พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 13 กันยายน 2567
ที่ประเทศอเมริกา มีวัยรุ่นคนหนึ่งอายุประมาณ 16-17 หมอพบว่าแกเป็นมะเร็งกระดูก เป็นมะเร็งชนิดที่เกิดกับกระดูกต้นขาเหนือหัวเข่า แต่ว่ามะเร็งนี้ก็ยังไม่ลาม เพราะฉะนั้นก็ยังไม่สายที่จะตัดกระดูกเหนือเข่าทิ้งไป
หนุ่มคนนี้แกเป็นนักกีฬา เก่งด้วย หน้าตาก็ดี มีผู้หญิงรุมล้อม ได้ควงผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ ไม่ซ้ำหน้า งานอดิเรกก็คือขับรถ ขับรถแข่ง แต่เป็นรถที่ไม่ใช่รถแข่ง คือรถธรรมดา ที่ว่าชอบแข่งเพื่ออวดสาว ๆ ก็เป็นคนที่โดดเด่น
แต่พอพบว่าเป็นมะเร็ง ก็จำเป็นต้องตัดขาทิ้ง รอดชีวิต แต่ว่าไม่สามารถจะเล่นกีฬาได้อีกต่อไป
หลังจากที่ฟื้นจากการผ่าตัด ชีวิตแกก็เปลี่ยนไปเลย เอาแต่กินเหล้า เสพยา แล้วก็เลิกเรียนหนังสือ อาจจะเป็นเพราะรู้สึกอับอาย จากนักกีฬาที่ Smart ล่ำ กลายเป็นคนพิการขาเสีย
ตอนหลังก็ไม่ค่อยคบหาใครเท่าไหร่ ปลีกตัวอยู่คนเดียว มาระยะหลังก็พบว่าประสบอุบัติเหตุรถยนต์อยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมามายหรือเป็นเพราะว่าจงใจ เพราะอาจจะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีคุณค่าแล้ว หมดแล้วอนาคต
พอเจออุบัติเหตุรถยนต์อยู่ 2-3 ครั้ง อาจารย์ก็เลยให้ลูกศิษย์คนนี้ไปรับการแนะนำ คือไปหาหมอ หมอคนนี้ก็เป็นหมอผู้หญิง พื้นเพเป็นหมอเด็ก แต่ว่าตอนหลังก็มาทำหน้าที่ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของการเยียวยาจิตใจ ก็ไม่เชิงว่าเป็นบำบัดทางจิต แต่ว่าก็มีความรู้พอที่จะช่วยผู้ป่วยที่หนัก ๆ ได้
ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนมาเป็นคนไข้ของหมอคนนี้ในเรื่องของการให้คำปรึกษาด้านจิตใจ อาจารย์พอได้ยินกิตติศักดิ์ของหมอคนนี้ ก็เลยส่งลูกศิษย์มา
ครั้งแรกที่หมอเจอเด็กหนุ่มคนนี้ พบว่าเขาเป็นคนที่กราดเกรี้ยวมาก หมอบอกว่าไม่เคยเจอใครที่กราดเกรี้ยวแบบนี้มาก่อน เต็มไปด้วยความคับแค้นที่ตัวเองต้องมามีอันเป็นไป ทำไมต้องเป็นฉัน หรือว่าทำไมจึงต้องเกิดเรื่องนี้กับฉัน
แกไม่ค่อยอยากจะคุยกับหมอเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ แต่ก็จำต้องมา คุยกับหมอได้ไม่กี่ประโยค หมอก็รู้เลย ว่าแกเป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงมาก แล้วก็โกรธเกลียด แม้กระทั่งคนที่มีสุขภาพดี ใครที่มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่พิการ แกก็รู้สึกเกลียดมากคงทำนองอิจฉาที่เขาไม่มีอันเป็นไปอย่างตัวเขา
มีคราวหนึ่ง หมอก็ยื่นกระดาษให้ แล้วก็สีเทียน แล้วบอกให้ชายหนุ่มคนนี้ ลองวาดภาพเกี่ยวกับร่างกายของเขา อยากจะดูว่าเขามองร่างกายของเขาอย่างไร
วัยรุ่นคนนี้ก็ว่ารูปแจกัน ก็ไม่ได้วาดสวย พอดูรู้ว่าเป็นแจกัน และเป็นแจกันที่มีรอยแตก รอยที่ใหญ่ด้วย รอยแตกขนาดนี้หรือรอยร้าวขนาดนี้ มันเก็บน้ำไม่ได้แล้ว มันไม่สามารถจะทำหน้าที่เป็นแจกันได้ มันก็สะท้อนถึงทัศนคติของเขา ว่าเขามองร่างกายของเขาเหมือนกับภาชนะที่แตกร้าวแล้ว มันไม่มีประโยชน์ มันทำอะไรไม่ได้แล้ว
ที่น่าสนใจคือ พอเขาวาดรอยแตกของแจกันเสร็จ เขาก็เอาสีดำมาเขียนย้ำ มาวาดย้ำตรงรอยแตก ย้ำแล้วย้ำอีกด้วยความแค้น เท่านั้นไม่พอ พอวาดเสร็จ แกก็หยิบกระดาษมาฉีกเลย แล้วน้ำตาก็ไหล
เหมือนกับว่าสมเพชเวทนาร่างกายของตัวเอง ว่ามันเหมือนกับแจกันร้าวแล้ว ไร้ประโยชน์ ไร้คุณค่า มันมีทั้งความเศร้า ความคับแค้น แล้วก็ความโกรธกราดเกรี้ยว แต่หมอก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าหมออยากจะให้คนไข้เขาแสดงความรู้สึกของตัวเองที่สด ๆ ออกมา
พอคนไข้ออกจากห้องไป หมอก็เก็บกระดาษที่คนไข้ฉีก เพราะเห็นว่ามันสำคัญ อย่างน้อยมันก็สะท้อนตัวตน หรือความรู้สึกของเขาในตอนนั้น
หลังจากนั้น เด็กคนนี้ก็มาหาหมออยู่เรื่อย ๆ เดือนละครั้ง แล้วสิ่งที่หมอเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาก็คือ ว่า ความโกรธของเขาที่เคยมีต่อร่างกาย หรือที่มีต่อคนรอบข้าง ตอนหลังมันเปลี่ยนไปแล้ว
มีคราวหนึ่ง เขาเอาข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์ เป็นข่าวเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุ แล้วต้องพิการ อยู่โรงพยาบาล ในข่าวนั้นนอกจากพูดถึงอาการของเด็กชายคนนั้นแล้ว ก็ยังพูดถึงการให้สัมภาษณ์ของหมอ หมอก็พูดถึงคนไข้ของตัวเองยาวเลย
แกยื่นให้หมอหญิงคนนี้อ่าน พอหมออ่านจบ หนุ่มคนนี้ก็บอก ไอ้หมอพวกนี้มันงี่เง่า มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคนไข้เลยสักนิด
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เขามา เขาก็จะเอาข่าวตัด บางทีก็เป็นบทความ เกี่ยวกับคนที่ประสบอุบัติเหตุ ข่าวสั้นบ้าง บทความยาวบ้าง มาให้หมอของตัวอ่าน ก็เป็นข่าวเกี่ยวกับคนที่ประสบอุบัติเหตุ เช่น เด็กผู้หญิงที่โดนไฟไหม้จนเสียโฉม หรือผู้ชายที่เสียแขนเพราะว่าระเบิดจากสารเคมี คงทดลองอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็ข่าวเกี่ยวกับคนที่อุบัติเหตุรถยนต์ พิการ เสียขา
เอาข่าวมาให้ดูแต่ละครั้ง ก็จะบ่น ระบายความโกรธใส่หมอ หรือไม่ก็พ่อแม่ของผู้ป่วย ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย น้ำเสียงมันก็มีความสงสาร สงสารผู้ป่วยที่ว่าไม่มีใครเข้าใจเขาเลย ไม่มีใครรู้เลยว่าจะช่วยเขาอย่างไร
พอเจอแบบนี้หลายครั้งเข้า หมอก็จับน้ำเสียงได้ว่า ถึงแม้ว่ามีความโกรธเกรี้ยว แต่ว่ามันก็มีความห่วงใย ห่วงใยคนที่ประสบเหตุ
เพราะฉะนั้น มีวันหนึ่ง ก่อนที่หนุ่มคนนี้จะกลับ หมอก็ถามว่า เธออยากจะทำอะไรเพื่อช่วยคนเหล่านี้บ้างไหม
ทีแรกหนุ่มคนนี้ก็บอกว่า ไม่ แต่พอเดินไปสัก 2-3 ก้าว ก็กลับมาถามหมอว่า พอจะมีทางให้ผมได้พบกับผู้ป่วยแบบนี้บ้างไหม หมอก็บอกว่าได้เลย เพราะว่าโรงพยาบาลของหมอมีผู้ป่วยอุบัติเหตุเยอะ
แล้วจากนั้น หมอก็เลยแนะนำ ทีแรกก็พาไปก่อน พาไปหาผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุ ชายหนุ่มคนนี้แกก็เข้าไปคุยกับผู้ป่วย ตอนหลังหมอก็แนะนำให้ไปเอง
พอแกไปเยี่ยมผู้ป่วยเสร็จ แกมาเจอหมอ ก็จะมาเล่าว่า ได้ไปคุยกับคนไข้หรือผู้ป่วยอย่างไรบ้าง น้ำเสียงเปลี่ยนไปแล้ว มีความดีใจที่ได้ช่วยเขา เพราะว่าพอได้พูดคุยกับคนเหล่านี้แล้ว เขารู้สึกว่ามีกำลังใจ ชายหนุ่มคนนี้แกก็เลยดีใจที่ตัวเองสามารถจะช่วยคนที่ประสบอุบัติเหตุแบบนี้ได้
ส่วนหมอเจ้าของไข้ของผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุ ก็พบว่า พอเด็กคนนี้มาคุย มาเยี่ยม กับคนไข้ที่ตัวเองดูแลแล้ว ปรากฏว่าคนไข้ก็ดีขึ้น
ตอนหลัง พอมีผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่หมอดูแล หมอก็เรียกหนุ่มคนนี้ ว่าให้ไปช่วยเยี่ยม ช่วยพูดคุยหน่อย ตอนหลังหมอคนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน เห็นว่าหนุ่มคนนี้ไปพูดคุยไปเยี่ยมคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุแล้ว คนไข้ก็รู้สึกดีขึ้น ก็เลยติดต่อให้ไปพูดไปคุยด้วย
ปรากฏว่าไม่นาน ไม่กี่เดือนต่อมา หนุ่มคนนี้จากที่เป็นคนกราดเกรี้ยวก้าวร้าว กลายเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้ว่ายังพิการเหมือนเดิม แต่ว่าน้ำเสียงเปลี่ยนไปเวลาคุยกับหมอ แทนที่จะกราดเกรี้ยวก่นด่าคนโน้นคนนี้ ก็มีแต่เรื่องดี ๆ มาเล่าให้หมอฟัง
แล้วมีคนไข้คนหนึ่งที่หนุ่มคนนี้ประทับใจมาก เป็นเด็กสาวอายุประมาณสัก 20 ปี ปรากฏว่าแม่ก็ดี พี่สาวของเธอก็ดี น้าสาวของเธอก็ดี ล้วนแต่เป็นมะเร็งเต้านม แม่ก็ตายเพราะมะเร็งเต้านม น้าสาวก็ตายเพราะมะเร็งเต้านม พี่สาวก็กำลังเป็นมะเร็งเต้านมอยู่
พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้หญิงรอบตัวของตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมเท่านั้นเลย เธอก็รู้เลยว่าเธอก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านม แต่ยังไม่เป็นหรือยังไม่พบ จะวิธีป้องกันทำอย่างไร ก็ต้องตัดเต้านมทิ้งทั้งสองข้าง เรียกว่าใจเด็ด
แต่ว่าพอตัดแล้ว ปรากฏว่าจิตใจย่ำแย่มาก ช่วงที่พักฟื้นอยู่ที่บ้าน ไม่พูดไม่คุยกับใครเลย จนซึมเศร้า หมอก็เลยขอร้องให้หนุ่มคนนี้ไปคุยกับผู้หญิงคนนี้หน่อย
วันที่แกไปคุย แกก็สวมกางเกงขาสั้น เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า ฉันนี่นะ ก็เสียขา เป็นคนหนึ่งที่เสียขา จากนั้นก็ไปคุยกับผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงคนนี้นอนหลับตา ไม่หันหน้ามาทางหนุ่มคนนี้เลย ไม่พูดไม่คุยอะไร หนุ่มคนนี้ก็พยายามชวนคุยเท่าไหร่ หญิงสาวก็ไม่สนใจ แกก็ท้อ แต่ก็มีช่วงหนึ่งก็สังเกตว่า ผู้หญิงคนนี้เปิดเพลงป๊อป มันมีจังหวะแบบที่เรียกว่าจังหวะเร้าใจอยู่พอสมควร หนุ่มคนนี้ทำอย่างไร
แกบอกว่า แกปลดขาเทียมทิ้งเลย พอปลดแล้ว ขาเทียมตกบนก็เสียงดังเลย ผู้หญิงคนนั้นหันมามอง แล้วชายหนุ่มคนนี้ก็กระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะเพลงด้วยความสนุกสนาน
หญิงคนนั้น พอเห็นเข้าก็หัวเราะเลยเพราะมันเป็นภาพที่ประหลาด คนขาเดียวกระโดดโลดเต้นตามจังหวะเพลง หัวเราะแล้วก็บอกว่า ถ้าเธอเต้นได้ ฉันก็ร้องได้เหมือนกัน หญิงสาวคนนี้ก็ร้องเพลงคลอกับเสียงเพลง ขณะที่หนุ่มคนนั้นก็เต้นไปตามจังหวะเพลง
ก็ปรากฏว่ากลายเป็นเพื่อนกัน แล้วก็พูดคุยกัน ตอนหลังผู้หญิงคนนั้นก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว เริ่มกลับมาเป็นผู้เป็นคน กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติได้
สุดท้ายก็ถูกคอกัน ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกัน แล้วก็กลายเป็นแฟนกันในที่สุด และก่อนที่จะแต่งงานกัน หนุ่มคนนี้ก็มาหาหมอเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าคนไข้หนุ่มคนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว
หมอก็บอกว่า จำได้ไหม ตอนที่เจอกันครั้งแรก หมอให้คุณวาดภาพ แล้วคุณก็วาดภาพแจกัน แกบอกว่าแกจำได้ หมอก็เลยเอาภาพแจกันที่หนุ่มคนนี้เคยฉีกเป็นชิ้น ๆ เอามาให้ดู จริง ๆ มันก็ไม่เชิงเป็นชิ้น ๆ มันก็เป็นแค่ 3-5 ชิ้นเท่านั้น เอามาต่อให้หนุ่มคนนั้นดู
หนุ่มคนนั้นดูภาพที่ตัวเองเคยวาดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แล้วก็คิดสักหน่อย แกก็บอกว่า นี่ผมยังวาดไม่เสร็จนะ แล้วแกก็ขอสีจากหมอ สีอะไร ไม่ใช่สีดำแล้ว แต่เป็นสีเหลือง แล้วก็วาดเส้นจากรอยแตก หรือรอยร้าวของแจกัน
แต่ละเส้นเป็นเส้นยาว ยาวออกไปจนถึงขอบกระดาษเลย เส้นแล้วเส้นเล่า มันกลายเป็นเหมือนแสงสว่างที่แผ่ออกมาจากรอยร้าว แล้วแกก็บอกหมอว่า แสงสว่างมันออกมาจากตรงนี้ ตรงไหนนะ ตรงเส้นที่เป็นรอยแตกรอยร้าวของแจกัน
มันเป็นภาพที่สะท้อนความรู้สึกของหนุ่มคนนี้ได้ชัดเจนเลยนะ ครั้งแรกที่แกวาด แกใช้สีดำ ย้ำรอยแตก เหมือนกับว่าชีวิตของฉันนี่มันไม่มีคุณค่าแล้ว มันไม่ต่างจากแจกันที่แตกร้าวแล้ว
แต่คราวนี้ รอยแตกมันกลายเป็นช่องเปิดให้แสงสว่างได้แผ่กระจายออกมา เป็นแสงแห่งความสุข เป็นแสงแห่งความสดชื่นสดใส ก็หมายความว่าเริ่มภูมิใจแล้วกับความพิการของตัว
แต่ก่อนรังเกียจร่างกายของตัว ว่ามันไร้ค่า แต่ตอนนี้รู้สึกภาคภูมิใจกับความพิการ เพราะว่าความพิการมันทำให้ตัวเองเข้าใจคนที่ทุกข์ยากเหมือนตัวเอง เข้าใจไม่พอ ยังทำให้ตัวเองสามารถไปช่วยคนเหล่านั้น ทำให้คนเหล่านั้นอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพราะคนที่แกไปช่วยนี่ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว มันรู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า แต่เขาสามารถจะไปช่วยให้คนเหล่านี้กลับมามีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ มีความหวัง สามารถจะเดินหน้าต่อไปได้
ที่ทำอย่างนั้นได้ เพราะอะไร เพราะตัวเองพิการเหมือนกับคนอื่น ความพิการของตัวเองมันทำให้คนอื่นหรือคนป่วย สามารถจะฟังคำแนะนำของเขาได้
ที่จริงมันเป็นคำแนะนำที่ออกมาจากคนที่มีประสบการณ์เดียวกัน เพราะถ้าไม่พิการ ก็คงจะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เสียโฉม คนที่พิการเหมือนกับตัว
แล้วเขารู้สึกว่าความพิการของตัวเองมันมีคุณค่า มันสามารถช่วยคนอื่นได้ ช่วยคนที่ประสบเหตุเหมือนกับตัวเอง และที่สำคัญก็คือว่า เขาเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเขามีคุณค่าขึ้นมาใหม่ แต่ก่อนชีวิตไม่มีคุณค่าเลย ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม แต่ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่า อยากอยู่ต่อ แล้วอยากช่วยคน
อันนี้เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ จริง ๆ แล้วมันสะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่า อะไรเกิดขึ้นกับเรา มันไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร แม้กระทั่งความพิการ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องทำให้เราทุกข์เสมอไป
ถ้าเรามองไม่เป็น เราก็ทุกข์เพราะความพิการ ไม่อยากอยู่ เพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า เสียเซลฟ์ (self) แต่ว่าสำหรับชายหนุ่มคนนี้ ความพิการกลับกลายเป็นของดี เพราะมันทำให้เขาเข้าใจคนอื่นที่ประสบทุกข์ และสามารถจะช่วยคนเหล่านั้นให้กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสได้
แล้วมันทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตเขามีคุณค่าขึ้นมา พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เขาอยากจะขอบคุณความพิการ แล้วเขาก็ภูมิใจในความพิการของเขา แสดงออกจากแสงสีเหลืองที่มันกระจายจากรอยแตกของแจกัน กระจายออกไปทั่วแผ่นกระดาษเลย
แล้วมันยังชี้ให้เห็นว่า คนเราเวลาทุกข์ ถ้าหากว่าคิดถึงแต่ตัวเอง มันจะยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ แต่ความทุกข์มันเลือนหายไปจากใจของเขา เพราะเขาได้ไปช่วยคนอื่น
คนเราเวลาทุกข์ ถ้ามันคิดถึงแต่ตัวเอง มันยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย แต่พอออกไปช่วยคนอื่น ในด้านหนึ่งก็คือ ลืมความทุกข์ของตัว แต่ในอีกส่วนหนึ่งก็คือว่า มันมีความสุขมาทดแทน เพราะว่าได้ไปช่วยคนอื่น ให้เขาหายจากทุกข์ ตัวเองก็พลอยมีความสุข
และสิ่งที่ได้มา ไม่ใช่แค่ความสุข แต่มันยังเป็นความรู้สึกว่า ชีวิตฉันมีคุณค่า ไม่ใช่เป็นกรวดเม็ดร้าว มันมีคำเปรียบเปรยว่า คนบางคนเหมือนกับแก้วที่ร้าว เหมือนกับกรวดเม็ดร้าว ไม่มีคุณค่า
แต่ว่าการที่ได้ไปช่วยคนอื่น มันทำให้ตัวเองมีคุณค่าขึ้นมา แล้วรู้สึกมีความสุข ยังพิการเหมือนเดิม แต่ว่าไม่ทุกข์แล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่ทุกข์กับความพิการ แต่มีความสุข แถมยังขอบคุณความพิการด้วย
คนเรานี้ต้องรู้จักในการเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค เราก็ไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรในวันข้างหน้า อาจจะเจอความพิการ อาจจะเจอความเจ็บป่วย อาจจะเจอความผิดหวัง อาจจะเจอความสูญเสีย
แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักที่จะเปลี่ยนความทุกข์ ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า หรือรู้จักปรับมุมมองของเรา แทนที่จะเห็นว่าความพิการ หรือว่าเคราะห์เหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่มองว่ามันเป็นประโยชน์
มันไม่ใช่ง่ายที่คนพิการคนหนึ่ง จะเห็นว่าความพิการมีคุณค่า แต่ว่าชายหนุ่มคนนี้สามารถจะมองเห็นได้ ทั้ง ๆ ที่แกก็อาจจะไม่สนใจธรรมะ แต่แกกลับขอบคุณความพิการ
เวลาเราเจอสิ่งที่ไม่สมหวัง สิ่งที่มันเป็นเคราะห์ แทนที่เราจะเอาแต่บ่นก่นด่าชะตากรรมของตัวเอง หรือโทษคนนั้นคนนี้ ลองตั้งหลักให้ดี เราจะพบว่ามันมีประโยชน์ สามารถจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราทำสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเอง และกับผู้อื่นได้
ของอย่างนี้มันก็ต้องฝึก เวลาเราเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ เจอคนพูดไม่ถูกหู หรือว่าเจอแดดร้อน เจอยุงกัด ลองฝึกด้วยการ ทำอย่างไรใจไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย
ยุงกัดก็ดีนะ เขามาฝึกให้เราได้ ไม่ใช่แค่ความอดทน แต่ว่าได้ฝึกสติ ทำอย่างไรจึงจะเห็นเวทนาโดยที่ไม่ไปจมปลักเกี่ยวกับเวทนา เห็นความคันโดยที่ไม่เป็นผู้คัน
เวลาเจอคนไม่น่ารัก คนที่น่าระอา คนที่เห็นแก่ตัว ทำอย่างไรใจเราจะไม่ทุกข์ ทำอย่างไรเราจะยกจิตให้อยู่เหนือการกระทำของคนเหล่านี้ได้
มองว่าเขามาเป็นครูบาอาจารย์สอนเรา ให้ใจเรามั่นคงไม่หวั่นไหว ใจไม่กระเพื่อม เพราะนี่คือสิ่งที่จะมาฝึกให้เราเข้มแข็ง เพราะต่อไปเราจะต้องเจอบททดสอบ หรือเจอปัญหาที่หนักกว่านี้
ไม่ต้องรอให้พิการเสียก่อน แต่ว่าเอาความทุกข์ เอาสิ่งที่ไม่ถูกใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เอามาเป็นแบบฝึกหัด มันก็จะช่วยทำให้เราเติบโตได้ ทำให้เรามีจิตใจที่มั่นคง และทำให้เราสามารถที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ หรือเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้.