พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 14 กันยายน 2567
มีผู้ชายคนหนึ่งแกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอับโชค เจอแต่เรื่องที่ไม่ดี ทำอะไรก็มีปัญหา จะไปซื้อตั๋วรถไฟก็ซื้อไม่ได้เพราะมันเต็มไม่มีที่นั่ง ขับรถไปศูนย์การค้าเจอที่จอดรถ แต่ไม่ทันจะไปถึงก็มีคนอื่นตัดหน้าไปเสียก่อน ก็เลยไม่มีที่จอดรถ
เวลาเข้าคิว คิวคนอื่นนี้มันเคลื่อนเร็วเหลือเกินแต่คิวของตัวเองนี้มันช้า คือรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่มีแต่ปัญหา เวลาทำงานก็ได้งานที่ไม่ดี เงินเดือนก็ต่ำ มีลูก ลูกคนโตก็ป่วย ชีวิตมีแต่เรียกว่าเคราะห์ก็ได้หรือโชคที่ไม่ดี แกก็มีความคิดแบบนี้ฝังใจ
แล้ววันหนึ่งก็ป่วย หมอพบว่ามีเนื้องอก ต้องไปผ่าเอาเนื้องอกออก แต่ว่าเนื้องอกนั้นเป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง ระหว่างที่ฟื้นตัวอยู่ในโรงพยาบาลก็ปรากฏว่า ถูกลอตเตอรี่ ทั้งที่แกเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องว่าจะมีโชคดีแต่ว่าก็ยังซื้อลอตเตอรี่ แล้วก็ตอนที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลนั่นแหละพบว่าถูกลอตเตอรี่สลากกินรวบ เป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว
แต่แกไม่กล้าให้ใครเอาลอตเตอรี่ไปขึ้นเงินเลย ไม่ว่าจะเป็นลูก หรือเมีย หรือเพื่อน เพราะกลัวว่าให้ไปขึ้นเงินแล้ว เดี๋ยวก็เก็บเอาไปขึ้นเงินเป็นของตัวเองบ้างล่ะ หรือว่าขึ้นเงินได้แล้วก็มีคนมาขโมยเอาไป หรือบางทีขโมยตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นเงินเลย ขโมยเอาลอตเตอรี่ไป หรือถ้าไปขึ้นเงินแล้วพนักงานลอตเตอรี่ก็ไม่ซื่อไม่ให้เงินครบตามจำนวน หรือบางทีก็ยักยอกเอาลอตเตอรี่เป็นของตัว
แกเลยไม่ยอมให้ใครเอาลอตเตอรี่ไปขึ้นเลย แต่ลอตเตอรี่นั้นมีกำหนดการขึ้นเงิน ถ้าไม่ขึ้นเงินภายในวันนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ สุดท้ายแกเลยต้องถ่อสังขารไปขึ้นเงินด้วยตัวเอง ได้เงินมาแล้วก็บอกลูกบอกภรรยาว่าอย่าไปบอกใครนะ เพราะว่ากลัวคนอื่นจะมาขโมยบ้างล่ะ หรือไม่กลัวว่ามีคนจะมาขอบ้างล่ะ
ฉะนั้นแกได้เงินมาก็เรียกว่ากังวลมากว่าเงินที่ได้มามันจะมีอันเป็นไป เพราะตัวเองเป็นคนโชคไม่ดี แม้จะฝากเอาไว้ในธนาคารก็กลัวธนาคารล่ม มีแต่ความวิตกกังวล แล้วเนื่องจากแกกลัวว่าชีวิตแกหรือครอบครัวจะเจอปัญหา เจออุปสรรค ก็เลยต้องหาทางเก็บเงินเอาไว้เยอะ ๆ จึงทำงานหลายกะ ทำงานหลายอย่าง เหนื่อยเลย กลับมาถึงบ้านก็เหนื่อยล้า ทำงานอย่างนี้มาจนกระทั่งเกษียณ
ชีวิตไม่ค่อยมีความสุข มีแต่ความกังวล ทำงานก็เหนื่อย ตอนหลังเงินที่ได้ที่สะสมมาก็เอามาซื้อบ้าน เป็นความฝันของแกเลย มีบ้านเป็นของตัวเองหลังเกษียณ ซื้อบ้านมาแล้วก็ยังไม่ยอมพัก เพราะพอมีบ้านแล้วก็กลัว กลัวคนจะมาขโมยของในบ้าน เพราะฉะนั้นก็ต้องมีรั้วรอบขอบชิด ก็ต้องไปทำงานเพื่อจะได้มีเงินมาทำรั้ว
ทำรั้วเสร็จก็ยังไม่ได้พัก เพราะว่ายังกลัวคนจะมาขโมยของในบ้าน ก็เลยต้องไปหาเงินมาเพื่อติดตั้งสัญญาณกันขโมย ต้องไปทำงาน งานเล็กงานน้อยก็เอา จะได้มีเงินไปติดตั้งสัญญาณกันขโมย เพราะกลัวคนจะมาขโมยของในบ้าน
ติดตั้งเสร็จก็ยังกลัว กลัวขโมย ลูกชวนพ่อไปเที่ยวเพราะพ่อทำงานหนักมาตลอด แต่พ่อไม่กล้าออกจากบ้าน ว่าออกจากบ้านแล้วเดี๋ยวจะมีคนมาขโมย ขนาดมีรั้วรอบขอบชิด มีสัญญาณกันขโมยแล้ว ก็นั่งหงอย ๆ อยู่ในบ้านนี่แหละ
ตอนหลังลูกชวนคะยั้นคะยอจะให้ไปเที่ยว เพราะลูกโตแล้วจะออกเงินพาพ่อแม่ไปเที่ยว แกก็ไม่ยอม ลูกก็บอกว่าก็ไปจ้างคนมาเฝ้าบ้านสิ แล้วก็ไปเที่ยวสัก 4-5 วัน แกตกใจมากเลย “ทำยังงั้นได้ยังไง คนเฝ้าบ้านเดี๋ยวมันขโมยของ เราจะทำยังไง” ก็เลยไม่ยอมไปไหน อยู่ที่บ้านจนแก่
พอถึงจะตาย แกก็ยังกังวล เป็นห่วงลูก ห่วงทรัพย์สมบัติ เรียกว่าทั้งชีวิตของแกเป็นคนที่ไม่มีความสุขเลย ไม่มีความสุขเพราะกังวลกลัวว่าจะเกิดเหตุร้าย ไม่ใช่แค่คนขโมยของในบ้าน บางทีกลัวไฟไหม้ กลัวพายุ กลัวน้ำท่วม ก็เลยต้องอยู่เฝ้าบ้าน
แล้วสิ่งที่แกกลัวนี้มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือเกิดขึ้นก็เล็กน้อยมาก แต่ฝังใจไปว่าเป็นคนโชคร้าย เพราะฉะนั้นก็เลยกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากับครอบครัว กับงานการ กับทรัพย์สิน กับบ้านเรือนของตัว
แต่แกดีอย่างหนึ่งก็คือว่าขยันทำงาน เพราะเชื่อว่าถ้ามีเงินมันก็จะปัดเป่าปัญหาได้ มีเงินเพื่อป้องกันขโมยด้วยการทำรั้วรอบขอบชิด ด้วยการทำสัญญาณกันขโมย แล้วแทนที่จะไปบนบานศาลกล่าว ก็ทำงานเพื่อจะมีเงินสร้างความมั่นคง เพื่อจะได้ปัดเป่าปัญหา แต่ก็เหนื่อย แก่แล้วก็ไม่ยอมพัก เพราะว่าต้องหางาน ต้องทำงาน จะได้มีเงินมารับมือกับภัยต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ชีวิตทั้งชีวิตก็เลยเหนื่อยแล้วไม่มีความสุข แต่ถามว่าที่เหนื่อย ที่ไม่มีความสุข เป็นเพราะโชคร้ายหรือเปล่า หรือเป็นเพราะความคิดความเชื่อของแกเอง แกเป็นคนชอบมองโลกในทางลบทางร้าย แกก็เลยปักใจเชื่อว่าเป็นคนที่อับโชค เข้าคิว คิวของตัวเองก็เคลื่อนช้ากว่าคนอื่น แต่แกอาจจะลืมมองไปว่าบางครั้งหรือบ่อยครั้งคิวของตัวเองแถวของตัวเองก็เคลื่อนเร็วกว่าแถวของคนอื่น
เวลาหาที่จอดรถก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่จอดรถเลย มีที่จอดรถก็มี หาที่จอดรถเจอก็มี แต่ไม่เอามาใส่ใจ มันมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของแกหลายอย่าง เช่น การมีภรรยาที่ดี ลูกถึงแม้จะป่วย ลูกคนโต แต่คนอื่นก็แข็งแรงแล้วก็เรียนสูง บางคนก็เป็นหมอ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นของดี จะเรียกว่าเป็นโชคก็ได้ แต่แกมองไม่เห็น เห็นแต่สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้น อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะมองแต่ลบ
พอมองลบจนเป็นนิสัย มันก็เลยไม่สามารถจะมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ ตอนที่ป่วยนึกว่าเป็นมะเร็ง ปรากฏว่ามันเป็นเนื้องอกธรรมดา แกไม่มองว่านี้คือโชค เรียกว่ามองข้ามไปเลย คนที่เขามองบวก เขาก็จะขอบคุณ โอ้ โชคดีนะที่เราไม่เป็นมะเร็ง เนื้องอกเป็นเนื้องอกธรรมดา
แต่แกไม่มองแบบนั้น อะไรที่ดีแกมองข้ามไปเลย ไปเห็นแต่ที่ไม่ดี ซื้อตั๋วก็ไม่ใช่บ่อยครั้งที่ซื้อตั๋วไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วหนัง ตั๋วรถ ตอนที่ซื้อได้ก็ไม่เก็บเอามาไว้ในความทรงจำ มองข้ามไปเลย ก็เลยเห็นแต่เรื่องร้าย ๆ แล้วก็ทำให้เกิดความวิตกกังวล สุดท้ายก็เหนื่อย เหนื่อยตลอดชีวิต ไม่มีความสุข
คนที่มองลบ ถ้าหากว่ามองติดลบไปเรื่อย ๆ มันไม่สามารถจะมองเห็นบวกได้เลย ไม่สามารถจะมองเห็น หรือรับรู้สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นได้ แล้วไปโทษว่าตัวเองนี้เป็นคนอับโชค ชีวิตเหนื่อยล้าต้องทำงานหนัก บางทีไปโทษโชค แต่ไม่ได้มองว่าเป็นเพราะความคิด ความเชื่อของตัว หรือมุมมองที่มันเอาแต่มองติดลบ จนมองไม่เห็นบวกเลย
แล้วที่ว่าน่าเสียใจก็ได้ก็คือว่า ไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวว่ามองลบ ก็เลยไม่รู้จักทักท้วงว่าที่กลัว ที่ระแวง อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ กลัวคนจะมาขโมยของในบ้าน กลัวจะมีไฟไหม้ ไม่ประมาทดีแล้ว ป้องกันนั้นดีแล้ว แต่ไม่ใช่เก็บเอามากังวลจนไม่มีความสุข แม้จนกระทั่งจะตาย ก็ยังกลัวว่าลูกก็ดี ทรัพย์สมบัติก็ดีจะมีอันเป็นไป
บางทีคนเราไม่ตระหนักว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัว มันไม่ใช่เพราะโชคไม่ดี แต่เป็นเพราะมุมมอง ความคิด ความเชื่อ ยิ่งเวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา อย่างที่ใคร ๆ เรียกว่าเป็นเคราะห์ ถ้ามองแต่ลบนี้ มันจะไม่สามารถจะมองเห็นว่ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น
อย่างที่เมื่อวานนี้เล่าถึงคนหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องตัดขาเพราะมีมะเร็งกระดูกเกิดขึ้น ตัดขาตั้งแต่เหนือหัวเข่าเลย อันนี้ใคร ๆ เรียกว่าเป็นเคราะห์ หลายคนเวลาที่เจอแบบนี้จิตจะดิ่งลงไปในความทุกข์มากเหมือนกับหนุ่มคนนั้น กราดเกรี้ยวต่อโลก ต่อคนรอบข้าง เกลียดคนทั้งโลกที่ไม่พิการเหมือนตัว แล้วก็ทำร้ายตัวเอง กินเหล้า เล่นพนัน เสพยา ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ เก็บตัว
จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเยี่ยมคนที่ประสบเหตุคล้ายกับตัว เพราะอุบัติเหตุบ้าง ตัดแขน ตัดขา หรือคนที่ถูกไฟไหม้ คนที่มือขาดไปเพราะโดนระเบิด เนื่องจากเขาเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านี้ ก็เลยช่วยเยียวยา ช่วยให้กำลังใจคนเหล่านี้ จนกระทั่งคนเหล่านี้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป
หนุ่มคนนั้นรู้สึกมีความสุขมากเลยว่าตัวเองมีคุณค่า ความกราดเกรี้ยวหายไป ยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้น สุดท้ายก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองพิการเสียขาก็มีประโยชน์ เพราะทำให้ตัวเองนี้สามารถจะไปช่วยคนอื่นได้ เพราะว่าตัวเองเป็นคนเดียวหรือน้อยคนที่จะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ประสบภัยเหล่านั้น หมอก็ไม่เข้าใจ พยาบาลก็ไม่เข้าใจ พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ แนะนำอะไรไปก็ไม่รู้
ตัวเองก็โกรธ โกรธคนเหล่านี้ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไปแนะนำอย่างนั้นได้ยังไง แต่พอตัวเองไปพูดคุยกับคนเหล่านี้ เนื่องจากเป็นคนที่ประสบเหตุการณ์เดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง คุยภาษาเดียวกัน ก็เลยมีความสุขที่รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยคน
แต่ก่อนนี้มองว่าร่างกายตัวเองเหมือนกับแจกันที่แตกร้าว ไม่มีประโยชน์แล้ว เก็บน้ำไม่ได้ แต่ตอนหลังพอได้เห็นภาพที่ตัวเองเคยเขียน เขาก็เพิ่มสีเข้าไปเป็นสีเหลืองตรงรอยแตกนี่แหละ มีสีเหลืองกระจายออกมาจากรอยแตกไปจนสุดขอบกระดาษหลายเส้นเหมือนกับประกายแสง แล้วชี้ไปที่รอยแตกบอกหมอว่า “ตรงนี้แหละคือที่มีแสงสว่างลอดออกมา”
อันนี้เรียกว่าเปลี่ยนจากการมองความพิการว่าเป็นเคราะห์ กลายเป็นประโยชน์หรือรู้จักหาประโยชน์จากมัน มุมมองแบบนี้เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากไม่มัวแต่มองลบ แต่มารู้จักมองบวก การที่มองเห็นภัยเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ไม่มองแต่ว่าเป็นเคราะห์ แต่ว่ามันมีประโยชน์
ความพิการนี้ก็มีประโยชน์ ถึงพิการก็ยังเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจ ยังมีความสุขได้ เรียกว่าหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะว่าสามารถจะมองเห็นประโยชน์ หรือสิ่งดี ๆ ที่ความพิการมอบให้ การมองแบบนี้ก็มองยาก เพราะคนเราเวลาเจอเหตุร้าย สูญเสียอวัยวะ สูญเสียคนรัก สูญเสียทรัพย์ มันง่ายที่จะจมดิ่งลงไปในความทุกข์
แต่ถ้าหากว่ามีสติ หรือมีคนที่แนะนำดี ๆ ก็สามารถจะมองเห็นประโยชน์ที่ได้จากสิ่งเหล่านี้ จากเคราะห์กลายเป็นโชค จากร้ายกลายเป็นดี
สิ่งที่ยากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือเวลามีความทุกข์ คนเรามักจะมองหรือเพ่งโทษคนอื่น น้อยคนที่จะหันมามองว่าจริง ๆ ปัญหาอยู่ที่ตัวเอง ถ้าเรารู้จักมองแบบนี้บ้างว่าความทุกข์ ทุกข์กายก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นทุกข์ใจแล้วนี้ รากเหง้าของความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น มันอยู่ที่ตัวเอง ตรงนี้คนที่ชอบเพ่งโทษคนอื่นยากที่จะมอง ยากที่จะยอมรับได้ว่า จริง ๆ แล้วเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ตัวเอง
เวลาถูกต่อว่าด่าทอแล้วโกรธก็เป็นธรรมดา มักจะมองว่าเป็นเพราะคนอื่นทำให้ฉันทุกข์ แต่น้อยคนที่จะมองว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจตัว แล้วถ้าไม่มองตรงนี้ มันก็ยากที่จะมีความสุขได้ เพราะว่าเสียงต่อว่าด่าทอ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น แต่เมื่อเจอแล้วเราจะจมอยู่ในความทุกข์ ความโกรธ หรือว่าเราจะรักษาใจให้เป็นปกติได้
มันก็ยากเวลาโกรธเพราะมีคนมาด่าว่า จะมองได้ยังไงว่าเหตุแห่งทุกข์นี้มันอยู่ที่ใจเรา แต่ที่จริงแล้วที่เราทุกข์ ถ้าดูดี ๆ เป็นเพราะเราถือ เป็นเพราะมีความยึดถือในใจ ยึดถือนี้อาจจะเป็นการถือคำพูดของเขา ยึดถือการกระทำของเขา หรือว่ายึดถือในหน้าตาของตัวเอง ถ้าใครทำอะไร เราไม่ถือ เราไม่ทุกข์ เด็กมาว่าเรา เราก็หัวเราะ เพราะเราไม่ถือ
บางทีเรากำลังซื้อของอยู่ กำลังดูของอยู่ดี ๆ ตรงห้าง ก็มีคนมาชนเรา วินาทีแรกเราโกรธมากเพราะเราเซถลา แต่ทันทีที่เราหันหน้าไปดูว่าใครมาชน พอพบว่าเขาเป็นคนตาบอด เราไม่โกรธเลย หายโกรธ เพราะอะไร เพราะเราไม่ถือ บางทีเขาอาจจะเป็นคนเมาด้วยซ้ำ เราไม่โกรธเพราะเราไม่ถือ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเมาหรือคนตาบอด ถ้าเราฝึกจิตดี ๆ เราก็สามารถจะไม่ถือกับคำพูดเหล่านี้ได้
เมื่อสัก 40-50 ปีก่อน มีหนุ่มคนหนึ่งเรียนจบ ม.3 บ้านอยู่จ.สุราษฎร์ฯ อ.ไชยา เรียนจบแล้วก็พ่อไม่อยากให้มาเรียนต่อที่กรุงเทพ ก็เลยให้อยู่บ้าน ตอนหลังคิดว่าอยู่บ้านไม่ค่อยดี ให้ไปอยู่กับอาจารย์พุทธทาสที่สวนโมกข์ ไชยาดีกว่า ไปให้ท่านใช้ ไปเรียนจากท่าน เมื่อเด็กคนนี้มาขออยู่กับท่าน ท่านเห็นว่าเป็นคนชอบก่อสร้าง ก็เลยให้ไปเป็นลูกมือนายช่างที่กำลังก่อสร้างอาคาร
วันหนึ่งเด็กคนนี้ที่จริงก็วัยรุ่นแล้วไม่ใช่เด็ก ส่งไม้ให้กับนายช่าง ไม่ทันใจนายช่าง นายช่างก็ด่า ด่าว่า “ไอ้ห่า” แกตกใจแล้วก็เสียใจมาก ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ร้องไห้เลย เพราะไม่เคยมีใครด่าแบบนี้
แล้วก็ตัดสินใจว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว แล้วก็จะไม่อยู่สวนโมกข์แล้วด้วย ไปหาอาจารย์พุทธทาส กราบแล้วก็บอกว่า “ผมจะไม่อยู่แล้วครับ” “อ้าว ทำไมล่ะ”
“นายช่างด่าผมครับ” “ด่าว่าอะไร”
อาจารย์พุทธทาสพอได้ยินท่านก็บอกเลย “โอ๊ย จะเจ็บอะไรนะแค่ไอ้ห่า กับเรามันยังด่าแม่เลย”
อาจารย์พุทธทาสยังโดนนายช่างด่าแม่ แต่ท่านไม่โกรธเลย นี่ขนาดท่านเป็นพระแล้วก็อายุมาก ท่านไม่โกรธเพราะอะไร ท่านไม่ถือ ไม่ถือคนแบบนี้ จะพูดอะไรไปไม่เอามาเป็นสาระ อีกอย่างหนึ่งท่านอาจจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในหน้าตาเท่าไหร่ด้วย
อันนี้ชี้ให้เห็นว่า โกรธหรือไม่โกรธ ทุกข์หรือไม่ทุกข์ มันไม่ได้อยู่ที่คำพูดของใคร แต่มันอยู่ที่ใจของเราว่ามีความยึดถือในการกระทำและคำพูดของคน ๆ นั้นมากแค่ไหน และที่สำคัญคือยึดถือในหน้าตาของตัวไหม หรือว่ามีความยึดถือในตัวกูมากแค่ไหน
แต่ก็น้อยคนจะมองเห็นว่า ที่เราโกรธ ที่เราทุกข์ ไม่ใช่เป็นเพราะคนอื่น แต่เป็นเพราะใจของเรา แต่ถ้าเราหมั่นเฝ้ามองดูใจของเรา จะเห็นเลยว่าไม่ใช่เพราะคำต่อว่าด่าทอ แต่รวมถึงเหตุร้ายอย่างอื่น เช่น ความสูญเสีย
ความทุกข์ไม่ได้เกิดเพราะมีใครมาต่อว่าเรา ด่าเรา หรือเพราะมาเอาทรัพย์สมบัติอะไรของเราไป แต่เป็นเพราะความยึดถือ สูญเสียทรัพย์ ถ้าเราไม่ยึดถือในทรัพย์นั้น ก็ไม่เศร้า ไม่เสียใจ
ฉะนั้น วิธีที่จะแก้ทุกข์ที่ดีที่สุดก็คือ มาแก้ที่ใจของเรา จัดการกับภายนอกก็ดี แต่ว่าอย่าลืมจัดการที่ใจของเรา
ย้อนถึงชายคนที่เล่าตั้งแต่แรก ที่กลัวว่าทรัพย์สมบัติจะถูกโจรมาขโมย เขาก็เลยไปทำงานหาเงินเพื่อมาสร้างรั้วรอบขอบชิด ติดตั้งสัญญาณอันตราย เขาคิดแต่จะแก้ทุกข์ด้วยการจัดการกับสิ่งภายนอกซึ่งต้องอาศัยเงิน ซึ่งก็หมายถึงการทำงาน เพราะอะไร เพราะคิดว่าถ้าสูญเสียทรัพย์ไปก็จะทุกข์ ก็จะเสียใจ
แต่ที่จริงการสูญเสียทรัพย์ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ที่เราทุกข์เพราะเราไปยึดในทรัพย์ว่าเป็นของเรา ถ้าเราลองมาแก้ที่ใจบ้างว่า ใครเขาจะขโมยไป ช่างมัน อย่างน้อยฉันก็มีเวลาที่จะออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง หรือว่าไม่ต้องทำงานหนักก็ได้ ทำใจว่ามันจะขโมย ก็ขโมยไป เรียกว่าปล่อยวางในทรัพย์ อันนี้ก็มีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยกับการทำงานหนัก
ไม่ใช่ว่าจะต้องหาทางป้องกันไม่ให้คนมาขโมยทรัพย์สมบัติเสมอไป ต้องทำที่ใจด้วย แก้ที่ใจก็คือว่าไม่ยึดว่าทรัพย์นั้นเป็นของเรา เพราะพอเราไปยึดว่าทรัพย์เป็นของเรา เราก็เป็นของมันเลย อย่างกรณีนี้เห็นได้ชัดเลยว่า แกไปยึดว่าบ้านนี้เป็นของแก สุดท้ายแกก็เป็นของบ้านไปเลย ไม่ไปไหนเฝ้าแต่บ้าน บ้านมันควรจะรับใช้เรา แต่ว่าชายคนนี้รับใช้บ้าน เฝ้าบ้านจนตายคาบ้านเลย
อันนี้เพราะไปยึดว่าบ้านเป็นของเรา หรือบ้านเป็นของกู แต่ว่ากลายเป็นว่ากูก็เป็นของบ้านไปแล้ว เพราะฉะนั้นต้องทำงานหาเงิน ทำงานเหนื่อย เพื่อที่จะปกปักรักษาบ้านนี้เอาไว้ รวมทั้งทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สิ่งของด้วย แล้วก็ไม่ยอมไปไหน
ถ้าหากว่าลองฝึกใจสักหน่อยว่า เราก็พยายามป้องกันไม่ให้ทรัพย์สมบัติถูกขโมย แต่ถ้ามันจะถูกขโมยไปก็ไม่เป็นไร ช่างมัน ปล่อยวางซะบ้าง มันก็จะสุขได้ ไม่ใช่ว่าเราทุกข์เพราะสูญเสียทรัพย์ แต่ทุกข์เพราะไปยึดในทรัพย์นั้นต่างหาก อันนี้คือสิ่งที่คนไม่ได้มอง ก็จะไปแก้ที่นอกตัว ไปจัดการกับสิ่งภายนอก จนลืมจัดการหรือแก้ที่ใจของตัว
ฉะนั้น ต้องมองให้เป็น เห็นให้ได้ว่าเหตุแห่งทุกข์นี้มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ถ้าเป็นทุกข์ใจแล้ว เหตุแห่งทุกข์สุดท้ายก็อยู่ที่ใจเรา ถ้าอยากจะทุกข์ให้น้อยลงก็ต้องมาแก้ที่ใจของเรา ส่วนจัดการกับสิ่งภายนอกก็ทำแต่ว่าไม่ใช่เรื่องหลัก แล้วนี่คือเป็นงานของนักปฏิบัติธรรมเลย รวมทั้งนักบวชด้วย ต้องทำให้ได้ถึงตรงนี้ ไม่เช่นนั้นธรรมะที่เราพูดก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่.