พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 7 กันยายน 2567
ผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อนชวนเธอไปทอดผ้าป่าที่โคราช ขับรถไปด้วยกัน พอพ้นจากตัวเมือง เธอก็มีเรื่องบ่นอยู่แทบตลอดเส้นทางเลย
บางทีก็บ่นว่าบ้านที่เห็นข้างทาง ทำไมตัดต้นไม้จนเหี้ยนเลย ไม่มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ให้ร่มเงาเลย ไปอีกสักหน่อยก็เห็นหมาวิ่งออกจากบ้านหลังหนึ่งไล่กัดกันกับหมาข้างถนน หมาตัวใหญ่ด้วยกำลังกัดหมาข้างถนน เธอก็บ่นว่าทำไมเจ้าของบ้านไม่ล่ามหมาเอาไว้ ปล่อยให้หมานี้ไปอาละวาดเล่นงานหมาจรจัด
ไปได้อีกสักพักก็เห็นบ้านหลังหนึ่งหมาเยอะแยะแต่ว่าหมาผอมโซ ทำไมเขาไม่ดูแลหมาให้ดีนะ ปล่อยให้หมาแต่ละตัวนี้ผอมโซ ดูไม่ได้เลย พอผ่านไปไม่ไกลก็เห็นไร่อ้อยกำลังมีไฟไหม้ ก็บ่นเลยว่าทำไมต้องจุดไฟเผาด้วย มันทำให้เกิด pollution ทำให้โลกร้อน เดี๋ยวนี้มักง่ายมาก จะตัดอ้อยนี่ก็ใช้วิธีเผาแล้ว ไปอีกสักหน่อยก็เห็นไฟไหม้ข้างทาง แล้วไฟก็ลาม ลามจะไปถึงป่าละเมาะใกล้ ๆ ก็บ่นอีก คนเดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัว สูบบุหรี่ก็โยนบุหรี่ลงข้างทาง ไฟเลยไหม้
ป่าในเมืองไทยไหม้เพราะเห็นแก่ตัวนี้ อันนี้มันไหม้กันเรียกว่าทั่วประเทศเลยเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าแล้ง พอใกล้เข้าถึงตัวเมืองโคราช เห็นสองข้างทางนี้มันมีขยะ ถุงพลาสติก ขวดพลาสติก อยู่สองข้างทาง แล้วบ่นอีก ทำไม อบต. หรือ อบจ. นี้ไม่มาเก็บขยะพวกนี้ ปล่อยให้มันรก
ตลอดเส้นทางเธอก็มีแต่เรื่องบ่น เรื่องที่เธอบ่นนี้มันก็จริง บ้านที่ไม่ล่ามหมาเอาไว้ หรือบ้านที่ไม่เลี้ยงหมาไม่ดูแลหมาดี ๆ หรือบ้านที่ตัดไม้โค่นต้นไม้ ที่เธอพูดนี้มันถูก แต่เธอเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ แต่ว่าสิ่งดี ๆ สองข้างทางไม่เห็นเลย เห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกใจ เห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ไปทอดผ้าป่า แทนที่จะถึงด้วยใจที่ผ่องใส กลายเป็นใจที่หงุดหงิดหมองมัว มีคนแบบนี้ไม่ใช่น้อยที่จับจ้องมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่มันไม่ถูกใจ ทั้งที่สิ่งที่มองหรือสิ่งที่เห็นนี้มันก็จริง แต่ว่าสิ่งที่ดี สิ่งที่มันถูกต้อง มันก็มีอยู่ไม่น้อยบนเส้นทางแต่มองไม่เห็น
เสร็จแล้วเป็นยังไง เจ้าตัวก็ทุกข์ หงุดหงิด บางทีความหงุดหงิดไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น ส่งผลให้คนที่ขับรถมาด้วย นั่งรถมาด้วยนี้เขารำคาญ บ่นตลอดทางเลย เหมือนกับคุณยายคนหนึ่งเวลาออกไปนอกบ้าน กลับมาก็มีแต่เรื่องบ่น ไม่ใช่บ่นรถติดอย่างเดียว ไม่ใช่บ่นว่าพอลลูชั่นหรือมลภาวะเยอะอย่างเดียว
แกบ่นวัยรุ่นหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้มันแต่งตัวกันโป๊มาก จับมือถือแขนกัน ไม่มีน้ำอกน้ำใจเลย แล้วทั้งวันนี่ไปที่ไหนก็เห็นแต่ดูโทรศัพท์ อยู่บนรถไฟฟ้าก็ดูโทรศัพท์ ไม่สนใจเลยว่ามีคนแก่ยืนหรือคนท้องยืนอยู่หรือเปล่า แทนที่จะลุกขึ้นยกให้ที่นั่งกับคนเหล่านี้ก็ไม่สนใจ ไปทีไรก็จะมีแต่เรื่องบ่น
ตัวเองหงุดหงิดอย่างเดียวไม่พอ ยังเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่ามาระบายให้ลูกที่บ้านฟัง ลูกก็รำคาญเพราะว่าแม่ออกจากบ้านทีไรกลับมามีแต่เรื่องบ่นทั้งนั้น ทำไมเขาถึงมีแต่เรื่องบ่น เพราะว่าเขาเห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่มันไม่ดี พูดง่าย ๆ คือ มองเห็นแต่ลบ สิ่งที่เป็นบวกก็มี แต่ว่าบางคนมองไม่เห็นเอาเสียเลย ไม่ใช่เพราะว่ารอบข้างไม่มี แต่มองไม่เห็น
แล้วพอเห็นว่ามีทัศนคติหรือมุมมองแบบนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่เคยพอใจเลย มีแต่เรื่องบ่น มีแต่เรื่องตำหนิ ดินฟ้าอากาศบ้าง สิ่งแวดล้อมบ้าง ผู้คนบ้าง แล้วบังเอิญโลกทุกวันนี้ในความเป็นจริงมันไม่มีที่ไหนที่สมบูรณ์แบบ แม้จะไปที่ที่คนเรียบร้อย คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ธรรมชาติก็เป็นใจ ดินฟ้าอากาศก็เย็นสบาย แต่ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีข้อเสีย มีข้อบกพร่อง
แต่พอคอยจับจ้องมองเห็นแต่สิ่งที่มันไม่ดี ไปที่ไหนก็ไม่มีความสุข แม้แต่ไปรีสอร์ทที่ใคร ๆ เขาชมกัน ก็ยังมีเรื่องบ่นอยู่นั่นเพราะเห็นแต่ข้อตำหนิ ทั้งที่พนักงานเขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส บริการก็ดี แต่ก็เห็นข้อตำหนิอยู่ตลอดเวลา
การที่มีมุมมองแบบนี้มันไม่ได้สร้างความสุขให้กับเจ้าตัวเลย และไม่ว่าไปที่ไหนก็จะไม่มีความสุข แม้จะไปที่ที่ดี หรือแม้แต่เวลาทำงาน แม้จะทำได้ดี ทำด้วยความตั้งใจ แต่ก็ยังไม่มีความพอใจ เพราะว่าเห็นแต่ข้อตำหนิทั้งที่เล็กน้อยมาก
อาจารย์พรหมวังโส ท่านเล่าว่าสมัยที่ท่านไปบุกเบิกสร้างวัดไทย สร้างวัดทางพุทธศาสนาที่เพิร์ธ ออสเตรเลีย ท่านเป็นพระฝรั่ง เป็นพระชาวอังกฤษ ไปอยู่กับหลวงพ่อชาอยู่พักหนึ่งก็หลายปีทีเดียว แล้วค่อยไปเผยแผ่ศาสนาที่ออสเตรเลีย ไปที่นั่นก็ต้องสร้างวัดตั้งแต่เริ่มจากศูนย์
มีคราวหนึ่งเจ้าอาวาสมอบหมายให้ท่านสร้างหรือก่อกำแพง ท่านก็ก่อกำแพงอย่างใส่ใจมาก เรียงอิฐ แต่ละก้อนนี้ท่านเรียงอย่างพิถีพิถันมาก ต้องใช้เวลาเป็นเดือนที่จะก่อกำแพง จนกระทั่งเกือบจะเสร็จแล้วเหลือบไปเห็นมีอิฐอยู่ 2 ก้อนที่มันไม่ค่อยได้ระดับกับหินก้อนอื่น ๆ มันไม่ค่อยกลืนเท่าไหร่
ที่จริงก็เล็กน้อยมากแต่ว่าท่านเห็นแล้วก็ไม่พอใจ จะรื้อก็รื้อลำบากเพราะว่าปูนมันแข็งเสียแล้ว แต่ว่าท่านก็ยังไปขออนุญาตเจ้าอาวาสว่า ขอรื้อได้ไหม เพราะว่าอิฐ 2 ก้อนนี้ มันทำให้กำแพงนี้ไม่สวยเลย เจ้าอาวาสไม่ยอม ก็ทำให้ท่านนี้เรียกว่าคาใจ เวลาเดินผ่านกำแพงจะเห็นแต่อิฐ 2 ก้อนนี้แหละ แล้วก็ไม่สบายใจ
วันหนึ่งก็มีอาคันตุกะมาที่วัด ท่านชวนพาเดินเที่ยวชมวัด บังเอิญต้องผ่านกำแพงนี้ ท่านก็ไม่อยากเดินผ่านแต่ว่ามันจำเป็นต้องเดินผ่าน ปรากฏว่าอาคันตุกะชมว่ากำแพงนี้ก่อได้สวย อาจารย์พรหมไม่เชื่อ ท่านไม่เชื่อหูเลยนะ ย้อนกลับไปถามอาคันตุกะคนนั้นว่ามันจะสวยได้ยังไง คุณดูดิอิฐ 2 ก้อนนี้มันไม่เข้ากันเลย อาคันตุกะบอก “ผมเห็นครับ แต่ว่าผมเห็นที่เหลือมันสวยครับ”
อาจารย์พรหม บอกว่าท่านได้คิดเลย อย่างที่สมัยนี้ใช้คำว่าตาสว่างเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านเห็นแต่อิฐ 2 ก้อน ท่านไม่เคยเห็นอิฐ 998 ก้อนมันสวยเลย แล้วนี่เป็นเหตุทำให้ท่านมีความทุกข์เวลาผ่านกำแพงแห่งนี้ แต่ว่าอาคันตุกะเขาไม่ได้เห็นแค่อิฐ 2 ก้อนที่มันไม่ดีหรือไม่สวย เขาเห็นอิฐก้อนที่เหลือซึ่งเยอะมากว่ามันสวย จึงออกปากชม
อาจารย์พรหมบอกว่าท่านได้เรียนรู้จากประสบการณ์นี้ว่าเป็นเพราะท่านมองเห็นแต่ข้อตำหนิ ท่านไม่ได้มองเห็นสิ่งที่มันสวยเลยซึ่งมันก็มีมากกว่า
แล้วคนจำนวนไม่น้อยนี้มีมุมมองหรือสายตาแบบนี้ อาจจะเรียกว่าเป็นพวก perfectionist หรือพวกสมบูรณ์แบบก็ได้ หรือเป็นพวกที่คาดหวังจากชีวิตว่ามันต้องสมบูรณ์แบบ หรือว่ายึดมั่นความถูกต้อง พอเห็นอะไรไม่ถูกต้องนี้ มันก็เตะตาขึ้นมาทันที หรือเห็นอะไรไม่ถูกใจ มันก็สะดุดขึ้นมาทันที
แล้วพอเป็นหนัก ๆ เข้า มันก็จะเห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกใจ เห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องมองไม่เห็น เหมือนกับที่อาจารย์พรหม ท่านมองไม่เห็นอิฐ 998 ก้อนที่มันสวย เห็นแต่อิฐ 2 ก้อน แล้วถ้าหากว่าเรายังมีมุมมองแบบนี้ มันก็เหมือนกับว่าเป็นการเชื้อเชิญความทุกข์ให้เข้ามาสู่ใจเรา เพราะว่าพอเห็นความไม่ถูกต้อง เห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกใจแล้ว มันก็เกิดความหงุดหงิด เกิดความไม่พอใจ ไปที่ไหนก็อดบ่น อดหงุดหงิดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ผู้คน
เขาอาจจะมีข้อบกพร่อง แล้วเราเอาแต่เห็นข้อบกพร่องของคน ๆ นั้น ข้อดีของเขาไม่เห็นเลย หรือว่าบางทีก็เห็นแต่คนที่ไม่ดีอยู่รอบตัว คนดี ๆ ที่มีอยู่กลับมองไม่เห็น อันนี้ก็เรียกว่าเป็นมุมมองที่มันไปเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจของตัวเองมาก
แล้วยิ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ไม่ดี บางครั้งมันไม่ใช่อยู่รอบตัวเรา แต่ว่ามันบังเอิญเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เช่น ความเจ็บ ความป่วย บางคนก็ปักใจจดจ่ออยู่แต่ความเจ็บความป่วย หรือความพิกลพิการของตัว เสร็จแล้วก็จมอยู่ในความทุกข์ แต่ถ้าหากว่าได้คิดสักหน่อย มันก็จะรู้ว่าการมองแบบนั้นมันเป็นการตัดโอกาสที่ชีวิตจะมีความสุข หรือเป็นการปิดความสุขไม่ให้มาพรั่งพรูสู่ใจของเรา
มีหนุ่มคนหนึ่ง แกเป็นโปลิโอตั้งแต่เล็ก เมื่อสัก 50-60 ปีก่อน ใครที่เป็นโปลิโอนี้ อาจจะพิการคือขากะเผลก เพราะว่าไม่มียารักษา แล้วก็ไม่มีวัคซีนป้องกัน คนนี้พอเป็นแล้วนี่โชคดีที่รอดตาย แล้วก็ไม่ต้องใช้ปอดเทียม มีบางคนติดเชื้อโปลิโอต้องอาศัยปอดเทียมตลอดชีวิตเลย 70-80 ปีต้องอาศัยปอดเทียม แต่ไม่ใช่ใช้ปอดเทียมตลอดเวลา
แต่ว่าชายหนุ่มคนนี้แกอาการไม่หนักขนาดนั้น แต่แกก็เดินขากะเผลก ๆ เป็นคนที่มีความขยัน เรียนจบมหาวิทยาลัยได้เกรดที่ดี สิ่งที่เพื่อน ๆ ประหลาดใจ คือว่าแกเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขมาก ทั้ง ๆ ที่พิการ เดินขากะเผลก
แล้วเคยมีเพื่อนถามแกว่าในเมื่อคุณพิการตลอดชีวิตแบบนี้ ทำไมคุณจึงไม่มีความเศร้าโศก ความเสียใจ ความคับแค้น หรือความทุกข์เลย แกตอบว่าแต่ก่อนผมก็มีนะ ผมก็มีนะ ผมก็มีความทุกข์ มีความคับแค้น มีความโกรธ แล้วก็รู้สึกสมเพชตัวเอง แต่ตอนหลังผมก็มาได้คิดว่าไม่ควรใช้ชีวิตที่เหลือให้จมอยู่กับความสมเพชตัวเอง หรือจมอยู่กับความโกรธ ควรใช้ชีวิตที่เหลือนี้ในการชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวผม
แล้วนับแต่นั้นมาแกก็เริ่มที่จะขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ขอบคุณพ่อแม่ ขอบคุณเพื่อนฝูง ขอบคุณครูบาอาจารย์ ขอบคุณร่างกายที่ยังทำให้ยังเดินเหินไปไหนมาไหนได้ ขอบคุณสมองที่ยังทำงานได้ดีจนสามารถจะเรียนจบได้ แล้วขอบคุณพระเจ้าด้วย แกเป็นคริสต์ พอแกขอบคุณสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็มีความสุขมากขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสจนเพื่อน ๆ แปลกใจ
คำพูดของแกน่าสนใจ แกบอกว่า "ผมไม่ได้คิดว่าควรใช้ชีวิตที่เหลือให้จมอยู่กับความเศร้าโศก กับความสมเพชเวทนาตัวเอง” พูดง่าย ๆ ก็คือว่าในเมื่อคนเรามันมีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด เวลาของเราก็เหลือน้อยลงไปทุกที ไม่ควรเสียเวลาให้กับความทุกข์
แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ทั้งที่รู้ว่าเวลาเหลือน้อยลงไปทุกวัน ๆ ทุกชั่วโมง ๆ กลับเอาแต่ปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์ ใช้ชีวิตที่เหลือในการสมเพชเวทนาตัวเอง หรือว่าก่นด่าชะตากรรมว่า ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน
หรือบางทีก็คับแค้นว่า ฉันอุตส่าห์ทำความดีมา รักษาศีล 5 มาตลอด บุญฉันก็ทำ แต่ทำไมฉันต้องมาเจอแบบนี้ บางคนก็อาจจะคับแค้นว่าอุตส่าห์ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี กินอาหารชีวจิต อาหารแมคโครไบโอติกส์ ออร์แกนิค ฉันเลือกกิน บุหรี่ไม่สูบ เหล้าไม่แตะ เนื้อก็แทบจะไม่กินเลย แต่ทำไมฉันยังเป็นโรคมะเร็ง
การก่นด่าชะตากรรม หรือว่าการปล่อยให้ใจจมอยู่กับความคับแค้นแบบนี้ มันมีแต่จะสร้างทุกข์ให้กับตัวเอง ในเมื่อเวลาเหลือน้อยแล้ว แล้วก็ไม่ควรจะปล่อยเวลาให้หมดไปกับความทุกข์ ไปกับความคับแค้น ไม่ว่าเป็นเพราะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเอง หรือเพราะอะไรก็แล้ว จะทำอย่างนี้ได้ มันต้องมีสติ
เพราะถ้าไม่มีสติ มันก็จะอดไม่ได้ที่จะ มองเห็นแต่เรื่องลบ มองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ควรเกิดกับตัวเอง สิ่งที่เป็นความบกพร่อง สิ่งที่ชวนให้วิตกกังวล ชวนให้เศร้า ชวนให้โศก ชวนให้ทุกข์ เราเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ใช่น้อย เสียเวลาให้กับความทุกข์ ให้กับความโกรธ ความแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความเศร้าโศก
แล้วถ้าเรายังทำอย่างนั้นต่อไป ก็เท่ากับว่าเราปล่อยเวลาให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ แทนที่จะใช้เวลาในการเปิดรับความสุข หรือว่าเปิดรับกุศลธรรม ด้วยการทำความดี ทำสิ่งที่มีประโยชน์ สร้างสรรค์ ก็กลับไปเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
มันก็ธรรมดา คนเราไม่ใช่ว่าชีวิตจะสมบูรณ์แบบ แม้จะไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไรเลย แต่บางทีก็มีเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราไปถือมันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต มันก็คือการสร้างทุกข์ให้กับใจของเรา
มีคุณยายคนหนึ่ง อายุ 80 กว่า เกือบจะ 90 แล้ว แกนั่งรถโดยสาร มีช่วงหนึ่งก็มีผู้หญิงเป็นพนักงานออฟฟิศขึ้นรถมา พร้อมสะพายกระเป๋าใบโต พอเห็นข้าง ๆ ที่นั่งติดกับคุณยายมันว่าง เธอก็ทิ้งตัวลงนั่งเลย ปรากฏว่ากระเป๋าเหวี่ยงไปโดนใบหน้าของคุณยาย แต่แกก็นิ่ง ไม่ตอบโต้อะไร
สักพักผู้หญิงคนนั้นก็ค้นกระเป๋า คงจะหาโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าใบนี้ก็ไปโดนแขนคุณยายตลอดเวลาเลย เธอก็ไม่สนใจ พอถึงป้ายหน้า อยู่ดี ๆ เธอก็ลุกพรวด กระเป๋าก็เหวี่ยง เกือบจะไปโดนใบหน้าของคุณยาย แต่คุณยายเอามือกันเอาไว้เพราะแกรู้แล้ว
ปรากฏว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง เห็นเหตุการณ์ ก็เลยพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่าระวังกระเป๋าคุณหน่อย มันไปโดนคนอื่นเข้าแล้ว ผู้หญิงคนนั้นหันขวับมามองชายคนนั้นเลย แล้วก็ทำสีหน้าเหมือนกับไม่รู้ไม่ชี้ว่าได้ทำอะไรลงไป ไม่ได้เอ่ยปากขอโทษคุณยายด้วย แล้วลงจากรถไปเลย
ผู้ชายคนนั้นเขาสงสัยว่าทำไมคุณยายจึงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลย ถามยายไปแบบนั้น เพราะว่าถ้าเป็นเขา เขาไม่ยอมแน่ แต่ทำไมคุณยายนิ่งเงียบ
คุณยายแกยิ้มแล้วก็บอกว่า อะไรที่เป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าไปเสียเวลากับมันเลย เรื่องแบบนี้ถ้าเราปล่อยให้มันผ่านเลยไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประเดี๋ยวฉันก็ลืมแล้ว แต่ถ้าเราใส่ใจกับเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เอาจริงเอาจังกับมัน ก็จะเกิดการทะเลาะวิวาทกัน แล้วก็เสียอารมณ์ไปทั้งวัน กลับไปถึงบ้านบางทีก็ยังหงุดหงิด เผลอ ๆ นอนไม่หลับอีก
แล้วแกก็พูดอีกสัก 2-3 ประโยคว่า ผู้หญิงคนนี้กับฉัน แล้วก็เธอ เราอยู่บนรถโดยสารนี้แค่ชั่วคราว เดี๋ยวป้ายหน้าฉันก็ลงแล้ว อย่าไปหงุดหงิดหัวเสียกับเรื่องแบบนี้เลย คำพูดนี้น่าสนใจ คุณยายกำลังบอกว่า “ชีวิตของคนเรานี้มันก็สั้น เราอยู่ในโลกนี้มันชั่วคราวเหมือนกับอยู่บนรถโดยสาร เดี๋ยวป้ายหน้าฉันก็ลงแล้ว”
มันเป็นคำอุปมา แต่เหมือนกับว่าอีกไม่นานฉันก็ตายแล้ว อย่าไปเสียเวลา อย่าไปเสียอารมณ์กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย จริงอยู่สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเราไปเอาจริงเอาจัง เอาเรื่องเอาราว เราก็ไม่มีความสุข ในเมื่อเวลาของเราเหลือน้อยนะ
สำหรับคุณยาย แกคิดว่าเวลาแกเหลือน้อยแล้วอายุ 90 แล้ว ป้ายหน้าก็ลงแล้ว แต่ถึงแม้เราจะไม่อายุ 90 นะ ถึงแม้เรายังหนุ่มยังสาว เราก็ไม่รู้ว่าเราจะลงป้ายหน้าเมื่อไหร่ เวลาของเราในโลกนี้อาจจะเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ ที่จริงไม่ใช่อาจจะ มันเหลือน้อยลงไปทุกที ๆ เพราะฉะนั้นใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ใช้เวลากับเรื่องที่มันดี ๆ ที่มันทำให้จิตใจมีความสุข รู้จักปัดรู้จักปล่อยเรื่อง ไม่เป็นเรื่องออกไปจากใจบ้าง
ถ้าเราไม่รู้จักปัดหรือปล่อย เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องออกไปจากใจ เราก็จะหงุดหงิดหัวเสียทั้งวัน แล้วเราก็เสียเวลา เสียทั้งเวลา เสียทั้งอารมณ์ การเกิดมาในโลกนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วความเป็นมนุษย์ของเรานี้มันก็มีเวลาจำกัดในโลกนี้ ในชาตินี้ด้วย
เพราะฉะนั้นใช้เวลาที่มีอยู่ให้มันเกิดประโยชน์ เกิดคุณค่าดีกว่า อย่างน้อย ๆ อย่าเสียเวลาไปกับความทุกข์ อย่าไปหงุดหงิดหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ยิ่งเวลาเหลือน้อย ก็รู้จักปัด รู้จักปล่อยมันออกไปจากใจบ้าง
ถ้าเราเริ่มต้นจากการที่ไม่เติมทุกข์ให้ใจ การที่เราจะเพิ่มสุข เพิ่มกุศลให้ใจก็จะเป็นไปได้ แต่ทุกวันนี้การเพิ่มสุข เพิ่มกุศลให้ใจมันยาก เพราะว่าในใจมีแต่เรื่องอกุศล เพราะเราเปิดให้ความทุกข์เข้ามาครองใจเรา
ฉะนั้นถ้าเราเริ่มต้นจากการที่ไม่เสียเวลาไปกับความทุกข์ ไม่มัวแต่จับจ้องมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ไม่ถูกใจ หรือแม้กระทั่งความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วก็ไม่ปล่อยใจให้ไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
โอกาสที่ใจเราจะเปิดรับความสุข หรือว่าเกิดกำลังใจในการทำสิ่งดี ๆ ที่มีคุณค่าที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจกับชีวิตที่ผ่านมา แล้วก็มีความพร้อมในการรับมือกับความผันผวนปรวนแปร ถึงเวลาเราต้องลงจากป้าย ถึงเวลาที่เราลงจากรถเมล์ ไม่ว่าจะป้ายหน้าหรืออีกกี่ป้าย เราก็จะไม่มีความอาลัย พร้อมที่จะลงได้ แล้วก็ไปสู่จุดหมายที่เราต้องการได้
จะทำอย่างนี้ได้ต้องมีสติ เพราะถ้าไม่มีสติ เราจะทำตามนิสัยความเคยชินเดิม ๆ มองเห็นแต่เรื่องลบ จับจ้องมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่นบ้าง ของตัวเองบ้าง หรือไม่ก็หมดเวลาไปกับความทุกข์ ความคับแค้นใจ เสียอารมณ์ไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
สุดท้ายสิ่งดี ๆ ที่เราควรจะได้รับจากการเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ก็ได้แบบกะพร่องกะแพร่ง หรือว่าไม่ได้รับเลย เพราะว่าในใจนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ มันเต็มไปด้วยความหงุดหงิด อันนี้ก็น่าเสียดายมาก.