พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 12 กันยายน 2567
เมื่อปี 2540 ก็เกือบ 30 ปีที่แล้ว หลวงพ่อคำเขียนได้รับนิมนต์ ให้ไปสอนธรรมที่ประเทศอเมริกา อาตมาก็ไปด้วยในฐานะล่าม
มีช่วงหนึ่ง ท่านก็ไปสอนการภาวนาที่วัดจวงเหยียน ซึ่งเป็นวัดจีนในรัฐนิวยอร์ก ก็มีโยมหลายคนสนใจเรื่องการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน ท่านก็สอนแล้วก็พาทำ
วันหนึ่งตอนบ่าย ๆ ขณะที่ลูกศิษย์หลวงพ่อกำลังเดินจงกรมสร้างจังหวะในวิหาร ก็มีฝรั่งคนหนึ่งเข้ามาในวิหาร แล้วก็มาหาหลวงพ่อ อายุประมาณสัก 40 กว่า ทีแรกก็นึกว่าเขาอยากจะรู้เรื่องพระพุทธศาสนา เห็นมีพระจากเมืองไทยมา ก็ถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้สนทนาหาความรู้ หรือไม่ก็คงจะสนใจเรื่องการภาวนา
แต่เปล่าเลย เขามาเพราะว่าเขามีปัญหา คงเป็นปัญหาที่หนักอกหนักใจของเขามากจนทำให้เครียด ที่รู้ว่าเครียดก็เพราะว่านอกจากสีหน้าเขาจะไม่สู้ดีแล้ว เขายังมีกลิ่นเหล้าโชยมา แสดงว่าก่อนที่จะมานี้คงจะกินเหล้า แล้วที่กินเหล้าก็คงจะเครียด
ทีแรกนึกว่าปัญหาของเขาหนักหนาสาหัส มันก็ไม่เชิง แต่ในความรู้สึกของเขา มันเป็นเรื่องใหญ่ เขาเล่าว่า เมื่อวานนี้ไปเจอเงินประมาณ 200 ดอลลาร์ เป็นธนบัตร อยู่ที่หน้าธนาคารแห่งหนึ่ง เขาหยิบธนบัตร 200 นี่ ก็คงเป็นธนบัตร 100 ดอลลาร์ 2 ใบ ก็ดูเหมือนจะเป็นโชคเพราะว่าคนเราเวลาได้เงิน หรือเก็บเงินได้ก็ถือว่าเป็นโชค ที่จะเอาเงินนั้นไปใช้อะไรก็ได้
แต่เขามีความขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะว่าใจหนึ่งอยากจะเก็บเงินนั้นเอาไว้ เพราะว่ากำลังต้องการเงิน ตกงาน ก็เรียกว่าร้อนเงินก็คงจะได้ แต่อีกใจหนึ่งก็เห็นว่ามันไม่ถูกที่จะเอาเงินของใครไม่รู้ มาเป็นส่วนตัว จะเก็บเข้ากระเป๋า แล้วเอาไปใช้ทำอะไรตามอำเภอใจ มันไม่ถูก
ก็มีฝรั่งที่คิดแบบนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ถือพุทธ แต่เขาก็รู้ว่าการทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นชาวพุทธก็คงเห็นว่า เป็นการผิดศีลข้อที่ 2 คือ เอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน
เขาไม่ได้เป็นชาวพุทธ แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ถ้าจะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ส่วนตัว แต่อีกใจหนึ่งก็อยากได้ เพราะตกงาน มันมีการสู้รบกันในจิตใจ และคงจะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับเงินก้อนนี้
พอเครียดมาก ๆ ก็เลยกินเหล้า แต่ว่าพอสร่างเมา หรือพอฤทธิ์เหล้าจาง ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับเงิน 200 ดอลลาร์นี้ เขาก็เลยมาหาหลวงพ่อ ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้จักหรอก แต่คงเห็นว่าพระคงจะให้คำแนะนำได้ อาตมาก็บอกเขาว่าในเมื่อเงินมันไม่ใช่ของเรา ก็ควรจะหาทางคืนเจ้าของเขาไป
เขาก็ดูเหมือนแย้งว่าจะคืนได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร เงินตกอยู่หน้าธนาคาร ก็เลยแนะนำว่าเอาเงินนี้ไปมอบให้กับพนักงานธนาคาร บอกว่าเก็บได้และให้ช่วยตามหาเจ้าของด้วย ก็คุยกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็เห็นด้วย แล้วเขาก็ลา ออกจากวัดไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลย
น่าสนใจ เวลาเจอปัญหาแบบนี้ ถ้าเป็นคนจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยด้วย คงไม่มีปัญหา ไม่มีความขัดแย้งในใจ เพราะว่าเจอเงินได้ ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ก็เอามาใช้เสียเลย แต่ฝรั่งคนนี้ถึงแม้ว่าดูเหมือนจะไม่ได้สนใจธรรมะ แต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าก็เกิดความขัดแย้งในใจ เกิดการต่อสู้กัน แล้วก็ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยมาหาคนช่วยแนะนำหรือตัดสินใจให้
ที่จริง ถ้าพิจารณาดูดี ๆ เขาคงตัดสินใจได้แล้วล่ะว่าควรเอาเงินก้อนนี้ไปคืนเจ้าของ หรือหาทางเอาเงินก้อนนี้คืนเจ้าของ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่สมควรจะเอาเงินนี้มาใช้ส่วนตัว แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็อยากจะเอาเงินไปใช้
แต่แม้ว่าจะตัดสินใจได้แล้ว ความรู้สึกบางครั้งก็ก้ำกึ่ง และในส่วนลึกคงคิดว่าความอยากจะได้เงิน กลัวว่ามันจะมีกำลังเหนือจิตใจ จนกระทั่งเอาเงินไปใช้เป็นส่วนตัว ซึ่งถึงตอนนั้นก็คงจะรู้สึกไม่ดี รู้สึกผิด
ใจใฝ่ดี มันต่อสู้กับใจที่เห็นแก่ตัว และแม้จะตัดสินใจได้แล้วว่าจะหาทางคืนเจ้าของ แต่ว่าก็กลัวว่าจะพลาดท่าเสียทีให้กับใจที่อยากได้เงินก้อนนี้ ก็เลยพยายามไปหาตัวช่วย
ที่มาวัด ไม่ใช่ว่าตัดสินใจไม่ได้ ตัดสินใจได้แล้ว แต่ว่าใจที่เห็นแก่ตัวที่มันอยากได้ มีกำลัง เขาก็คงกลัวว่าถ้าไม่ทำอะไรเลย เดี๋ยวก็จะตกเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว
อยากจะหาใครที่มาช่วยสนับสนุนใจที่ใฝ่ดีก็เลยเลือกมาที่วัด ทั้งที่ไม่รู้จักวัดจวงเหยียน หรือว่าไม่รู้จักคนในวัด เพราะว่าการที่ตัดสินใจมาวัดก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ในใจส่วนลึก อยากจะคืนเงิน เพราะเชื่อว่าถ้ามาปรึกษาคนในวัด เช่น พระ พระก็จะบอกว่า ให้คืนเจ้าของไปเถอะ
ฉะนั้นถ้ามองในแง่นี้ เขาตัดสินใจแล้วก่อนที่จะมาหาหลวงพ่อ แต่ว่าก็กลัวว่าจะตัดสินใจไม่เด็ดขาด กลัวว่าจะพ่ายแพ้ต่อกิเลสก็เลยมาหาตัวช่วย หรือมาหาคนที่จะมาเห็นด้วยกับตัวเอง จะได้มีน้ำหนัก และตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
คนเรา บางครั้งดูเหมือนว่าตัดสินใจอะไรไม่ได้ ก้ำกึ่งระหว่างใจใฝ่ดีกับกิเลส แต่บางครั้งตัดสินใจได้แล้ว แต่ว่าใจที่ใฝ่ดีกลัวว่า กิเลสจะมีชัยเหนือใจใฝ่ดี ก็เลยต้องหาอะไรสักอย่างมาช่วยเป็นกำลังให้กับใจใฝ่ดี เพราะกลัวใจตัวเอง หรือกลัวกิเลสตัวเอง
แต่บางเรื่อง มันอาจไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิเลสกับความใฝ่ดี มันเป็นปัญหาชีวิตที่ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร หรือบางทีตัดสินใจได้แล้ว แต่ว่าก็ยังก้ำ ๆ กึ่ง ๆ โอนไปเอียงมา อยากจะตัดสินใจแบบนี้แต่ว่ากลัวว่าจะทำอย่างอื่น ก็เลยต้องมาหาคนที่จะเห็นด้วยกับการเลือกที่ตัวเองตัดสินใจแล้ว
มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาหลวงพ่อท่านหนึ่ง มาปรึกษาว่า สามีแย่มากเลย ทั้งขี้เหล้า เจ้าชู้ แล้วก็ไม่ค่อยเอางานเอาการ ใจร้อนอีกต่างหาก ชอบด่าว่าเมีย เธอรู้สึกว่าอยู่ไม่ไหวแล้วมาปรึกษาหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่า ถ้าคิดว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็หย่าสิ เธอก็แย้งว่าจะหย่าได้อย่างไร ยังมีลูกเล็กอยู่ 2 คน หลวงพ่อก็บอกว่าก็ให้สามีเลี้ยงสิ เธอก็แย้งว่าเด็กยังเล็ก สามีเลี้ยงไม่ได้หรอก หลวงพ่อก็เลยบอกว่างั้นเธอก็เลี้ยงเองสิ เธอก็บอกว่าแค่เอาตัวฉันให้รอดก็ยังแย่เลย ขืนต้องดูแลลูกด้วย จะไหวเหรอ
หลวงพ่อฟังดูแล้วก็รู้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้เธอเลือกที่จะอยู่กับสามีต่อ ถึงแม้ว่าเธอมาปรึกษาเหมือนกับว่าตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะอยู่กับสามีหรือจะหย่า แต่จากปฏิกิริยาของเธอ มันแสดงให้เห็นว่า เธอตัดสินใจที่จะอยู่กับสามี อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง พอหลวงพ่อรู้แบบนี้ก็เลยบอกว่า อย่างนั้นก็อยู่กับเขาไปก่อน พอหลวงพ่อแนะนำแบบนี้ เธอก็ยิ้มเลย
แปลว่าอะไร แปลว่าเธอตัดสินใจแล้วก่อนที่จะมาหาหลวงพ่อ ว่าจะอยู่กับสามีไปสักระยะหนึ่ง แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็อยากจะหย่า ดูเหมือนตัดสินใจไม่ได้ แต่ว่าตัดสินใจไปแล้ว เพียงแต่ว่าน้ำหนักประเภท 52:48 52 คืออยู่ต่อ ส่วน 48 คือหย่า มันมีลักษณะก้ำๆ กึ่ง ๆ
แล้วก็เลยคิดว่ากลัวว่าจะโอนเอียงไปอีกทางหนึ่งคือทางที่หย่า กลัวว่าจะตัดสินใจไปทางนั้น ก็เลยมาหาคนที่จะช่วยสนับสนุนให้อยู่ต่อ แต่บังเอิญทีแรกหลวงพ่อท่านเชียร์ให้หย่า เธอก็เลยแย้งว่ามันหย่ายาก มีปัญหาเยอะ อาการที่เธอแย้งนี่ แสดงว่าตัดสินใจแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เด็ดขาด อยากให้หลวงพ่อพูดสนับสนุนให้อยู่ต่อ พอหลวงพ่อพูดให้อยู่ต่อ เธอก็โอเค จบ
คนจำนวนไม่น้อยที่เขาดูเหมือนมีปัญหาว่าตัดสินใจไม่ได้ จริง ๆ ก็ตัดสินใจได้แล้ว แต่ว่ามันก้ำ ๆ กึ่ง ๆ กับอีกทางเลือกหนึ่ง แล้วก็กลัวว่าจะเลือกไปอีกทางหนึ่ง ก็เลยต้องมาหาตัวช่วย เพื่อที่จะมาสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองเลือกแล้ว เพราะคนเราบ่อยครั้ง มันก็มีการขัดแย้งกันระหว่างสมองกับหัวใจ
อย่างชายในตอนต้นเรื่อง หัวใจมันอยากได้เงิน แต่สมองบอกว่าเอาไม่ได้ เงินไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่เงินของเรา มันสู้กัน แต่ว่าคนเราเวลามีอาการก้ำ ๆ กึ่ง ๆ ต้องต่อสู้กับตัวเอง มันทุกข์มากเลย ใจใฝ่ดีก็อยากจะหาตัวช่วยก็เลยมาหาหลวงพ่อ เพื่อให้น้ำหนักของใจใฝ่ดีมันมีกำลัง
หลายคนเป็นคนที่ชอบช้อปปิ้ง ชอบซื้อ เห็นอะไรทาง facebook ทางเว็บไซต์ ก็อยากจะซื้อ อยากจะได้ เพราะราคาถูก คุณภาพดี ซื้อแล้วซื้ออีก จนกระทั่งเป็นหนี้เป็นสิน เพราะว่าไปยืมเงินเขา หรือเอาเงินจากอนาคตมาใช้ผ่านเครดิตการ์ด ห้ามใจไม่อยู่ รู้ว่ามันไม่ดี แต่ก็ห้ามใจไม่ได้
มีบางคนก็เลยใช้วิธีเอาบัตรเครดิตไปใส่ไว้ในแก้วน้ำ แล้วก็เติมน้ำลงไป แล้วก็เอาแก้วน้ำพร้อมกับบัตรเครดิตไปแช่ไว้ใน freezer ให้มันแข็ง เพื่ออะไร เพื่อว่าเวลาจะซื้ออะไร ใจอยากจะซื้อ แต่ว่าอีกใจหนึ่งมันไม่อยากซื้อ เพราะว่าเงินไม่ค่อยมีแล้ว แล้วมันก็ไม่จำเป็น
แต่ใจส่วนหลัง ฝ่ายที่มีปัญญา มันสู้รบตบมือ หรือต้านทานกับใจที่อยากซื้ออยากมีไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีเอาบัตรเครดิตไปแช่แข็งเอาไว้ เพราะว่าเวลาอยากจะซื้อ มันต้องรอให้น้ำแข็งละลายก่อน
จะเอาน้ำแข็งไปเข้าไมโครเวฟก็ไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวบัตรมันก็จะเสียไปด้วย มันก็จะละลายไปด้วย ฉะนั้นต้องรอให้น้ำแข็งมันละลายก่อน จึงจะเอาบัตรเครดิตมาใช้ในการซื้อสินค้าออนไลน์ แต่กว่าน้ำแข็งจะละลาย มันก็ใช้เวลา 10 นาที ถึงตอนนั้นก็อาจจะมีสติ ยับยั้งใจได้ ไม่ซื้อ
นี่ก็เป็นวิธีการของคนที่เขาต่อสู้กับตัวเอง ระหว่างสมองกับหัวใจ ระหว่างกิเลสกับใจที่อยากจะอยู่แบบเรียบง่าย บ่อยครั้งใจใฝ่ดีมันก็ไม่ค่อยมีกำลัง มันก็ต้องหาตัวช่วย
บางคนเห็นโฆษณาแท็บเล็ตคุณภาพดี ยี่ห้อทันสมัย ราคาไม่แพง แถมมีอยู่เครื่องเดียว ใครจะซื้อต้องไปที่ร้าน เห็นแล้วก็อยากได้ แต่ว่าใจหนึ่งก็รู้สึกว่า เราก็ยังมีแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งใช้ แล้วเราก็ไม่ได้มีเงินมากเท่าไหร่ แต่ว่าห้ามใจไม่อยู่ ไปละ นั่งรถไปที่ห้างแล้ว เพราะว่าต้องรีบไป เนื่องจากมันมีสินค้าอยู่ชิ้นเดียว
พอไปถึงปรากฏว่า มีคนซื้อไปแล้ว ดีใจเลย ทำไมดีใจ ก็ไปเพื่ออยากซื้อไม่ใช่เหรอ ใจที่อยากซื้อคือกิเลส หรือความอยาก แต่อีกใจหนึ่งมันก็ไม่อยากซื้อ เพราะว่าเงินก็ไม่ค่อยมี แถมแท็บเล็ตก็มีอยู่แล้ว
ที่จริงดูเหมือนเขาตัดสินใจไม่ได้ หรือเหมือนกับว่าก้ำ ๆ กึ่ง ๆ ซื้อดี ไม่ซื้อดี แต่ที่จริงในใจนี้ไม่อยากซื้อหรอก รู้ได้อย่างไร รู้จากการที่เลือกออกเดินทางไปซื้อให้มันช้าหน่อย เพราะถ้าไปซื้อเร็ว ก็ได้ไปแล้ว แต่นี่เจ้าตัวเลือกที่จะออกสาย
มันเป็นความตั้งใจที่จะออกสาย เพื่ออะไร ออกสายรถก็ติด พอรถติดก็จะไปถึงร้านช้า ถึงร้านช้าก็โดนคนอื่นแซงไปเสียแล้ว
ใจส่วนลึกของคนเรา มันรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บางครั้งอาจจะห้ามใจไม่ได้ เพราะว่ากิเลสมันมีอำนาจแรงกว่า แต่ว่าก็ยังพยายามทำ หรือใช้วิธีการบางอย่างที่จะทำให้ไม่สามารถสนองความต้องการของกิเลสได้ เช่น เลือกออกเดินทางสาย ๆ จะได้ไปถึงช้า คนอื่นจะได้ไปซื้อก่อน
คนเรามักจะต้องต่อสู้กับตัวเองอยู่เสมอ และถ้าเราปรารถนาที่จะให้จิตใจของเราไปในทางที่ถูกต้อง ชีวิตของเราไปในทางที่ดีงาม มันจำเป็นต้องมีตัวช่วย ตัวช่วยเพื่อที่จะน้อมใจให้ไปในทางที่ถูกต้อง หรือเพื่อเป็นกำลังให้กับใจใฝ่ดี
การมีกัลยาณมิตรก็เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง เวลาเราตัดสินใจอะไรไม่ได้ หรือตัดสินใจแล้วแต่กลัวว่าจะพ่ายแพ้ต่อกิเลส การได้กัลยาณมิตรแนะนำมันทำให้มั่นใจมากขึ้น หรือทำให้ใจใฝ่ดีมีกำลัง เอาชนะใจใฝ่ไม่ดี หรือใจใฝ่กิเลสได้
บางครั้งเราต้องอาศัยสถานที่ สิ่งแวดล้อม อย่างเช่น เวลาเรามาเจริญสติ ถ้าเราปฏิบัติอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ก็อาจจะรู้สึกว่ามันยาก แต่การที่เราพาตัวเรามาที่วัดอย่างวัดป่าสุคะโต มันก็เป็นการพยายามอาศัยตัวช่วยเพื่อทำให้ใจของเราสงบได้เร็วขึ้น
รูปแบบก็มีส่วน รูปแบบวิธีการอย่างการเจริญสติ เดินจงกรม ถามว่าทำไมต้องมีการเดินกลับไปกลับมา ทำไมไม่เดินยาว ๆ ที่เดินกลับไปกลับมาก็เพราะว่า เวลาเราเดิน พอเราเดินสุดทาง แล้วเราวกกลับ ความคิดมันจะสะดุด ทำให้เปิดช่องให้สติได้ทำงาน
ถึงแม้ว่าการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน ท่านไม่เน้นการห้ามความคิด ท่านไม่สอนให้ห้ามความคิด ไม่ได้สอนให้หยุดคิด แต่ว่าการมีตัวช่วย ทำให้ความคิดมันสะดุด เป็นสิ่งที่ควรทำ แล้วก็ทำได้
การเดินจงกรม เดินไป 3 เมตร แล้วหยุด พอเราหยุด ความคิดก็สะดุด สติก็จะได้ช่องมาทำงาน หรือเวลาสร้างจังหวะ ใหม่ ๆ ก็จะให้หยุด ให้หยุดเป็นพัก ๆ เป็นขณะ ๆ ไม่ให้ยกมือต่อเนื่อง เพราะว่าเวลาเรายกมือแล้วเราหยุดเป็นขณะ ๆ มันจะทำให้ความคิดมันสะดุดไปด้วย
เวลายกมือแล้ว ยกมือปัดไปปัดมาไว ๆ บางทีความคิดมันเเล่นต่อเป็นสายเลย แต่พอเราทำให้ช้าลง มีการหยุดเป็นพัก ๆ ความคิดมันก็พลอยสะดุด ทำให้สติ หรือความรู้สึกตัวเข้ามาแทนที่
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวช่วยจะมีประโยชน์ แต่เราจะไปพึ่งพาตัวช่วยไปตลอดเวลาก็ไม่ได้ เช่น หลายคนบอกว่า เวลามาวัดแล้วรู้สึกสงบ ไม่เหมือนเวลาอยู่บ้าน หรือเวลาทำงานทำการ อันนี้มันก็ดีอยู่ ความสงบช่วยทำให้สติเติบโตได้ไว ความรู้สึกตัวกลับมาเร็ว
แต่เราก็ต้องระวังที่จะไม่พึ่งพาหรือพึ่งพิงตัวช่วย เพราะไม่อย่างนั้นจะติดตัวช่วย เช่น ติดสถานที่ที่มันสงบ ๆ เราต้องรู้จักทิ้ง หรือวางตัวช่วยลงบ้าง
ไปเจอ หรือไปปฏิบัติ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มันวุ่นวาย นอกจากแวดล้อมด้วยกัลยาณมิตรแล้ว บางทีอาจจะไปเจอกับมิตรที่ไม่ค่อยน่ารัก หรือไม่เป็นมิตรเลย ก็เพื่อจะได้เจริญสติ ได้ฝึกสติ ให้เราสามารถที่จะรับมือกับสิ่งกระทบต่าง ๆ ได้
แล้วไม่ใช่แค่สิ่งกระทบภายนอกอย่างเดียว แม้กระทั่งกิเลสภายใน เราก็ต้องฝึก ให้สติ หรือความรู้สึกตัว หรือปัญญา มันมีกำลังพอที่จะจัดการกับความหลง ความเห็นแก่ตัว หรือกิเลสได้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยตัวช่วย อย่างที่ได้พูดมา
ตัวช่วยมีประโยชน์ แต่ว่าอย่าพึ่งพิงหรือพึ่งพามันมาก ไม่อย่างนั้นจะติด ขาดตัวช่วยเมื่อไหร่ ก็เสียท่ากิเลส เสียท่าความหลงเมื่อนั้น อันนั้นมันไม่ใช่ทาง เราต้องสามารถจะพัฒนาสติ ความรู้สึกตัว ปัญญา ให้มีกำลังเหนือกิเลสหรือความหลงให้ได้.