรื่องของชี แต่เดี๋ยวนี้คนทั่วไปหลายวงการหลายอาชีพ ก็เห็นความสำคัญของการฝึกสติ การทำสมาธิ
ดูได้จากที่เดี๋ยวนี้มีการนิมนต์พระ ไม่ใช่แค่แสดงธรรมอย่างเดียว แต่ไปสอนการทำสมาธิการฝึกสติให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐภาคเอกชน บางทีก็ไปสอนการฝึกสติให้กับอัยการ ผู้พิพากษา ตำรวจ ข้าราชการ
ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลง เพราะแต่ก่อนเห็นว่าคนที่ควรจะได้รับการฝึกสติคือนักโทษในเรือนจำ มีการนิมนต์พระไปแสดงธรรม แล้วก็สอนการเจริญสติให้กับนักโทษ แต่เดี๋ยวนี้แม้จะไม่ใช่นักโทษ เป็นตำรวจ เป็นอัยการ ผู้พิพากษา หรือแพทย์ ก็เห็นความสำคัญของการฝึกสติ
ถ้าไม่นิมนต์พระไปสอนถึงที่ ก็รวมกันมาที่วัดเพื่อให้ทำคอร์สสอนการฝึกสติให้ อย่างที่นี่ก็มีอยู่เป็นประจำ ทั้งออกไปข้างนอก แล้วก็มีมาสอนให้กับผู้ที่มาปฏิบัติที่วัด
กับโรงเรียนก็เหมือนกัน หลายโรงเรียนก็ให้พระไปแสดงธรรม ไปสอนการเจริญสติ หรือมิฉะนั้นก็พานักเรียนมาที่วัด
อันนี้ก็เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาหลายปีที่ผ่านมา จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่ามีพระมากพอที่จะสอนไหม ข้อจำกัดอยู่ตรงนี้เท่านั้น
และไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทย ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เขามีความเจริญร่ำรวยทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี อย่างเช่น ยุโรป อเมริกา เดี๋ยวนี้การเจริญสติการทำสมาธิก็ได้รับความนิยมมาก
บริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Google แม้เขาจะไม่ได้นิมนต์พระไปสอน แต่ว่าเขาทำกันเองเลย มีจัดคอร์ส แต่เขาไม่เรียกว่าเป็นการเจริญสติหรือทำสมาธิ เขาเรียกว่าเป็นคอร์สที่ให้แสวงหาความสุขภายใน Search Inside Yourself เป็นคอร์สที่ดังมาก แล้วก็ไม่ใช่ทำกันแค่วันสองวัน ทำกันเป็นเดือน คนก็นิยมไปเข้าคอร์สนี้เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ ช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้ชีวิตสดชื่นแจ่มใส
แล้วไม่ใช่แค่จัดคอร์สอย่างเดียว หลายแห่งก็มีห้องให้คนไปทำสมาธิเงียบ ๆ กันเองก็มี บริษัทชั้นนำอย่าง 3M Twitter ซึ่งตอนนี้กลายเป็น X ไปแล้ว ก็มีกิจกรรมทำนองนี้
และไม่ใช่แค่เอกชน มหาวิทยาลัยชั้นนำ อย่าง Harvard คณะธุรกิจเขาก็มีการสอน หรือว่าจัดคอร์สฝึกสมาธิเจริญสติ เพราะเขาเห็นว่ามันมีผลต่อสุขภาพจิตจริง ๆ แล้วก็รวมทั้งสุขภาพกายด้วย
ซึ่งต่างจากเมื่อสัก 40-50 ปีก่อน เห็นว่าสมาธิมันเป็นเรื่องงมงาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะว่ามันมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสาทวิทยา ผลกระทบของสมอง ผลกระทบของสมาธิที่มีต่อสมอง หรือว่าสุขภาพที่ฟื้นฟูดีขึ้น มีข้อมูลรองรับ ไม่ใช่เป็นเรื่องเพ้อฝันแล้ว คนก็เลยเห็นว่าสมาธิหรือการเจริญสติเป็นของดี
เดี๋ยวนี้คำว่า Meditation คำว่าMindfulness มันไม่ใช่เป็นคำที่ห่างไกลจากความเข้าใจของคนแล้ว มันกลายเป็นคำที่คนเข้าใจโดยทั่วไปได้ง่าย จะเห็นว่า คำว่า Mindfulness หรือสติ แม้กระทั่งคำว่า วิปัสสนา ซึ่งเป็นคำบาลีแท้ ๆ แล้วความหมายก็ลึกซึ้ง แต่เดี๋ยวนี้ฝรั่งจำนวนมากก็เข้าใจแล้ว ไม่ต้องแปล
เช่นเดียวกับคำว่า Nibbana หรือ Nirvana (นิรวาณ) ซึ่งหมายถึงนิพพาน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแปลแล้ว ทับศัพท์ลงไปเลย แม้กระทั่งวงดนตรีชื่อดัง ก็เอาคำว่านิพพานหรือนิรวาณ (Nirvana) ไปตั้งเป็นชื่อวง Nirvana แต่คนก็ไม่รู้ว่า Nirvana ก็คือนิพพานนั่นแหละ จะหาวงดนตรีเมืองไทยเอาคำว่านิพพานไปตั้งชื่อวงนั้นหายาก แต่ฝรั่งเขาเห็นว่าเป็นของดี
ฉะนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการเอาการเจริญสติลงไปในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนระดับประถมพบว่ามันก็ช่วยได้เยอะ ช่วยทำให้เด็กมีสมาธิได้มากขึ้น ทำให้เด็กมีความยับยั้งชั่งใจ มีอารมณ์ตั้งมั่นได้ดีขึ้น โดยที่เขาพยายามเลี่ยง ไม่เอาพุทธศาสนาเข้าไปโยงกับการเจริญสติการทำสมาธิ แต่ทำให้ไปเป็นวิธีกลาง ๆ ที่จะเอามาใช้ทั่วไป
ความที่การทำสมาธิ การฝึกสติ เป็นที่นิยมแพร่หลาย ก็เลยทำให้มีสินค้ามากมายออกมาเพื่อรองรับความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ใช้ในการนั่งสมาธิ เบาะที่นั่งสมาธิ หรือว่าระฆัง หรือธูปด้วยซ้ำ ขายดีเลย เพราะว่าพอจะนั่งสมาธิทั้งที มันก็ต้องมีรูปแบบหน่อย
จะใส่เสื้อธรรมดามันก็ดูกระไรอยู่ มันดูไม่เท่ มันต้องใส่เสื้อขาว กางเกงขาว ต้องมีเบาะนั่งพิเศษ เหมือนกับคนที่เล่นโยคะ เดี๋ยวนี้จะเล่นโยคะง่าย ๆ ไม่ได้มันต้องมีเบาะพิเศษ ต้องมีเครื่องแต่งกายพิเศษสำหรับโยคะ
มันกลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าเรียกว่าเป็นหมื่นล้านเลย อันนี้รวมถึงธุรกิจหรือการใช้จ่ายกับการเข้าคอร์ส เขาว่าในเมืองนอกนี่เข้าคอร์สฝึกสมาธิ เจริญสติ เสียเงินและแพงด้วย ไม่ต่างจากการล้างพิษ
จะมาทำฟรี ๆ ในวัดอย่างบ้านเรานี่ ยาก หรือว่าทำฟรีเพราะว่ามีคนสนับสนุน มีผู้บริจาค ก็หายาก ถ้าอยากจะมาฝึกสติก็ต้องมีเงินจ่ายค่าคอร์ส ค่าสถานที่ ค่าอาหาร
แล้วเดี๋ยวนี้มี app เยอะแยะไปหมดเลย จะฝึกสมาธิก็ใช้ app เอา app สำหรับการฝึกสมาธิ การเจริญสติ กว่าจะโหลดมาได้ ก็ต้องใช้เงินเยอะอาจจะนับพันบาท ไม่ใช่ฟรี ๆ ก็เรียกว่ากลายเป็นแฟชั่นเลยก็ว่าได้
แต่แม้จะมีคนพูดถึงประโยชน์ของการฝึกสติมากมาย ระยะหลังมานี้ก็มีข้อมูลอีกด้าน มีรายงาน มีข่าวคราวเกี่ยวกับผลเสียของการฝึกสติ มีบทความ มีหนังสือ ที่บางทีก็ใช้คำที่ดึงดูดใจผู้คนว่าด้านมืดของการฝึกสติซึ่งที่จริงก็หมายถึงผลข้างเคียงของการฝึกสติ การทำสมาธิ ว่ามันไม่ได้ดีไปเสียหมด มันมีข้อเสีย
มีตัวเลขว่า 2 ปีก่อน มีการทำวิจัยกับคนประมาณเกือบ 900 คนที่ทำสมาธิภาวนา หรือฝึกสติเป็นประจำ ปรากฏว่า 10% มีปัญหาทางจิต วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือว่ากลัว หรือว่าแยกตัวหลบหลีกผู้คน อันนี้เขาก็นำมาเปิดเผยว่า การเจริญสติมันไม่ได้ดีอย่างที่ใคร ๆ คิด
เคยมีคนไปศึกษาผลของการฝึกสติในโรงเรียนที่อังกฤษ กับเด็ก 8,000 คน ใน 84 โรงเรียน ใช้เวลา 2 ปี ช่วงตั้งแต่ปี 2559-2561 พบว่า เด็กไม่ได้มีสุขภาพจิตดีขึ้นอย่างที่พูดกันเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม หมายถึงกลุ่มที่ไม่ได้ฝึกสมาธิแต่ให้เขาทำกิจกรรมอื่น
ผลปรากฏว่า ไม่ได้มีความแตกต่างกันระหว่างเด็ก 2 กลุ่มเท่าไหร่ ก็น่าสนใจ ที่ว่าในอังกฤษมีการสอนเด็กให้ทำสมาธิ ฝึกสติ อาจจะมากกว่าในเมืองไทยด้วยซ้ำ เฉพาะในอังกฤษมีโรงเรียน 84 แห่งที่เขาศึกษาเปิดเผยออกมา ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า จริง ๆ การฝึกสติ มันดีจริงหรือเปล่า
เขาไม่ได้อธิบายหรือวิเคราะห์ว่า ผลข้างเคียงที่ว่านี้เกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวล ความซึมเศร้า กระวนกระวาย หรือบางคนถึงกับเกิดเป็นโรคจิตเภท เขาเพียงแต่บอกว่าคนที่มีอาการเหล่านี้ จำนวนมาก ไม่เคยเป็นมาก่อน มาเป็นเอาตอนที่มาฝึกสติ มาทำสมาธิ
ถ้าจะให้เดา ผลที่ว่านี้อาจจะไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็นผลจริงๆเลยก็ได้ ปรากฏออกมาเลย ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ปฏิบัติผิด เพราะว่าเราก็พบได้ทั่วไป เวลาคนที่เจริญสติหรือแม้แต่ทำสมาธิ หากว่าทำผิดแล้ว มันสามารถจะเกิดโทษได้ ฉะนั้นของดีมีประโยชน์ ถ้าทำผิด ก็อย่าทำดีกว่า
เหมือนกับการขับรถ ขับรถมีประโยชน์ พาให้เราไปถึงที่หมายได้เร็ว แต่ถ้าขับไม่เป็น ไม่เป็นนี้ไม่ได้หมายถึงไม่มีทักษะอย่างเดียว หมายถึงอารมณ์ด้วย อารมณ์ที่ไม่เอื้อต่อการฝึก ต่อการขับ อย่าขับดีกว่า เพราะว่าทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
เช่นเดียวกัน การวิ่งเป็นเรื่องที่คนนิยมมาก เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็นิยมวิ่งกัน โดยเฉพาะวิ่งระยะไกล มินิมาราธอน ฮาล์ฟมาราธอน มาราธอน ก็มีข่าวคราวตามมาพร้อมกับการวิ่งที่โน่นที่นี่กันตลอดปี ที่เราจะได้ยินข่าวว่า มี คนที่วิ่งเกิดหัวใจวาย แล้วคนที่หัวใจวายก็ไม่ใช่เป็นนักวิ่งที่เพิ่งเริ่ม วิ่งมานานแล้ว แต่ว่าอยู่ดี ๆ ก็หัวใจวายระหว่างวิ่ง
บางคนก็มีอาการบาดเจ็บ บาดเจ็บนี่เยอะมาก ที่ข้อเท้าด้านหน้า เจ็บข้อ เจ็บเข่า ซึ่งอันนี้เราจะโทษการวิ่งไม่ได้เพราะว่าการวิ่งมันมีประโยชน์อยู่แล้ว หลายคนก็วิ่งเพราะว่ามันช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ แต่ทำไมบางคนวิ่งแล้วกลับหัวใจวาย ก็เพราะว่าไม่รู้ตัวมาก่อนว่ามีความผิดปกติทางหัวใจ ซึ่งที่จริงความผิดปกตินี้ถ้าวิ่งพอประมาณก็ไม่เป็นไร คนที่ลิ้นหัวใจรั่วก็ยังออกกำลังกายได้ แต่ถ้าทำหนักหรือหักโหม มันก็เกิดโทษถึงตายได้
การวิ่งก็เหมือนกัน แม้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพเยอะ สารพัดเลย แต่ถ้าวิ่งเกินกำลังตัวเอง หรือวิ่งผิด เช่น ลงเท้าผิด มันเกิดปัญหามากมาย คนที่ปวดข้อหรือว่าปวดเข่า หรือว่าปวดโน่นปวดนี่ เช่น ปวดข้อเท้าด้านหน้า จำนวนมากเป็นเพราะลงเท้าผิดที่ พอลงไม่เป็นแล้วทำอย่างนี้นาน ๆ วิ่งนาน ๆ ทำบ่อย ๆ มันก็เกิดบาดเจ็บ แล้วพวกนี้รักษายากมาก
เราได้ยินข่าวพวกนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งที่จริงมันก็เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ค่อยเป็นข่าว เพราะว่าคนวิ่งน้อย แต่ตอนหลังคนวิ่งเยอะ คนที่ได้รับผลเสียจากการวิ่งก็เลยมากไปด้วย
อันนี้เป็นธรรมดา ทำอะไรก็ตามที่มีคนทำเยอะ นิยมทำกันแพร่หลาย แต่ว่าทำไม่ถูก มันก็ย่อมเกิดโทษ การฝึกสติก็เหมือนกัน เป็นเพราะทำผิดวิธี จึงเกิดโทษอย่างที่ว่านี้
วิธีที่นิยมทำผิดมาก ๆ คือ การไปจ้องไปเพ่ง จ้องเพ่งที่อวัยวะที่ร่างกาย ที่ลมหายใจ ที่มือ ที่เท้า เพ่งจ้องนาน ๆ หรือมิฉะนั้นพยายามบังคับควบคุมจิตให้นิ่ง ไม่ให้มีความคิด พวกนี้ถ้าทำไปนาน ๆ มันจะเกิดอาการเพี้ยน อย่างต่ำ ๆ ก็ปวดหัวแน่นหน้าอก
เพราะเวลาเราเพ่งนี่ โดยเฉพาะเมื่อมีความคิดแล้วเราหยุด เราห้ามมัน เรามักจะกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เราสังเกตไหม เวลาเราสนเข็มเราจะกลั้นหายใจ เพราะตอนนั้นเราต้องเพ่ง ต้องทำสมาธิ คนที่สนเข็มแล้วไม่กลั้นลมหายใจมีน้อย ส่วนใหญ่กลั้นลมหายใจ แต่ไม่รู้ตัว แล้วมันก็ไม่เกิดโทษ เพราะว่าทำไม่นาน
แต่คนที่จ้องเพ่งที่ร่างกาย หรือไปจ้องดูความคิด เพื่อที่จะตะปบความคิด แล้วความคิดออกมาเรื่อย ๆ ก็เบรกมัน ห้ามมัน ทำอย่างนี้ทุกครั้ง ก็กลั้นลมหายใจทุกครั้ง วันหนึ่งกลั้นลมหายใจสักพันสองพันครั้ง มันก็หน้ามืดแล้ว มันก็เวียนหัว ปวดหัว
แต่อันนี้ยังไม่เท่าไหร่ บางคนนี่เกิดอาการตัวแข็งเลย ทำไปนาน ๆ เพราะอยากจะเอาให้ได้ จะเอาชนะความฟุ้งซ่านให้ได้ พวกนี้ประเภทตั้งใจทำมาก จะเอาให้ได้ จะเอาชนะความคิดฟุ้งซ่านให้ได้ ตัวแข็งเลย
หลวงพ่อคำเขียนเคยเล่าว่า มีโยมคนหนึ่ง ยกมือสร้างจังหวะ ปรากฏว่า มือมันติดที่หน้าอก เอาออกไม่ได้เลย เป็นชั่วโมง ๆ 3-4 ชั่วโมง ต้องมาให้หลวงพ่อแก้อารมณ์ให้ วิธีแก้ก็คือ ทำให้ผ่อนคลาย เลิกเพ่ง มือก็ตกโดยไม่รู้ตัว
บางคนถึงกับมือสั่นเลย อย่างมีหมอคนหนึ่งปฏิบัติมาก ๆ ตั้งใจมาก มือสั่น ห้ามไม่ได้เลย ตอนหลังก็เลยต้องเลิกฉีดยา ต้องเลิกผ่าตัด เพราะมือมันสั่น มาปรึกษาอาตมา อาตมาบอก เลิกปฏิบัติเสีย เพราะที่ปฏิบัติมันผิด
จะให้เลิกปฏิบัตินี้ มันยาก เพราะนิสัยมันเกิดขึ้นแล้ว เหมือนกับว่าจิตมันเพ่งเข้าข้างใน จะให้มันแงะ จะแงะจิตออกมา เป็นกลาง ๆ ไม่ส่งออกนอก แล้วก็ไม่เพ่งเข้าใน มันยาก ใช้เวลาเป็นปี กว่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น แล้วก็กลับไปรักษาคนไข้ได้
บางรายก็มีอาการหงุดหงิด อันนี้ก็เกิดขึ้นบ่อย หงุดหงิดเพราะมันคิดมากเหลือเกิน พระบางรูปถึงกับเอารองเท้าแตะฟาดหัว ไม่รู้ตัวด้วย ถ้าใครมองเข้ามา ก็มองว่าเหมือนคนบ้า อยู่ดี ๆ เอารองเท้าแตะฟาดหัว ในใจก็คิดว่า ทำไมมันคิดมากเหลือเกิน
มีบางคน เป็นผู้หญิงนั่งสมาธิไปได้ 3-4 วันอยู่ดี ๆ ก็เอากำปั้นทุบอกตัวเอง ทั้งสองข้างเลย ทุบอกตัวเองอย่างหนัก เพราะอะไร เพราะว่ามันคิดฟุ้งซ่าน จริง ๆ ฟุ้งซานนี่ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือรังเกียจการฟุ้งซ่าน จึงพยายามไปบังคับ ควบคุมความคิด ควบคุมจิตไม่ให้คิด แล้วพอทำไม่ได้ ก็โกรธ โมโหตัวเอง ทุบอกตัวเอง
คนที่ไม่เจริญสติเขาไม่ทำแบบนี้ แต่ทำไมคนที่เจริญสติถึงทำแบบนี้ อันนี้เขาลืมตัว ว่ามันไม่เป็นไปดั่งใจ แต่เป็นเพราะว่าทำไม่ถูก ทำผิดวิธี ถ้าทำถูกวิธี ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง ไม่ฟุ้งก็รู้ว่าไม่ฟุ้ง แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปบังคับจิต มันจะไปไหนก็ช่างมัน ก็แค่ดูมันเฉย ๆ
เคยมีคนถามหลวงพ่อชาว่า “เวลานั่งสมาธิแล้ว จิตมันฟุ้งเตลิด ภาวนาอย่างไรจึงจะทำให้จิตสงบ” นี่เป็นคำถามหลายคนเช่นกัน หลวงพ่อชาบอก มันเตลิดก็ช่างมัน เดี๋ยวมันขี้เกียจคิด มันก็หยุดคิดไปเอง
ประเด็นคือ ท่านบอกว่า อย่าไปบังคับควบคุมความคิด ก็แค่ดูมันเฉย ๆ อย่างที่ท่านบอก มันฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง มันไม่ฟุ้งก็รู้ว่าไม่ฟุ้ง แค่นั้นเอง ไม่ใช่ไปสู้รบตบมือกับความฟุ้ง แต่ว่านักปฏิบัติจำนวนมากไม่เข้าใจ คิดว่าเจริญสติ จิตมันต้องสงบ พอไม่สงบ ต้องไปบังคับมัน มีความเข้าใจว่าการปฏิบัติ การเจริญสติคือการดับความคิด
หลวงปู่ดูลย์ ท่านเคยพูดว่า ความคิดมันก็เหมือนกับลมหายใจ ห้ามไม่ได้หรอก การปฏิบัตินี่ไม่ใช่เพื่อดับความคิด เอาแค่ว่า พอจิตรับรู้อารมณ์ อารมณ์หมายถึงว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือความคิดที่เกิดขึ้น พอจิตมันปรุงแต่ง ก็ให้รู้ทันมัน เอาแค่นี้ก็พอ ท่านบอกแค่รู้ทันมัน
ท่านบอกว่า อย่าฝันทั้ง ๆ ที่ตื่น ก็คือ อย่าหลงคิดโดยที่ไม่รู้ตัว ความคิดเกิดขึ้นได้ เพราะเราห้ามมันไม่ได้ แต่หน้าที่ของเราคือ รู้ทัน รู้ทันมันก็พอ
ที่จริงครูบาอาจารย์ท่านก็สอนถูก แต่ว่านักปฏิบัติจำนวนมากเอามาใช้ผิด ๆ เพราะว่าพกพาเอาความคาดหวังที่ผิดมาด้วย คือ ปฏิบัตินี่มันต้องไม่มีความคิด ปฏิบัติเพื่อดับความคิด อันนี้เป็นความเข้าใจผิด ไม่ได้เข้าใจว่า ที่จริงแค่รู้ทันมันเท่านั้นเอง อะไรเกิดขึ้นก็รู้
ปฏิบัติผิดอีกอย่างหนึ่ง คือไหลไปตามความคิด ตรงนี้ที่ทำให้หลายคนเกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวลสูง เพราะว่าพอมันคิดถึงเรื่องที่เจ็บปวดในอดีต ก็จมอยู่กับความคิดเหล่านั้น หรือพอกังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ไปจมพะวงอยู่กับเรื่องเหล่านั้น แล้วก็จมไม่เลิก เพราะว่าทั้งวันไม่ได้ทำอะไร
ถ้าเป็นอยู่ที่บ้าน ก็ทำนู่นทำนี่ ระหว่างที่ทำนั่นทำนี่ พูดคุยกับคน มันก็ลืม มันก็วาง เรื่องที่เคยทำให้เจ็บปวด เคยทำให้ทุกข์ แต่พอมาปฏิบัติ มันมีเวลาว่างทั้งวัน
แล้วคนที่ปฏิบัติไม่ถูก ใจก็จะไหลไปในความคิด จมอยู่กับเรื่องราวในอดีต หรือไม่ก็ไปพะวง จมอยู่กับการปรุงแต่งเกี่ยวกับภาพในอนาคต เรื่องงานการ เรื่องการเรียน เรื่องพ่อแม่ เรื่องเจ็บป่วย ฉะนั้นจากที่ไม่เคยกังวลก็เลยกังวลหนัก ที่ไม่ซึมเศร้าก็เลยซึมเศร้าไปเลย
เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญหาทางจิตอยู่แล้ว อาตมาไม่แนะนำให้มาทำสมาธิ หลายคนเป็นโรคซึมเศร้า หลายคนมีลูกซึมเศร้า อยากจะให้มาปฏิบัติ อาตมาบอกว่าอย่าเลย เพราะว่าพอมาแล้ว อาการจะหนักกว่าเดิม
คนไปคิดว่า สมาธิจะช่วยแก้ การเจริญสติจะช่วยแก้ มันแก้ได้สำหรับคนที่พอจะรู้เนื้อรู้ตัวอยู่บ้าง แต่คนที่มีปัญหาอยู่แล้ว ซึมเศร้าอยู่แล้ว หรือว่ามีความเศร้าอย่างหนัก มาทำสมาธินี่จิตจะเพ่งเข้าใน จะจมดิ่งหนักกว่าเดิม แล้วถอนออกมาลำบาก
เคยมีพระรูปหนึ่ง เป็นโรคซึมเศร้า มาบวชกับหลวงพ่อคำเขียน เมื่อ 40 ปีก่อน หลวงพ่อท่านไม่พานั่งสมาธิหรือเจริญสติเลย ท่านพาเดินชมธรรมชาติ แล้วก็ชี้ว่า นี่ต้นอะไร นี่อะไร พยายามชวนให้ทำนู่นทำนี่ แล้วชี้ให้ดูนั่นดูนี่ ตลอดเลย สมัยที่หลวงพ่อยังมีเวลา
สิ่งที่ท่านทำคืออะไร คือชวนให้ส่งจิตออกนอก เพราะว่าจิตมันเพ่งเข้าใน ก็เลยซึมเศร้า ถอนออกมาจากความทรงจำหรือความคิดไม่ได้ ต้องหาทางดึงจิตออกจากความคิด อันนี้เรียกว่าดึงออกมาจากการเพ่งเข้าใน ก็ต้องให้มาสนใจสิ่งข้างนอก จะเรียกว่าส่งจิตออกนอกก็ได้
คนที่มีปัญหาแบบนี้ ต้องส่งจิตออกนอกบ่อย ๆ มันถึงจะหาย เพราะฉะนั้นแทนที่จะมานั่งสมาธิ ก็ควรทำนั่นทำนี่ ปลูกต้นไม้ วาดรูป แกะสลัก ถักโครเชต์ หรือมีทำกิจกรรมกับคนทั่วไป อันนี้ก็คือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเวลาทำผิด
และที่ทำผิดอีกอย่างหนึ่ง คือติดสงบ อันนี้อาจจะดูเหมือนทำถูก จิตสงบ พอสงบแล้วติด พอติดแล้วกลายเป็นหงุดหงิดง่าย หงุดหงิดง่ายเวลาไม่ได้ทำสมาธิจะหงุดหงิดมาก
คนที่เข้าคอร์ส ใจสงบมาก พอเวลากลับไปบ้าน หงุดหงิดหัวเสีย ชอบต่อว่าลูก บ่นกับคนที่บ้าน จนคนที่บ้านรู้เลย เวลาพ่อแม่ออกมาจากคอร์ส ก็เตรียมรับมือได้เลยเพราะงานจะเข้าแล้ว หลายคนเป็นอย่างนี้ยิ่งปฏิบัติ ทำสมาธิแล้ว กลับเป็นคนที่หงุดหงิดเจ้าอารมณ์หัวเสียง่ายเพราะติดสงบ
พอเจออะไรที่ไม่สงบ ไม่ถูกใจ ก็จะโกรธ โมโห หรือไม่ก็สติแตก สติแตกคืออย่างที่พูดไป เอารองเท้าแตะตีหัวตัวเอง หรือเอามือทุบอกตัวเอง พวกนี้เป็นพวกอยากจะได้ความสงบ พอไม่ได้ก็เลยสติแตก
ติดสงบอีกแบบหนึ่ง ก็คือไม่อยากทำอะไร หลวงพ่อคำเขียนท่านเล่าว่าเคยฝึกสมถะมา สงบมากเลย ไม่อยากทำงาน ไม่อยากออกไปข้างนอกเลย อยากอยู่แต่ในบ้าน กว่าท่านจะรู้ว่าอันนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ก็ต้องใช้เวลา มาเจอหลวงพ่อเทียนถึงเข้าใจว่าอันนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
แล้วพอติดสงบมาก ๆ มันก็จะหลีกผู้คน เก็บตัว ไม่อยากเจอหน้าผู้คน เพราะเจอคนแล้วมีปัญหา เลยไม่อยากเจอคน พูดคุยแล้วทำให้จิตฟุ้งซ่าน เลยไม่อยากเจอคน ทำงานก็ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ไม่สงบ เลยไม่อยากทำงาน
อันนี้ก็คือข้อเสียของการฝึกสติที่ไม่ถูกวิธี หรือการทำสมาธิไม่ถูกวิธี ถ้าทำถูกวิธี มันคนละเรื่องเลย อันที่เขาพูดมาว่ามันมีผลข้างเคียง โรคหวาดระแวง โรควิตกกังวล ซึมเศร้า พวกนี้นี่น่าเชื่อได้ว่าเป็นเพราะทำผิดวิธี
และยิ่งใช้ app ในการเจริญสติ ยิ่งมีโอกาสที่จะผิดมาก เพราะไม่มีผู้รู้คอยเตือน การฝึกสติมันต้องมีผู้รู้ ครูบาอาจารย์ คอยแนะนำ ไม่เช่นนั้นทำผิดได้ง่าย แล้วบางคนพอทำสมาธิมาก ๆ เกิดภาพหลอน เพี้ยนไปเลย เกิดวิปัสสนูก็เยอะ
สมัยที่หลวงพ่อเทียนสอนที่วัดสนามใน มีพระที่วิปัสสนูเยอะมาก วิปัสสนูก็คือเพี้ยนนั่นเอง กว่าจะออกจากอารมณ์วิปัสสนูได้ ใช้เวลานานมาก
อันนี้จะไปโทษการทำสมาธิไม่ได้ หรือโทษการเจริญสติไม่ได้ เพราะถ้าทำถูก มันไม่เกิดเรื่องแบบนี้ แต่ที่เกิดเหตุแบบนี้เพราะทำผิด บางคนนี่ฆ่าตัวตายโดดตึกเลยเพราะว่าเจอภาพหลอนจากการทำสมาธิผิดวิธี
ที่เขาท้วงมานี่ ถูกแล้ว ที่เขาว่าการฝึกสติมันก็มีข้อเสีย แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นข้อเสียที่เกิดจากการทำผิดวิธี ไม่ใช่เพราะทำถูกวิธี เพราะถ้าทำถูกวิธีแล้ว ข้อเสียที่ว่านั้นมันเกิดน้อยมาก หรือไม่เกิดขึ้นเลย.