พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 17 กันยายน 2567
มีผู้ชายคนหนึ่งเล่าว่า วันหนึ่งขณะที่ขับรถผ่านอุทยานแห่งชาติ จู่ๆ ก็เจอหมีตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันนั่งอยู่ข้างทาง พอรถมา หมีตัวนั้นก็ยกมือ เหมือนกับจะโบกมือ ชายคนนั้นเห็นก็ประหลาดใจแล้วก็ทึ่งด้วย
หมีตัวนี้เขาเป็นมิตรดี รู้จักโบกมือให้กับคนที่ผ่านไปผ่านมา พอเห็นว่าหมีตัวนี้เป็นมิตร เขาก็เลยจอดรถข้างทาง ก็คงจะคิดว่าไปถ่ายรูปหรือเซลฟี่กับหมีตัวนี้ดีกว่า แต่พอเขาลงจากรถ หมีตัวนี้ก็เดินนำเขาไปเลย ไม่รอการทักทายจากเขา
เขาก็สงสัยว่าหมีตัวนี้มันคงจะมีอะไรบางอย่าง อาจจะอยากพาเขาไปที่ไหนสักแห่ง เขาก็เลยเดินตามหลังหมีตัวนี้ไป แต่ก็เดินห่างๆ เพราะไม่แน่ใจว่าหมีตัวนี้จะมาไม้ไหน เดินไปได้สักพักหมีก็จะหันหลังมาดู ว่าเขาเดินตามมาหรือเปล่า แล้วก็หยุด รอสักพักจนกว่าเขาจะเดินเข้ามาใกล้ หมีก็เดินต่อ
จนกระทั่งไปถึงถนนเล็กๆ เส้นหนึ่งที่มันแยกออกจากถนนใหญ่ หมีก็เข้าไปในถนนเส้นนั้น เขาก็เดินตาม ไปไม่ไกล ก็รู้เลยว่าทำไมหมีตัวนั้นจึงมีพฤติกรรมแบบนี้ เพราะว่าข้างทางมีลูกหมีตัวหนึ่ง หัวมันอยู่ในขวดน้ำพลาสติก ก็ขวดใหญ่เหมือนกัน
ปากขวดก็ใหญ่ หมีตัวเล็กก็เลยเอาหัวลอดเข้าไปได้ แต่พอลอดเข้าไปแล้วเอาออกมาไม่ได้ มันแน่นมาก ชายคนนั้นก็เลยรู้เลยว่าหมีตัวใหญ่คงเป็นแม่ อยากให้เขาช่วยเหลือลูก ช่วยนี้ไม่ยากเลย เพียงแต่เอามือจับก้นขวดพลาสติก แล้วก็ดึงออกมา เท่านี้หัวหมีตัวน้อยก็หลุดจากขวดพลาสติกได้แล้ว ก็เป็นอิสระ มันดีใจมากเลย
แล้วยังมีเรื่องเล่าต่อว่า ตอนหลังหมี 2 ตัวนี้ก็มาเยี่ยมที่บ้านเขา มาเฝ้าบ้านตอนกลางคืน เขาก็ให้อาหารกับหมีสองแม่ลูก มันก็ตอบแทนเขาด้วย หาของมา หาผลไม้มาให้เขาที่บ้าน มันคงสังเกตว่า ชายคนนี้ซึ่งบ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากป่าคงมีน้ำใจ เพราะฉะนั้นตอนที่ลูกมีปัญหาก็เลยหวังพึ่งผู้ชายคนนี้ แล้วก็ไม่ผิดหวัง
มันมีเรื่องทำนองนี้คล้ายๆ กัน เป็นหมาจิ้งจอก ธรรมชาติของมันกลัวคนมากเลย แต่หมาตัวนี้มันยืนอยู่ริมถนนทางที่จะผ่านอุทยาน คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็หยุดรถ เพราะว่ามันไม่ค่อยง่าย หรือไม่ค่อยมีที่หมาป่าจะโผล่ออกมาจากในป่าเพื่อมาอยู่ใกล้คน
พอเขาลงจากรถเท่านั้นแหละ หมาป่าตัวนี้ก็รีบวิ่งเข้าไปในป่าเลย คล้ายๆ กับจะเชิญชวนเขาให้เข้าไปข้างในด้วย เขาก็ระวังเพราะไม่รู้ว่ามีฝูงหมาป่านี้รออยู่หรือเปล่า แต่ก็เดินไปเพราะคิดว่าหมาคงต้องการความช่วยเหลือ เพราะเดี๋ยวนี้จะพบว่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในป่า หรือว่าสัตว์ในน้ำ เช่น โลมา ปลาวาฬ จะมีพฤติกรรมคล้ายกันคือต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์
ชายคนนี้ก็คิดว่าหมาตัวนี้ก็คงจะมีปัญหาเหมือนกัน เขาตามมันไป เข้าไปไม่ลึกปรากฏว่าไปเจอลูกหมาป่า ขาของมันข้างหนึ่งถูกกับดักหนีบเอาไว้ มันก็ร้อง ร้องอย่างเจ็บปวดด้วย แต่ดีที่มันยอมให้คนเข้าไปใกล้ๆ พอคนเข้าไปถึงจุดที่มันเดือดร้อน เขาก็เพียงแต่เอามือดึงกับดักที่มันบีบรัดขาของลูกหมาป่า กับดักก็เปิดอ้าแล้ว
ขาของมันก็เป็นอิสระ สามารถวิ่งได้ แม้จะมีบาดแผล มันหนีไปสักพัก ก็หันกลับมามองคนที่ช่วยมัน ทั้งแม่ทั้งลูก ด้วยความรู้สึกขอบคุณ
เรื่องแบบนี้มันสะท้อนอะไรหลายอย่าง สะท้อนถึงความรักที่แม่มีต่อลูก ความกล้าของแม่ที่เข้าหาคน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะธรรมชาติของสัตว์ป่าก็กลัวคนอยู่แล้ว แต่ว่าพวกนี้คงจะมีความฉลาด รู้ว่าคงมีคนที่มีน้ำใจ
จริงๆปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหมีและลูกหมาป่า ตัวแม่ก็รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ทำไม่ได้ แม่หมีก็รู้ ว่าถ้าเพียงแต่เอาขวดพลาสติกออกจากหัวของลูกหมี ลูกหมีก็เป็นอิสระปลอดภัย ถ้าเพียงแต่ว่าเอากับดักที่มันหนีบขาลูกหมาป่าง้างออก มันก็เป็นอิสระ
มันพอจะรู้ แต่มันทำไม่ได้ เพราะอะไร สิ่งหนึ่งที่มันไม่มีเหมือนคนก็คือ ไม่มีมือ คนเป็นสัตว์ชนิดเดียวก็ว่าได้ที่มีมือที่ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง แม้แต่ลิงก็ยังทำไม่ได้ มือของคนเรานี้สามารถจะหยิบจับฉวยอะไรต่ออะไรได้เยอะแยะ ทำอะไรได้ประณีตสารพัดที่สัตว์ชนิดอื่นๆ ทำไม่ได้ สัตว์ส่วนใหญ่มีแต่ขาแต่ไม่มีมือ
คนเราก็เคยมีขาทั้ง 4 ข้างเลย แต่ตอนหลังขาหน้าก็กลายเป็นมือเป็นแขน แล้วเราก็พัฒนาสมรรถนะของมือให้ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง โดยเฉพาะการจับ ฉวย หรือว่าจับเครื่องไม้เครื่องมือ การที่มนุษย์เรามีมือที่สามารถจับอะไรได้ตั้งหลายอย่าง แล้วจับได้อย่างเหนียวแน่น
มือเราช่วยแก้ปัญหาอะไรต่ออะไรมากมาย ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราหิวน้ำ เราก็เพียงแต่เอามือนี้จับขวดน้ำ เทใส่แก้ว หยิบแก้วขึ้นมากิน เวลาเราจะทำอาหาร เราก็ใช้มือนี้จับมีด หรือว่าปังตอ หั่นผักหั่นเนื้อ เวลาเก้าอี้พัง เราก็ใช้มือจับเครื่องไม้เครื่องมือ แล้วก็ซ่อมเก้าอี้ ความสามารถของมือเราในการจับ ในการยึด ในการฉวย มันช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับเราได้เยอะเลย
แต่ว่าพอเป็นเรื่องวาง มือกลับสร้างปัญหาให้กับเราได้มากเลย มือเราใช้มือจับอะไรเพื่อแก้ปัญหาเยอะ แต่การวางนี่มันสร้างปัญหาให้กับเราหลายอย่าง หลายคนจะพบว่ามีปัญหา หาของไม่เจอเพราะวางไม่เป็นที่ เพิ่งใช้ปากกาหยก ๆ ไม่รู้ตอนนี้ปากกาหายไปไหนแล้ว ไม่รู้วางไว้ตรงไหน
เราเสียเวลามากในการหาของ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจับ เพิ่งฉวย เพิ่งใช้เมื่อไม่นาน แล้วก็เพิ่งวางเมื่อสักครู่นี้เอง ไม่ว่าจะเป็นปากกา นาฬิกา กุญแจ กระเป๋าเงิน แว่นตา รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ คนเราทุกวันนี้เสียเวลามากในการหาของ ทั้งที่เพิ่งจับเพิ่งฉวย แต่พอเวลาวางนี้ไม่รู้วางไว้ไหน เพราะอะไร เพราะว่าตอนที่เราวาง เราไม่รู้ตัว
การจับการฉวยของคนเรานี่เราจับด้วยเจตนา ไม่ว่าจะจับดินสอ จับแปรงสีฟัน จับถ้วย จับแก้ว แต่พอเวลาวางนี้เรามักจะทำโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาจะใช้ หาไม่เจอ เสียเวลาหานานมาก ไม่ว่าของเล็กหรือของใหญ่ นี่เป็นเรื่องของมือของเราซึ่งเป็นเรื่องของกาย
ใจของเรา ก็มีความสามารถในการจับ การฉวย ขณะที่มือมันสร้างปัญหาให้กับเรา เพราะว่าวางของไม่เป็นที่ วางอะไรโดยไม่รู้ตัว แต่ใจของเรามันตรงข้าม ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรา มันเกิดจากการที่ใจไปจับ ไปฉวย ไปยึด ไปแบกอะไรสารพัดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วพอจับแล้วก็ยึดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
เวลาเราเดินจงกรมสังเกตไหม มันมีความคิดอะไรผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาไม่เท่าไร จิตก็คว้าหมับเข้าไปเลย แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับความคิดนั้น ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องดีเลย อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสูญเสีย สูญเสียคนรัก อกหัก หรือว่าสูญเสียของ บางทีก็ไปฉวย ไปจับ ไปยึด คำต่อว่าด่าทอที่บางคนพ่นใส่หน้าเราหรือบางทีก็นินทาเราลับหลัง เราได้ยินก็เก็บเอามาคิด เอามาทิ่มแทงจิตใจของเรา ทั้ง ๆ ที่ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว
เรื่องบางอย่างยังไม่เกิดขึ้น แค่นึกเอาว่าอาจจะเกิดขึ้น เช่น ไปตรวจสุขภาพ หมอนัดอีก 4 วันมาฟังผล ก็คิดแล้วว่าอาจจะมีเนื้อร้ายเกิดขึ้น มีมะเร็งก็ได้ เท่านี้แหละเป็นแค่ความคิด ทั้งที่เป็นแค่ความคิด แต่ก็ไปยึด เอามาปรุงสารพัดเลย จนนอนไม่หลับ
เรื่องที่เราเครียด เรื่องที่เราวิตกกังวล ทั้งที่มันไม่ใช่เป็นเรื่องดีสักเรื่องเลย ก็เก็บมาคิดจนจิตใจเหี่ยวเฉา กินไม่ได้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ทั้งๆ ที่พอถึงเวลาปรากฏว่าสิ่งที่กังวลไว้ไม่เกิดขึ้น ไปรับฟังผลตรวจสุขภาพ หมอบอกไม่มีอะไร ปกติ ยิ้มเลย แต่ว่า 3 หรือ 4 วันก่อนหน้านั้นเหมือนกับตกนรกเพราะอะไร เพราะใจที่มันจับไปฉวยไปยึดความคิดต่างๆ แล้วเอามาทิ่มแทงจิตใจของตัวเอง
ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่ผ่านไป แล้วหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แม้กระทั่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเราในปัจจุบัน เช่น เสียงดังเราไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงริงโทนที่ดังในศาลา เราไม่ชอบ แต่ใจนี้กลับเข้าไปยึด เข้าไปจดจ้อง จดจ่อ จับฉวย เสร็จแล้วใครทุกข์ เราก็ทุกข์เอง
ใจของเรานี้มันชอบจับชอบฉวย รวมทั้งการไปยึดว่าเป็นของเรา ของเรา เดินจงกรมใกล้ๆ หอไตร โอ้ มุมนี้ดี สงบ เดินไปได้สัก 2-3 ชั่วโมงก็ได้เวลากินข้าวเที่ยง พอกินข้าวเที่ยงพักผ่อนที่กุฏิ สักพักกลับมาที่ทางจงกรมทางนั้น ปรากฏว่ามีคนมาใช้ไปเสียแล้ว โมโห ในใจนึกว่านี่ทางของฉัน มาแย่งทางของฉันไปได้ยังไง
ถามว่ามันเป็นทางของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ มันก็เป็นของวัด เป็นของส่วนรวม แต่ใจมันไปยึดว่าของกู ของกู ทั้งที่เพิ่งใช้ไม่นาน หรือเวลาเราไปฟังบรรยายในห้องประชุม คนแน่นเลย แต่มีเก้าอี้ว่าง ดีใจ เราก็ไปนั่ง นั่งสักพักก็อยากจะเข้าห้องน้ำ พอเข้าห้องน้ำกลับมา ที่นั่งนั้นมีคนอื่นนั่งไปเรียบร้อยแล้ว โมโห บางทีไปบอกเขา ลุกนะ นี่มันที่นั่งของฉันนะ มานั่งที่นั่งของฉันได้ยังไง เป็นที่นั่งของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะใจก็ไปยึดแล้ว
ใจของเรานี้มันชอบยึดมาก ยึดว่าเป็นของกู ๆ แม้กระทั่งความคิดและอารมณ์ที่มันเป็นอกุศล ความโกรธ ความเศร้า ก็ยังฉวยยังยึดเลย ความโกรธเป็นของกู กูเป็นผู้โกรธ ความเศร้าเป็นของกู กูเป็นผู้เศร้า ยึดแม้กระทั่งความเจ็บ ความปวด ความเมื่อย ทั้งที่มันไม่น่ายึดเลย แต่ทำไมถึงไปยึด ก็เพราะความไม่รู้ตัว
ความไม่รู้ตัวนี้มันทำให้เรายึดตะพึดตะพือเลย แล้วสิ่งที่ยึดนี่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีเท่าไร เพราะว่ามันนำมาซึ่งความทุกข์
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้เนื้อรู้ตัว การวางมันจะง่าย มันเหมือนกับคนที่พบว่าไฟไหม้บ้าน ไฟไหม้ที่จริงอาจจะยังไม่ได้ไหม้ทันที แต่มันลามมา แล้วเร็วมากเลย บางคนถึงกับไปแบกเอาโต๊ะ เอาเฟอร์นิเจอร์ เอาเก้าอี้ แบกหนีไฟ ที่จริงมีอะไรที่น่าแบกกว่านั้นเยอะ แล้วเบากว่าด้วย แต่ความตกใจ มันก็เลยแบกของใกล้ตัว
ทั้งที่โต๊ะหนักก็ยังแบก แล้วตอนที่แบกมันไม่รู้ตัวเลยว่าหนัก แต่ว่าพอแบกไปได้สักพัก ไกลจากเพลิงที่เผาผลาญแล้ว รู้สึกปลอดภัยแล้ว ความรู้สึกตัวกลับมา ก็เลยรู้ว่ากำลังแบกโต๊ะอยู่ ทันทีที่รู้ตัวนี่ เราทำยังไง เราวางเลย
คนเราขณะที่ร่างกายมันชอบวาง จนกระทั่งเกิดปัญหาว่าหาของไม่เจอ เพราะวางไม่เป็นที่ แต่ใจนี้มันตรงข้าม มันชอบแบกชอบยึด ทั้งที่การแบกการยึดมันสร้างความทุกข์ แม้แต่คำต่อว่าด่าทอ ซึ่งบางทีมันเหมือนกับเศษแก้ว เศษตะปู หรือว่าใบมีดโกน ทั้งที่มันไม่ดีเราก็ไปยึดเอาไว้ ไปเก็บเอาไว้
จะว่าไปแล้วใบมีดโกนหรือว่าเศษแก้ว ถ้ามันอยู่ในมือเราเฉยๆ มันไม่เป็นอะไร แต่ว่าสิ่งที่คนเรามักจะทำก็คือไปบีบ กำให้แน่นๆ แล้วก็บีบๆ มันก็เจ็บ ใบมีดโกนก็เฉือนมือ เศษแก้วก็แทงมือจนมีแผล แล้วเราก็โทษเศษแก้ว ใบมีดโกนนั้น ว่าทำให้เราเจ็บ เราปวด แต่ที่จริงเป็นเพราะเราไปบีบมันต่างหาก มันเริ่มตั้งแต่เราไปหยิบมันมาจากพื้นแล้ว
หรือบางทีหยิบมาจากปากเขา หยิบมาไม่พอยังมาบีบ ยังเอามากำไว้แน่นแล้วบีบ พอเจ็บก็บอกว่านี่เป็นเพราะคำพูดของเขา แต่ไม่ได้พิจารณาเลยว่าเป็นเพราะเราไปเก็บ ไปแบก ไปถือ เอาคำของเขามาทำร้ายจิตใจเรา ถ้าไม่ไปเก็บ ถ้าไม่ไปกำ ไม่บีบ มันก็ไม่เจ็บ
เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าสอนพระนันทิยะ พระนันทิยะภายหลังท่านได้เป็นพระอรหันต์ พระนันทิยะท่านได้เล่าถึงคำสอนพระพุทธเจ้าให้องคุลิมาลซึ่งเพิ่งบวชฟังเมื่อองคุลีมาลถามว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าสอนอะไรท่านบ้าง
พระนันทิยะบอกว่าพระองค์สอนว่าอารมณ์ใดที่พอใจหรืออารมณ์ใดที่ไม่พอใจก็ตาม จงปล่อยวางไว้เป็นกอง ๆ ณ ที่นั้น อย่าแบกหรืออย่าเอาติดมาด้วย เขาด่าว่าเราบนบก ก็ให้กองคำด่าว่านั้นวางไว้บนบกอย่าเอาติดตัวลงน้ำ เขาด่าว่าเราในน้ำก็ให้กองหรือวางคำด่าว่านั้นลงในน้ำอย่าเอาติดตัวขึ้นบก เขาด่าว่าเราที่สาวัตถี ก็วางคำด่าว่านั้นไว้ตรงนั้นอย่าเก็บหรือเอาติดตัวมาที่เชตวันด้วย
อันนี้เป็นคำสอนที่เป็นรูปธรรมมาก คือว่าไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม ให้วางอย่าแบก หรือถ้าเผลอแบกไปแล้ว ก็ให้รู้จักปล่อย รู้จักวางเร็ว ๆ
ปัญหาที่เกิดจากการวางด้วยมือเป็นเพราะเราวางโดยไม่รู้ตัว ส่วนปัญหาที่เกิดจากใจของเรามันเกิดจากใจที่ชอบไปยึดโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าเผลอยึด หรือยึดโดยไม่รู้ตัว
แต่ถ้าเรารู้ตัวเมื่อไหร่ มันจะวาง เหมือนกับที่ยกตัวอย่างคนที่แบกโต๊ะหนีไฟ ไม่รู้ตัว ทั้งที่มันหนัก แต่พอรู้สึกตัว หรือรู้ตัวขึ้นมาว่ากำลังทำอะไรอยู่ มันวางเลย ไม่ต้องมีใครบอก
เช่นเดียวกัน ถ้าเราตระหนักชัดว่า ความทุกข์ใจมันเกิดจากการที่ใจชอบยึด ชอบแบก ชอบถือ และเป็นไปเพราะความเผลอความหลง เมื่อใดก็ตามที่เรารู้ตัวหรือรู้สึกตัวขึ้นมา มันจะวางได้เอง
ดังนั้นที่เรามาฝึกสตินี้ ก็ฝึกเพื่อให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัวได้ไว ๆ แล้วถ้าเรามีความรู้สึกตัวได้ไว ที่เคยแบกไว้ด้วยความหลง แล้วก็ทุกข์เพราะมัน เราก็จะวางมันลงได้ง่าย และต่อไปยังไม่ทันจะแบกเลย ยังไม่ทันจะถือเลย ก็ถอยห่างแล้ว
ส่วนใหญ่เวลาเราพูดถึงการปล่อยการวาง เราพูดถึงเมื่อไปแบกแล้วจึงต้องวาง หรือจึงควรวาง แต่จะให้ดีนี้ก็อย่าเพิ่งไปแบก อย่าเพิ่งไปถือมันเลย อันนี้ก็เพราะมีสติหรือตาใน สัมมาสติอย่างที่เคยพูดไว้ เห็นอารมณ์ที่เป็นอกุศล รู้ว่ามันเป็นโทษ ก็ไม่เข้าไปใกล้
เหมือนกับเห็นกองไฟ เมื่อเรารู้ว่ากองไฟมันร้อน เราก็มีแต่จะถอยห่าง แต่ว่าบางคนไม่รู้ ส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็เข้าไปใกล้ ๆ แล้วก็บ่นว่าร้อน มันร้อน บางทีไม่ได้เข้าใกล้ โจนเข้าไปในกองไฟเลย แล้วก็บอกว่าร้อน หรือว่าทุกข์เหลือเกินๆ ไปโทษกองไฟ แต่ว่าไม่ได้ถามว่าแล้วโดดเข้าไปในกองไฟไปทำไม หรือเข้าไปใกล้กองไฟทำไม
นี้คือสิ่งที่เราทำกับอารมณ์ มีความโกรธมีความทุกข์ มีความโศกมีความเศร้า ก็เข้าไปยึด ยึดไม่พอ หวงแหนด้วย หวงแหนความโกรธ หวงแหนความเศร้า ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แล้วบางทีอยากจะปล่อย แต่ปล่อยไม่ได้ เหมือนกับคนที่บอกว่านอนไม่หลับๆ เพราะคิดเยอะ แต่มันหยุดคิดไม่ได้
ที่มันหยุดคิดไม่ได้เพราะว่าไม่มีสติ ไม่มีสติที่เร็วหรือไวพอ มันได้แต่คิด มันได้แต่ต้องการ อยากจะวาง แต่วางไม่ได้ ถ้าเราฝึกสติ มีสติที่ไว มีความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง พอรู้ตัวเท่านั้นแหละมันวางเลย
แล้วการฝึกสติ การทำความรู้สึกตัวนี้ จริงๆ นอกจากการเจริญสติในรูปแบบแล้ว เราสามารถฝึกในชีวิตประจำวันก็ได้ เวลาเราวางของให้วางอย่างมีสติ วางด้วยความรู้สึกตัว วันๆ หนึ่งเราวางของเป็น 100 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นช้อน ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ขัน เสื้อผ้า ถ้าเราฝึกสติ เริ่มจากการรู้จักวางของอย่างมีสติ อย่างมีความรู้สึกตัว ทำได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าใจได้พัฒนาแล้ว
ถ้าเราฝึกวางของด้วยมืออย่างมีสติ มันก็ช่วยทำให้ใจเรานี้ไม่เผลอยึดอะไรง่ายๆ หรือไม่เผลอยึดด้วยความหลง มันสัมพันธ์กัน ฝึกมือให้รู้จักวางของอย่างมีสติ มีความรู้สึกตัว มันก็จะเป็นการฝึกใจไม่ให้ไปยึดด้วยความหลง ด้วยความเผลอ และนั่นก็ทำให้ใจเราไม่ทุกข์ ไม่ถูกบีบคั้นด้วยอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นอกุศล.