พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 15 กันยายน 2567
ที่นี่เรามีกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน เช่น ทำวัตรเช้าตี 4 หลังจากนั้นก็ฟังธรรม 6 โมงเช้าพระก็ไปบิณฑบาต ประมาณ 7 โมงครึ่งก็เป็นเวลาฉันอาหารเช้า หลังจากนั้นก็เป็นกิจวัตรของแต่ละคนที่จะจัดสรรให้กับชีวิตและการปฏิบัติของตน
บางคนก็ปฏิบัติทั้งเช้าตามด้วยบ่าย อาจจะมีการทำกิจส่วนร่วม บ่ายสามทำความสะอาดศาลา เสร็จแล้วก็ทำกิจส่วนตัว อาบน้ำชำระร่างกาย 6 โมงเย็นเราก็มาทำวัตรเย็น ฟังธรรมกัน จากนั้น 1 ทุ่มไปเราก็ทำกิจส่วนตัว จะเป็นการภาวนาหรือการศึกษาข้อธรรม
แล้วก็มีกิจวัตรประจำวันที่แน่นอนอย่างนี้มาไม่ใช่เป็นเดือนเป็นปี หลายปีแล้ว ยังไม่นับที่มีวันสำคัญที่เราพร้อมเพรียงกันทำหรือเข้าร่วม เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา จะเป็นวันใดเราก็รู้ รวมทั้งวันทางโลก ก็มีการกำหนดนัดหมายอย่างแน่นอน 1 มกราคม วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ก็ 13 เมษายน เป็นต้น
ชีวิตของเราที่เรียกว่ามีความแน่นอนในเรื่องของกิจวัตร เรื่องของการทำภารกิจต่าง ๆ นอกจากนั้นเรายังพบว่า หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรา มันจัดการได้ ควบคุมได้ อยากกินอะไรสั่ง ก็ได้กินอย่างนั้น
ตั้งใจจะทำอะไรก็ได้อย่างที่คิด ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน กวาดลานวัด ทำอาหาร ทำครัว อยากทำไข่ดาวไข่เจียว ก็ได้ไข่ดาวไข่เจียว อยากทำกะเพราไก่ก็ได้กะเพราไก่ ยิ่งถ้ามีความสามารถ มีความจัดเจน อยากทำอะไรก็ได้อย่างนั้นที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแม่ครัว พ่อครัว หรือว่าช่างไม้ ต่อเฟอร์นิเจอร์ ทำเก้าอี้ สร้างบ้าน ทำประตูหน้าต่าง ก็วางแผนไว้ในใจอย่างไร มันก็ทำได้อย่างนั้นตามที่คิด
นี่คือวิถีชีวิตของผู้คนสมัยนี้ซึ่งทำให้เรามีความเชื่อว่า ชีวิตนี้มันจัดการได้ สิ่งแวดล้อมจัดการได้ แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป คนที่เป็นชาวสวนตั้งใจจะปลูกต้นไม้ชนิดใด บ่อยครั้งมันก็ไม่ออกมาอย่างที่หวัง ต้นไม้ตาย หรือออกดอกออกผลก็ไม่ได้อย่างที่หวัง เพราะว่าเพลี้ยแมลงมากินบ้างล่ะ หรือว่าน้ำท่วม ฝนแล้งบ้างล่ะ สั่งอะไรไปบางทีก็ไม่ได้อย่างที่คิด ซื้อของทางออนไลน์ปรากฏว่าของที่ได้ไม่ตรงปก
อันนี้รวมไปถึงความไม่แน่นอนที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตของเราหลายอย่าง ซึ่งถ้าเราสังเกตดูก็จะพบว่า ที่เราคิดว่าอะไร ๆ มันแน่นอน มันมีหลายอย่างที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ที่เห็นได้ชัดก็คือกีฬาเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้เราเห็นว่ามันไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย
เคยดูการแข่งขันบาสเกตบอลชิงแชมป์ระดับประเทศของอเมริกา จริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูเพราะว่าไม่ใช่เป็นคนที่ชอบดูบาสเกตบอล แต่ว่าเพื่อนอเมริกันเป็นแฟนเหนียวแน่น เปิดดูติดตามการถ่ายทอดสด ก็เลยดูกับเขาบ้าง
เกมก็ตื่นเต้นเร้าใจเพราะว่าสูสีกันมาก ระหว่างทีม A กับทีม B ชนะกันหรือนำกันก็แค่ประมาณ 2 คะแนนหรือว่า 1 คะแนนเท่านั้นแหละ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ผลัดกันนำผลัดกันตาม
จนกระทั่ง 2 นาทีสุดท้ายปรากฏว่า ทีม A นำทีม B ไป 1 คะแนน อาจจะประเภทว่า 82 กับ 81 ทำนองนี้ ทีม B ฝ่ายตาม ทำอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะยิงลูกเข้าห่วงได้ เพราะถ้าเข้าห่วงได้นี่ก็ชนะเลยแค่ 1 คะแนน แต่ว่าทีม A ก็พยายามป้องกัน ปัดป้อง
จนถึงตอนนี้ใกล้จะหมดเวลา เราก็เชื่อว่าทีม A ชนะแน่ เพราะว่า ทีม B ไม่สามารถที่จะทำคะแนนได้เลย เป็นเช่นนี้จนกระทั่ง 2 วินาทีสุดท้าย ทีม A ทำลูกออก ทีม B ก็ได้โอกาสที่จะส่งลูกเข้ามาจากขอบสนาม เวลา 2 วินาทีมันจะทำอะไรได้ ปรากฏว่าโค้ชทีม B ขอเวลานอก
พอครบที่ขอเวลานอกก็เริ่มเล่นต่อ ทีม B ส่งลูกจากขอบสนามเข้ามาให้เพื่อน ในเวลาแค่ไม่ถึงวินาทีเพื่อนก็ชู้ตเข้าห่วงไป ทีม B ชนะ 1 คะแนน ชนะในช่วง 2 วินาทีสุดท้าย เรียกว่าคนที่ติดตามมาโดยตลอดคิดว่าทีม A ชนะแน่เพราะว่านำมาจนกระทั่ง 2 วินาทีสุดท้าย
แบบนี้เราเจอบ่อย ฟุตบอลก็เหมือนกัน ทีมที่นำมาตลอด 1-0 จนกระทั่ง 90 นาทีก็ยังนำอยู่ แต่พอทดเวลาไป 2 นาทีก็ปรากฏว่าแพ้ เพราะโดนยิงไป 2 ประตู มันชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนเลย เวลาเราเห็นแบบนี้เราคิดว่า A ชนะแน่ หรือว่าทีม ก. ชนะแน่ เพราะว่านำมา 1-0 ตลอดจน 90 นาที
แต่จริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา กรรมการยังไม่เป่านกหวีด อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เวลาพูดว่าแน่นอน ในเมื่อมันยังไม่ยุติ กรรมการยังไม่เป่านกหวีด เราก็พูดได้แค่ว่า แน่นอน 99% แต่หลายคนฟันธงไปเลยว่ามันแน่นอน 100% ทั้ง ๆ ที่การแข่งขันยังไม่ยุติ สุดท้ายก็หน้าแตกเพราะว่ากีฬามันพลิกผันไปอย่างเหลือเชื่อ
แต่มันไม่ใช่แค่กีฬา ชีวิตจริงของคนเราหรือโลกของเรามันก็พลิกผันจนกระทั่งเราไม่สามารถที่จะพูดอะไรชัดเจนประเภทแน่นอน 100% ได้ คนที่เป็นพระ ที่เรียบร้อย เคร่งวินัย ปรากฏว่าในที่สุดก็กลายเป็นขี้เหล้า สึกหาลาเพศไปก็เป็นคนขี้เหล้าเมายา เมาหยำเปเลย
ใครที่บอกว่า พระรูปนี้จะเป็นพระไปตลอดชีวิต ก็ผิดหวัง หรือว่าคนบางคนที่เอื้อเฟื้อมีน้ำใจต่อเพื่อน แต่ว่าผ่านไป 30 ปี ปรากฏว่ากลายเป็นพวก 18 มงกุฎ และไม่ได้ไปหลอกเอาเงินจากใครนะ หลอกเอาเงินจากเพื่อนนี่แหละ เพื่อนหมดตัวไป 30-40 ล้านเพราะหลงเชื่อว่า เงินที่ให้ยืมจะได้คืน
ขณะเดียวกันคนที่เมาหยำเป ติดยา จนใคร ๆ บอกว่า ไม่มีอนาคตหรอก ตายอย่างหมา ปรากฏว่าในที่สุดก็กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แล้วก็มีครอบครัวที่อบอุ่น
ฉะนั้นคนที่เรายืนยันมั่นหมายว่า เขาจะเป็นคนดีอย่างแน่นอน ปรากฏว่ากลายเป็นคนที่ไม่ดีไปเสียแล้วเมื่อเวลาผ่านไป คนที่เกกมะเหรกเกเรที่เราคิดว่าอนาคตมันจบแน่ ปรากฏว่ากลับกลายเป็นคนที่มีอนาคตรุ่งโรจน์ โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ
แม้กระทั่งการสรุป การคาดหวังของเรา ที่เราคิดว่าแน่นอนเลย ของ ๆ เราหาย เราก็ปักใจเชื่อว่า พนักงานคนนี้เขาเป็นขโมยแน่นอน แต่ปรากฏว่า เขาไม่ใช่ขโมยเพราะว่าของ ๆ เราไม่หาย แต่ว่ามันตกอยู่หลังเตียง หลังหัวเตียง แล้วก็ไปปรักปรำเขาเรียบร้อยว่าเขาเป็นขโมยแน่นอน
เห็นคนซุบซิบกันในสำนักงาน พอเขาเห็นเราเขาก็เลิก เราก็สรุปว่าเขานินทาเราแน่นอน แต่ว่าความจริงเขาไม่ได้นินทาเรา เขาอาจจะนินทาเจ้านายแต่กลัวเราได้ยินและไปเล่าให้เจ้านายฟัง เขาก็เลยเลิกคุยทันทีที่เห็นเราเข้ามาในสำนักงานก็ได้ คนดีที่มายืมเงินเรา เราเชื่อแน่นอนว่าเขาจะคืน ปรากฏว่าเขายืมแล้วเขาก็หายไปเลย แบบนี้ก็มี
ยิ่งกว่านั้นความตั้งใจของเราก็เหมือนกัน บ่อยครั้งเราตั้งใจ เรียกว่าปักใจว่าจะต้องทำอย่างนี้แน่นอน ไม่มีเป็นอื่น แต่เวลาผ่านไป สิ่งที่คิด สิ่งที่นึก สิ่งที่ตัดสินไปก็ลืมไปเลย
หลวงพ่อชาท่านเล่าว่า สมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ก็จะมีผู้หญิงหลายคนจะมาขอบวชเป็นแม่ชีกับท่าน หลายคนบอกจะขออยู่หลายเดือน บางคนบอกว่าจะอยู่ตลอดชีวิตเลย เพราะว่าเบื่อ เบื่อโลก เบื่อครอบครัว อาจจะมีเรื่องมีราวกับสามี หรือว่าญาติผู้ใหญ่
หลวงพ่อชาท่านก็จะบอกว่า ให้ทดลองดูก่อน อย่าเพิ่งตัดสินใจ มาอยู่สักพักแล้วค่อยตัดสินใจ อย่าเพิ่งปักใจว่าจะอยู่ไปนาน ๆ แต่หลายคนก็ยืนยันจะบวชตลอดชีวิตเลย จะไม่ขอกลับไปอยู่กับครอบครัวแล้ว ยืนยันมั่นหมายเด็ดขาดว่าไม่กลับไปบ้าน ไม่กลับไปหาสามีอย่างแน่นอน
แต่พออยู่ได้ไม่กี่วัน สามีมาง้อก็หอบผ้าหอบผ่อนแล้วกลับไปอยู่กับสามี หรือบางคนอยู่ไม่กี่เดือน เกิดคิดถึงลูก เกิดขึ้นสามีขึ้นมา บอก ขอสึกแล้ว จะกลับไปอยู่กับครอบครัว แต่ที่เคยพูดไว้เมื่อเดือนที่แล้วหรือแม้กระทั่งอาทิตย์ที่แล้วว่า จะขอบวชตลอดชีวิต จะไม่ขอกลับไปอยู่กับครอบครัว ไม่อยู่กับสามีอย่างแน่นอน ปรากฏว่าเปลี่ยนใจเสียแล้ว
ความไม่แน่นอนมันเป็นธรรมดาโลกมาก ความแน่นอนต่างหากที่มันไม่ใช่ธรรมดาโลก ฉะนั้นเวลาใครปักใจว่า ฉันจะต้องทำอย่างนี้แน่นอน หรือปักใจว่า คน ๆ นี้เป็นอย่างนั้นแน่นอน อันนี้นี่แสดงว่า เขาไม่เข้าใจความจริงของชีวิตและโลกว่ามันไม่มีอะไรที่แน่นอน แม้กระทั่งตัวเองก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ไม่ใช่เฉพาะร่างกายแต่รวมถึงเรื่องจิตใจด้วย เวลาเรามาภาวนา มาเจริญสติ เราจะพบเลยว่าใจเรามันหาความแน่นอนไม่ได้ จะเรียกว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายก็ได้ เดี๋ยวสงบเดี๋ยวก็ฟุ้ง บางทีก็สว่างไสว แต่เผลอแป๊บเดียวก็ง่วงเหงาหาวนอน บางวันก็มีชีวิตชีวากระฉับกระเฉงแต่บางช่วงก็เฉื่อยเนือย ไม่มีกะจิตกะใจที่จะปฏิบัติ มันเป็นธรรมดามากไม่ต้องผิดหวังกับตัวเอง ถ้าผิดหวังกับตัวเองก็แสดงว่าไม่เข้าใจ ธรรมชาติของใจเรา
แล้วมันไม่ใช่ว่าเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเท่านั้น ยังควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ด้วย ความคิดจิตใจของเรา เราอยากจะให้มันสงบ อยากจะให้มันนิ่ง ไม่คิดอะไร แต่ก็จะพบว่ามันไม่ทำตามคำสั่งของเรา
เวลาสวดมนต์ก็อยากจะมีสติรู้สึกตัวตลอดเวลาที่สวดมนต์ แม้กระทั่งพยายามบังคับจิตให้ตามติดบทสวดมนต์ หรือว่าตามติดคำบรรยาย แต่เผลอแป๊บเดียวมันกลับไปที่บ้านแล้ว กลับไปที่ทำงานแล้ว กลับไปที่ห้างแล้วว่าจะซื้ออะไร
ใจเราเป็นอย่างนี้ เราไม่รู้เลยแม้กระทั่งว่าอีก 1 นาทีข้างหน้านี่มันจะคิดอะไร แม้ว่าเราตั้งใจจะฝึกจิตให้สงบ แต่เผลอแป๊บเดียวไม่ทันถึง 30 วินาที มันก็ไปเสียแล้ว
ทั้งหมดนี้บอกอะไรแก่เรา มันบอกเราว่า ใจเรานี่ไม่แน่นอน แล้วก็ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ ที่จริงมันไม่เฉพาะใจเราเท่านั้น ร่างกายก็เหมือนกัน รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างด้วย โลกรอบตัว ผู้คน การงาน สิ่งแวดล้อม
แม้กระทั่งตอนแรกที่เราบอกว่าอะไร ๆ มันก็แน่นอน จริง ๆ มันก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน กิจวัตรที่กำหนดเอาไว้อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่กำหนดก็ได้ เจอฝนตกหนัก ที่กำหนดไว้ว่าจะทำวัตรกันตี 4 ก็ต้องเลิก บางทีเจอน้ำท่วมกลางดึก ก็ต้องเลิกแล้ว ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องสวดมนต์แล้ว เตรียมกู้ภัยกัน เตรียมจัดการโยกย้ายเข้าของออกเพื่อหนีน้ำท่วม
จริง ๆ ที่แน่นอน เป็นไปอย่างที่คาดหวังก็มี แต่ว่าที่ไม่คาดหวังก็เยอะ แล้วทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นเห็นได้ง่ายจากใจของเรา ใจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ควบคุมบังคับบัญชาได้ยาก หรือไม่ได้เลย บางคนเจอแบบนี้ผิดหวังเพราะว่าอยากจะให้ใจสงบ แต่ทำไมมันไม่สงบเสียเลย ที่จริงเป็นของดีเพราะว่ามันมาสอนธรรมให้กับเรา แล้วมันมาช่วยฝึกใจเราด้วย ฝึกให้เรามีสติรู้เท่าทัน
แต่ก่อนอื่นจะต้องเริ่มจากการยอมรับมันเสียก่อน มาวัดเพื่อจะให้ใจสงบ มาวัดเพื่อจะให้ใจสว่าง แต่มันไม่สงบ มันฟุ้ง มันง่วงเหงาหาวนอน บางทีก็เครียด บางทีฟุ้งกว่าตอนอยู่บ้าน หรือตอนที่อยู่นอกวัดเสียอีก แล้วเครียดกว่าตอนที่อยู่บ้านเสียอีก ถ้าเราวางใจไม่เป็นก็ทุกข์ ทุกข์เพราะคาดหวัง และไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจของตัว
บทเรียนบทแรกที่จะได้จากการปฏิบัติไม่ใช่มีสติมีความรู้สึกตัวมีความสงบแต่คือการรู้จักยอมรับ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ ยอมรับอาการต่าง ๆ ของใจว่า มันไม่แน่นอน มันไม่อาจจะบังคับควบคุมให้เป็นไปดั่งใจ หรือตามที่คาดหวัง หรือตามที่ปรารถนาได้ ถ้าทุกอย่างมันราบรื่น อยากให้ใจสงบมันก็สงบ อย่าให้ใจตื่นมันก็ตื่น อันนี้ก็ถือว่าเราพลาดโอกาสที่จะฝึกใจให้ยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจ
อันนี้เป็นบทเรียนสำคัญมาก การรู้จักยอมรับสิ่งที่มันไม่เป็นดั่งใจ ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เพราะถ้าเรายอมรับแบบนี้ได้ เราจะทุกข์น้อย เวลารถติดเราก็จะไม่หงุดหงิดมากเท่าไหร่ เพราะเรายอมรับได้ เวลาเพื่อนมาผิดนัด มาไม่ตรงเวลา เราก็ยอมรับได้ เวลาทำงานไม่สำเร็จ ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง เราก็ยอมรับได้ ไม่ทุกข์ ที่คนเราทุกข์ทุกวันนี้เพราะยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจ สิ่งที่ไม่เป็นดั่งใจ หรือยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ได้
เรามาสำรวจความทุกข์ของเรา โดยเฉพาะความทุกข์ใจ เรียกว่าจำนวนไม่น้อย เกินกว่า 50% เกิดเพราะยอมรับไม่ได้ ยอมรับสามีไม่ได้ ยอมรับแม่ไม่ได้ แม่ชอบเล่นการพนัน พ่อก็ชอบไถเงิน หรือบางทีพ่อก็เจ้าชู้ แล้วก็พยายามบังคับพยายามเปลี่ยนแปลงท่าน แต่ก็ไม่สำเร็จ
บางทีก็ไม่ใช่พ่อแม่จะเป็นลูก แล้วบางทีก็ยอมรับตัวเองไม่ได้ที่เลิกเหล้า เลิกพนันไม่ได้ ยังเลิกติดเกมไม่ได้ ยังติดเกมอยู่ ยังชอบช็อปโดยเฉพาะตามออนไลน์อยู่ รวมทั้งยอมรับพฤติกรรมของเพื่อนบ้านไม่ได้ ส่งเสียงดัง ชอบเอาขยะมาทิ้งไว้หน้าบ้าน พยายามแก้ไขแล้วก็ไม่สำเร็จ
ความทุกข์นี้เกิดจากการที่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ โดยเฉพาะใจของตัว แต่เราจะเรียนรู้วิธีการ เรียนรู้ว่า ทำอย่างไรจะยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ถูกใจได้ จะเรียนจากไหน ก็เรียนจากใจของเรานี้แหละ โดยเฉพาะเวลาที่มีความคิดฟุ้งซ่าน มีความหงุดหงิด
หลวงพ่อเทียนท่านก็สอน ท่านก็ย้ำว่า มาปฏิบัติอย่าไปห้ามคิด แต่หลายคนก็ทนไม่ได้ที่มันคิดเยอะเหลือเกินก็ไปพยายามบังคับควบคุมมัน สุดท้ายก็เครียด หรือไม่ก็หงุดหงิด แล้วก็ทุกข์ เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นไปดั่งใจ ยอมรับไม่ได้ที่มันฟุ้ง
แต่ถ้าหากเกิดว่าเรายอมรับได้ ก็ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญ ต่อไปเราก็จะรู้จักเรียนรู้ที่จะเท่าทันมัน เท่าทันความคิด เวลาคิดฟุ้งก็รู้ รู้ก่อนที่มันจะปรุงแต่งยืดยาวออกไป ถ้าเรารู้เร็วเท่าไหร่มันก็ทุกข์น้อยเท่านั้น เพราะเมื่อเรารู้ทัน มันก็จะครอบงำจิตไม่ได้ ถ้าเรารู้ทันเร็วเท่าไหร่มันก็จะพาใจของเราไปเจอความทุกข์ได้ยาก
ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความคิดถึงจะสงบได้ ความสงบอีกอย่างหนึ่งก็เกิดจากการที่รู้จักปล่อย รู้จักวางความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ และที่ปล่อยวางได้เพราะรู้ทัน รู้ทันก็ไม่ไปโรมรันพันตูกับมัน หรือว่าไม่ยุ่งกับมัน มันเกิดก็เกิดไป เดี๋ยวมันก็หายไปเอง ถ้าไม่ไปต่ออายุให้มัน และวิธีที่จะไม่ต่ออายุให้มันก็คือ ไม่ไปยุ่งกับมัน ไม่ไปผลักไส ไม่ไหลตามมัน
มีผู้รู้เขาบอกว่า ความโกรธถ้าไม่ไปทำอะไรกับมัน มันก็จะหายไปภายใน 90 วินาที แต่ที่จริงมันหายไปเร็วกว่านั้น มันดับเร็วกว่านั้น แต่หลายคนทนไม่ได้ที่จะรอให้มันดับไปเอง 90 วินาที ก็พยายามกดข่มมัน ปรากฏไปต่ออายุให้มัน ยาวเป็น 900 วินาทีเลย หรือยาวเป็นชั่วโมง นี่เพราะว่าไม่รู้จักเท่าทันมัน ด้วยการรู้ซื่อ ๆ
ต่อไปไม่ใช่แค่รู้เท่าทัน เราจะได้บทเรียนจากมัน เราจะรู้สัจธรรมจากมันว่า เออ ใจเราไม่เที่ยงเลย แล้วความไม่เที่ยงของใจ มันทำให้เราเข้าใจความไม่เที่ยงของกาย และความไม่เที่ยงของใจ ความไม่เที่ยงของกาย ก็ทำให้เราตระหนักชัดถึงความไม่เที่ยงของโลก ของชีวิต รวมทั้งสิ่งที่เคยสร้างความทุกข์ให้กับเรา มันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน มันก็ไม่แน่นอน อย่างที่เขาพูดว่าแล้วมันก็จะผ่านไป
อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ สำคัญกับความสงบ เพราะความสงบส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว กลับไปบ้านก็ไม่สงบ แต่ถ้าเราเข้าใจว่า อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน รู้จักยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ และเห็นถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่าง ๆ มันก็ทำให้ใจเราไม่ไปยึดมั่นสำคัญหมายกับสิ่งต่าง ๆ จนเป็นทุกข์เมื่อมันไม่เป็นไปดั่งใจ ความสงบก็ไม่เที่ยง
เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ไม่โหยหา ไม่ยึดติดในความสงบ ไม่สงบเราก็ไม่หวั่น เราก็ไม่ตระหนก เพราะเรายอมรับมันได้ อันนี้แหละคือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากการมาเฝ้าดูใจของเรา.