พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 6 กันยายน 2567
คนเราทุกคนย่อมมีจุดหมายของชีวิต และการที่เราจะไปถึงจุดหมายที่ว่าได้ อย่างน้อย ๆ ต้องมีความเพียรพยายาม แล้วก็มีขันติความอดทน รวมทั้งมีความรู้ชัด ว่าจุดหมายเราอยู่ที่ไหน จะไปถึงได้อย่างไร
แต่แน่นอน กว่าจะถึงจุดหมายได้ มันก็เจออุปสรรค เจอความยากลำบาก เจอปัญหา เราจะก้าวข้ามผ่านพ้นได้ ก็ต้องมีความเพียรพยายาม ความอดทน
ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้เราแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ก้าวข้ามอุปสรรคบนเส้นทางเท่านั้น แต่ยังทำให้เรารู้จักป้องกัน ไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น
แต่ก็อย่างที่พูดไปเมื่อวันก่อนว่า บ่อยครั้งเราพยายามป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิด หรือปัญหาเกิดแล้ว เราก็พยายามแก้ไขบรรเทา ด้วยความเพียร ด้วยความอดทน แต่ว่าปัญหาก็ยังเกิดอยู่นั่นแหละ ถึงตอนนั้น สิ่งที่เราจำเป็นต้องมี หรือจำเป็นต้องทำก็คือ การทำใจ ทำใจที่ว่าก็คือยอมรับ ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้น
เหมือนกับเวลาเราจะเดินทางไปยังจุดหมายแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เราก็วางแผนไว้ดี รู้เส้นทาง แต่ว่าพอเดินทางปรากฏว่าเจอรถติด ไม่สามารถไปถึงจุดหมายที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนดได้ ถึงตอนนั้นก็ต้องยอมรับแล้ว ป่วยการที่จะหงุดหงิดหัวเสีย
ก็อย่างที่คนที่ว่าจ้างแท็กซี่ให้พาไปวัดพระแก้ว ตัวอย่างที่พูดไปเมื่อวันก่อน เจอรถติดมาก เขาหงุดหงิดหัวเสียแต่ว่าคนขับแท็กซี่ไม่มีอาการหงุดหงิดเลย อารมณ์ดีสบาย ๆ ชิล ๆ เปิดเพลงฟังระหว่างที่รถติด
ผู้โดยสารก็เลยถามเขาว่า พี่ไม่หงุดหงิดเลยเหรอ เขาตอบว่า ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม หงุดหงิดแล้วก็ไม่ได้ทำให้รถหายติด มันก็ยังติดเหมือนเดิม คือเขายอมรับได้ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะถึงที่หมายไว ๆ แต่เมื่อเจอรถติด ทำให้ถึงที่หมายได้ล่าช้า ก็ยอมรับ ไม่หงุดหงิดหัวเสีย
คนเราจะยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งมีมากมาย ในชีวิต งานล้มเหลว หรือว่ารถติด หรือว่าเจ็บป่วย หรือว่าตกงาน การที่เราจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญก็คือ การมีสติ เพราะถ้าไม่มีสติ มันก็จะเอาแต่บ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ซึ่งก็มีแต่จะซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตน ก็อย่างที่แท็กซี่คนนั้นบอกว่า หงุดหงิดไป รถก็ยังติดเหมือนเดิม
เวลาเราเจอปัญหา เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจแล้วเราหงุดหงิด นอกจากปัญหาไม่ได้แก้ สิ่งที่ไม่พอใจ สิ่งไม่น่าพอใจก็ยังอยู่ แถมเรายังทุกข์กว่าเดิม เพราะว่าเราปล่อยใจให้มันหงุดหงิดหัวเสีย โวยวาย ตีโพยตีพาย แต่ถ้าเรายอมรับได้ มันก็จะไม่มีอาการที่ว่า และจะทำอย่างนั้นได้ มันต้องมีสติ
เพราะเวลามีเสียงบ่นเสียงโวยวายในหัว ทันทีที่เรามีสติ มีความรู้สึกตัว เสียงจะหายไปเลย มันจะหยุดบ่น มันจะเริ่มยอมรับความจริงได้ รวมทั้งการที่ใคร่ครวญว่า บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ โวยวายไป ปัญหาก็ยังอยู่ ไม่ได้แก้ไข แถมยังติดลบ
อะไรติดลบ คืออารมณ์ติดลบ มีความทุกข์ยิ่งกว่าเดิม ปัญหาไม่ได้แก้ แถมยังทุกข์กว่าเดิม
แต่ถ้าเรายอมรับได้ ถึงแม้ปัญหายังคงอยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ แถมยังทำให้เรามีสมองโล่งโปร่งที่จะคิดอ่านหาทางแก้ไขปัญหาได้
แต่ว่าการที่คนเราจะมีสติ รู้ทันความคิด ได้ยินเสียงบ่นในหัว หรือรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น มันก็ไม่ใช่ง่าย เพราะว่าพอมีความคิด หรือความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ใจจะถลำเข้าไปในความคิด ปรุงแต่งความคิดต่าง ๆ นานา ทำให้ทุกข์มากขึ้น หรือไม่ก็จมเข้าไปในอารมณ์ จะให้มีสติ แล้วก็ไม่ปล่อยใจให้บ่นโวยวายตีโพยตีพาย หรือไม่ปล่อยใจให้ถลำเข้าไปในความหงุดหงิด มันยาก
แต่มันก็มีวิธีอื่นที่พอจะช่วยได้ นั่นก็คือการที่เราเห็นประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะเรียกว่ามองบวกก็ได้ พอเราเห็นประโยชน์ของสิ่งที่เกิดขึ้น ใจก็เริ่มน้อมยอมรับได้ง่ายขึ้น
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อายุ 21 เอง เป็นมะเร็งลูคีเมีย ทีแรกแกก็เป็นทุกข์มากเลย แต่ตอนหลังจิตใจเริ่มสงบลง ยอมรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้ เพราะแกมองเห็นว่า ลูคีเมียก็นำสิ่งดี ๆ มาให้กับชีวิตแกหลายอย่าง
ข้อ 1 คือ ทำให้ได้รู้จักพุทธศาสนาว่ามีคุณค่าอย่างไรบ้าง แต่ก่อนเห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องพิธีกรรมคร่ำครึ แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่าพระพุทธศาสนามีคุณค่าที่สามารถจะช่วยลดความทุกข์ในจิตใจได้
ตอนที่ป่วยก็ทำให้มีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมะ ตอนที่ไม่ป่วย ไม่สนใจหนังสือธรรมะเลย กินเหล้า เที่ยว ดูหนัง แต่พอป่วยแล้วทำอย่างนั้นไม่ได้ มีคนเอาหนังสือมาธรรมะมาให้อ่าน ก็ได้อ่าน ได้ใคร่ครวญ ทำให้ได้รู้จักพระพุทธศาสนา แล้วเอาธรรมะมาใช้กับตัวเอง นั่นข้อแรก
ข้อที่ 2 แกบอกว่าทำให้ได้เห็นความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่ แต่ก่อนลูกกับพ่อแม่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกัน พ่อแม่ไปทำงานแต่เช้า ลูกก็ไปเรียนหนังสือ พ่อแม่กลับมา ลูกก็ยังไม่กลับเลย แทบจะไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้า
พอลูกเข้ามหาวิทยาลัย ลูกไปอยู่หอพัก ยิ่งไม่เจอกันเลย แต่พอลูกป่วย พ่อแม่ทิ้งงานทิ้งการมาดูแลลูก เป็นครั้งแรกที่ลูกได้เห็นความรักที่บริสุทธิ์ของพ่อแม่ ตอนไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่เห็น แต่พอเจ็บป่วยถึงค่อยเห็น ก็เกิดความซาบซึ้งใจ
ข้อที่ 3 แกบอกว่ามันทำให้แกมีเวลา มาอ่านหนังสือมากขึ้น แกบอกว่า ถ้าแกไม่เป็นมะเร็ง ก็คงจะเหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไป นอนหอพัก เข้านอนก็ตี 2 ตี 3 กว่าจะตื่นก็บ่าย 3 รอเพื่อนมารับไปกินเหล้า เฮฮาสนุกสนาน ใช้ชีวิตอย่างไม่มีสาระ แกบอกว่า ถ้าไม่เป็นมะเร็งก็คงจะใช้ชีวิตแบบไม่นึกถึงคนอื่น ไม่สนใจคนรอบข้าง ใช้ชีวิตอย่างประมาท ไม่รู้จักระมัดระวัง
ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปเลย พอเป็นมะเร็ง พอแกเห็นข้อดีของมะเร็ง ก็เลยยอมรับได้ อาจจะขอบคุณมะเร็งด้วยซ้ำ
คนเรา ถ้าหากว่ารู้จักมองเห็นประโยชน์ของสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าบวกหรือลบ มันทำให้เราไม่ขาดทุน เวลาเจอสิ่งลบ ๆ เราเห็นประโยชน์ของมัน แทนที่จะโวยวาย ตีโพยตีพาย หรือว่าทุกข์ยิ่งกว่า เดิมอย่างน้อย ๆ ก็ยอมรับมันได้ หรือสามารถที่จะเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ผู้หญิงคนหนึ่ง แกเป็นโรคซึมเศร้า ต้องไปหาจิตแพทย์ แล้วตอนหลังก็เกิดเป็นมะเร็งเต้านม มันเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่ปรากฏว่ามันเปลี่ยนชีวิต มันเปลี่ยนโลกทัศน์ของเธอมากมาย เธอบอกว่า มะเร็งทำให้เธอได้รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง แล้วก็รับมือกับโรคได้ดีขึ้น ทำให้มีความสุขมากขึ้น จึงไม่กลัวมะเร็งเลย
เธอบอกว่า ถ้าเธอไม่เป็นมะเร็ง ก็คงจะตายไปแล้ว เพราะตอนที่เป็นโรคซึมเศร้า เหมือนตายโดยไม่รู้ตัว พยายามฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้ง แต่พอเป็นมะเร็ง เปลี่ยนไปเลย ขนาดจิตแพทย์ยังบอกเลยว่า ทัศนะการมองโลก การมองชีวิตของเธอเปลี่ยนไป ตั้งแต่เริ่มเป็นมะเร็ง
อันนี้คือ รู้จักหาประโยชน์จากโรคที่เกิดขึ้น จากมะเร็ง ใครจะเชื่อว่าสามารถทำให้เธอหายจากโรคซึมเศร้าได้ เพราะมันเปลี่ยนมุมมองของเธอ อย่างที่เธอว่าเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น รับมือกับโรคได้ดีขึ้น จึงมีความสุขมากขึ้น
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอย่างนี้ แต่ที่ไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นมะเร็งคนละชนิด แต่เป็นเพราะมุมมอง บางคนก็มองไม่เห็น แต่ผู้หญิงคนนี้เธอชื่อไหม สามารถจะมองเห็นประโยชน์จากมะเร็งได้
คนเราถ้ารู้จักหาประโยชน์จากโรคมะเร็ง หรือจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้น มันก็ยอมรับได้ บางคนตกงาน แต่พอได้คิดว่าตกงานมันก็ดี ทำให้เรามีเวลาไปเยี่ยมพ่อแม่ อยู่กับพ่อแม่ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด สมัยที่ทำงานไม่มีเวลาว่างไปเยี่ยมท่านเลย ตอนนี้มีเวลาเหลือเฟือ ก็ไม่ทุกข์แล้วกับการตกงาน กลับมองว่าเป็นของดีเสียอีก ยอมรับกับภาวะตกงานได้ เพราะมองเห็นข้อดีของมัน
อันนี้บางทีเราก็เรียกว่ามองบวก มองบวกความหมายหนึ่งคือ มองเห็นประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น อีกความหมายหนึ่งก็คือไม่มองลบ ไม่มองลบคือไม่มองสิ่งที่แย่ ๆ
หลายคนพอเกิดความเจ็บป่วยขึ้นมา ไปจดจ่ออยู่กับความเจ็บป่วย แล้วก็รู้สึกแย่ จนลืมไปว่ามันก็ยังมีหลายอย่างในตัวเราที่ยังเป็นปกติ ที่ยังดี ที่ยังสามารถให้ความสุขกับเราได้ อย่างผู้หญิงคนหนึ่งเธอเกิดมาก็เป็นโรคธาลัสซีเมียอย่างแรง ธาลัสซีเมียเป็นโรคเลือด ได้ธาลัสซีเมียมาจากพ่อและแม่ซึ่งเป็นพาหะทั้งคู่
ตั้งแต่เล็ก ร่างกายแคระแกร็น หมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่เกินอายุ 20 พอเธอโตขึ้นมา ร่างกายไม่เพียงแต่แคระแกร็น ตาโปน กระดูกเปราะ ล้มทีไรไม่ขาหักก็แขนหัก ใส่เฝือก 10 กว่าครั้งแล้ว
แต่เธอก็อยู่มาได้จนถึงอายุ 30 กว่า แม้ว่าจะต้องรับเลือดเป็นประจำทุกอาทิตย์หรือทุกเดือน หมอพยากรณ์ไว้ว่าจะอยู่ได้ถึง 20 แต่ถึงแม้จะอยู่ได้นานกว่านั้น ก็ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่
แต่เธอก็ไม่ทุกข์ เพราะเธอมีมุมมองที่น่าสนใจ เธอบอกว่าแม้เลือดฉันจะแย่ แต่ฉันก็ยังมีตาเห็นสิ่งสวยงาม ยังมีจมูกดมกลิ่นหอม ยังมีหูได้ยินเสียงที่ไพเราะ กินอะไรก็ยังอร่อย เดินเหินไปไหนก็ยังได้ แค่นี้ฉันก็มีความสุขแล้ว
นี่เป็นตัวอย่างการมองบวกอย่างหนึ่ง คือมองสิ่งดี ๆ มองเห็นสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่ สิ่งที่ไม่ดีก็ไม่สนใจ ยอมรับว่ามันมี แต่ว่าไม่สนใจ เอาใจมารับรู้จดจ่ออยู่กับสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่
ไม่มีใคร ที่ป่วยประเภทว่าร่างกายแย่ทุกส่วน แม้แต่คนที่เป็นมะเร็ง ก็เป็นมะเร็งเฉพาะส่วน แต่ส่วนอื่นก็ยังดีอยู่ คนที่ไตวาย มันก็มีแต่ไตที่เสีย แต่ว่าส่วนอื่นก็ยังดี รวมทั้งมีตาหูจมูกลิ้น แล้วก็ใจ ที่ยังสามารถจะเก็บเกี่ยวความสุข หรือว่าน้อมจิตให้เป็นกุศลได้
เวลาที่ได้คุยกับคนเป็นมะเร็ง อาตมามักจะบอกว่า คุณไม่ได้เป็นมะเร็ง คุณแค่มีมะเร็งอยู่ในตัว เพราะถ้าคิดว่าเป็นมะเร็ง แปลว่าทั้งหมดของเราคือมะเร็ง แต่ที่จริงมะเร็งเป็นแค่ส่วนหนึ่งของร่างกาย ส่วนอื่น ๆ ของเรายังดีอยู่
ทำไมเราไปจดจ่อแต่สิ่งที่มันแย่ ทำไมเราไม่จดจ่อกับสิ่งที่มันยังดี แล้วใช้ชีวิตนั้นให้มีประโยชน์ ใช้สิ่งที่ดี ๆ ที่มีอยู่ ให้เป็นประโยชน์กับตัวเราให้มากที่สุด
เวลาเราสูญเสียอะไรไป ถ้าไม่รู้จักมองบวก มันจะเห็นแต่สิ่งที่เสียไป เห็นแต่เงินที่หายไป แต่ไม่ได้มองว่าเรายังมีเงินตั้งเยอะแยะอยู่
ตอนปี 2553 เกิดจลาจลใหญ่กลางกรุงเทพฯ คนตายเป็นร้อย ศูนย์การค้า 4 แห่งถูกเผา ปรากฏว่าร้านสุกี้ชื่อดังเจอลูกหลงเข้าไปเต็ม ๆ ต้องปิดร้าน ขาดรายได้ ต้องซ่อม แต่ละสาขาหมดเงินไปเป็น 10 ล้าน
ผู้จัดการก็ไปรายงานด้วยสีหน้าที่เศร้ามากกับ CEO ว่า ร้านของเราถูกเผาไป 4 สาขา แต่ CEO พูดเหมือนกับเตือนสติผู้จัดการว่า ร้านเราถูกเผา 4 สาขา แต่เรามี 360 สาขา
ตรงนี้หมายความว่าอะไร ก็คือยังมีเหลืออยู่อีกตั้ง 356 สาขา คนหนึ่งทุกข์เพราะเห็นแต่ 4 สาขาที่เสียไป แต่อีกคนหนึ่งไม่ได้ทุกข์เพราะมองเห็น 356 สาขาที่ยังมีอยู่ อันนี้คือความหมายหนึ่งของการมองบวก ไม่มองสิ่งที่เสียไป แต่มองสิ่งที่ยังมีอยู่
อย่างคนที่มีเงิน 20 ล้าน ถูกโกงไป 6-7 ล้านบาท ถ้ามองบวกก็ไม่เป็นทุกข์มาก แต่เพราะไปนึกถึงแต่ 6-7 ล้านที่เสียไป ถ้ามองบวกก็จะมองเห็น 13 ล้านหรือว่า 14 ล้านที่ยังมีอยู่ แล้วพอมองแบบนี้มันไม่มีเหตุผลที่จะทุกข์เลย เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้มีเลยสักล้านเดียว แต่ตอนหลังได้มา 20 ล้าน ถึงแม้ตอนนี้เหลือ 13-14 ล้าน
ถ้าคนมองลบ ก็จะเห็นแต่ 6-7 ล้านที่เสียไป แล้วก็ทุกข์ เศร้าโศก คับแค้น แต่ถ้ามองบวก มันจะเห็น 13-14 ล้านที่ยังมีอยู่ เป็น 13-14 ล้าน ที่แต่ก่อนไม่มี แต่ตอนนี้มี
ฉะนั้นพอมองแบบนี้ มันก็ทำให้คลายจากความทุกข์ได้ อันนี้เรียกว่าเป็นการมองบวก ไม่ใช่มองว่าโลกสวย ไม่ใช่มองว่าอนาคตจะสดใส แต่มองว่าสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่นี้คืออะไร ไม่ปล่อยให้สิ่งที่เสียไปหรือสิ่งที่มันแย่ มันครอบงำจิตใจ จนไม่เห็นสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่
ถึงแม้ว่าเราอาจจะยังไม่มีสติที่เข้มแข็งรวดเร็วไวพอที่จะทำให้จิตเป็นอิสระจากความคิด หรืออารมณ์ที่เป็นลบได้ แต่ถ้าเรารู้จักมองบวก มันก็ช่วยทำให้ความคิดลบ อารมณ์อกุศล มันครองใจลำบาก
แทนที่จะจมอยู่กับความเศร้าเสียใจ แทนที่จะจมอยู่กับความโศก ความวิตกกังวล มันมีแต่ความรู้สึกว่าเรายังโชคดี หรือว่ายังรู้สึกถึงความสุขจากการมีสิ่งดี ๆ ที่มากมาย หรือที่ยังหลงเหลืออยู่
แต่ว่าคนเราถ้าไม่หัดฝึกมองบวกบ่อย ๆ พอเจอเหตุการณ์ลบ ๆ มันก็จะคิดแต่ลบอย่างเดียว คนเราเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติมันมักจะมอง จดจ่อ สนใจ แต่เรื่องลบ ๆ
แต่ถ้าหากว่าเราฝึกให้รู้จักมองบวกบ้าง ถึงเวลาเราเจอเหตุร้าย เราจะฉลาดในการมองว่าเราได้ประโยชน์จากมันอย่างไร หรือมันมีประโยชน์แค่ไหน หรือมันยังมีสิ่งดี ๆ ที่เรายังสามารถจะรับรู้ได้ ต้องฝึก ฝึกในชีวิตประจำวัน
เวลามีอะไรที่ไม่ถูกใจเราเกิดขึ้น แทนที่จะเอาแต่บ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย หงุดหงิดหัวเสีย ลองถามว่ามันมีข้อดีอะไรบ้าง รถติดมีข้อดีอย่างไรบ้าง บางคนมองไม่เห็นเลย เพราะคิดแต่ลบ มองแต่ลบ เอาไปเป็นการบ้านดูว่ารถติดมีข้อดีอย่างไรบ้าง
บางคนจะบอกว่า รถติดก็ทำให้มีเวลากลับมาอยู่กับลมหายใจ มีเวลาได้คุยกับลูกที่นั่งมาด้วย เพราะถ้ารถไม่ติดก็ไม่ได้คุย เอาแต่บึ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว รถติดก็ทำให้ได้มีโอกาสฟังคำบรรยายที่ติดรถมา
หรือว่าเวลาเพื่อนผิดนัด มีข้อดีอย่างไรบ้าง หาให้เจอ มันมีแน่ อยู่ที่จะมองเห็นหรือเปล่า แต่บางคนมองไม่เห็นเลย เพราะว่าจิตมันคิด โน้มไปทางเห็นแต่เรื่องลบ ๆ อยู่ตลอดเวลา หรือว่าจมอยู่กับความหงุดหงิดผิดหวัง จนกระทั่งไม่รู้จักมองเห็นข้อดีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เงินหายมีข้อดีอย่างไรบ้าง บางคนก็บอก เงินหายก็ดีทำให้เราได้รู้ว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย หรือบางคนก็บอกว่ามันมาเตือนให้เรารู้จักระมัดระวัง ดีที่หายแค่นี้ แต่ถ้าเราระมัดระวัง โดยอาศัยบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้เราป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียที่หนักกว่านี้ได้
ถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไปจากธนาคารก็ดี ทำให้เราได้บทเรียน ต่อไปจะระมัดระวังมากขึ้น รู้ทันรู้ทางได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เราไม่สูญเสียเงินมากกว่านี้ คราวนี้เขาเอาไปแค่ 100,000 บาท แต่บทเรียนนี้มันจะช่วยให้เรารักษาเงินเป็นล้านเอาไว้ได้ ก็ถือว่าคุ้ม
ถ้าเรารู้จักฝึกมองหาข้อดีจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แม้จะไม่ถูกใจเรา ถึงเวลาเจอเหตุการณ์หนัก ๆ เราก็จะไม่จมอยู่กับความทุกข์ เราก็ยังสามารถที่จะยกจิตเหนือความทุกข์ได้ เพราะเราเห็นข้อดี หรือเห็นประโยชน์จากมัน
แต่ถ้าไม่ฝึกเอาไว้ตอนนี้ ไม่ฝึกเดี๋ยวนี้ จากเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากเหตุการณ์ที่ไม่ได้รุนแรง พอเจอเหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัส เอาไม่อยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความรู้เรื่องธรรมะ ว่าอะไร ๆ ก็ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย
หลายคนที่รู้ธรรมะ รู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่พอเจอความเจ็บป่วยเข้า ความรู้หรือความเชื่อที่มีอยู่ มันช่วยไม่ได้เลย เพราะมันเป็นแค่สิ่งที่มันอยู่ในหัว
ถึงแม้เรายังไม่เห็นสัจธรรมในระดับวิปัสสนา มีความสำคัญมั่นหมายในเรา ในของเราอยู่ แต่อย่างน้อยถ้าหากว่าเรารู้จักคิดบวกอย่างสม่ำเสมอ จนเป็นความเคยชิน จนเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของเรา แม้ว่าธรรมะที่เรามีในระดับความคิดเอามาช่วยแก้ปัญหา ความทุกข์ของเราในยามเจ็บป่วย ในยามสูญเสียไม่ได้ แต่อย่างน้อยการรู้จักมองบวกก็จะช่วยทำให้เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
ยิ่งถ้าเรามีสติด้วยแล้ว สติที่ช่วยทำให้เราไม่จมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้า ความโกรธ ความคับแค้น หรือสติที่ทำให้เรารู้ทันความคิด ที่มันบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ก็จะช่วยรักษาใจของเรา ให้ออกจากความทุกข์ หรือไกลจากความทุกข์ได้เร็วขึ้น
ถึงเวลาป่วย มันก็ป่วยแต่กาย แต่ใจไม่ป่วย ถึงเสียทรัพย์ ก็เสียแต่ทรัพย์ แต่ไว้ใจไม่เสีย สุขภาพไม่เสีย ถึงเวลาที่งานการล้มเหลว มันก็เสียแต่งาน แต่ว่าใจไม่ได้เสียด้วย ไม่อย่างนั้น พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ มันเสียทั้งทรัพย์ เสียทั้งใจ เสียสุขภาพ เสียงาน เวลาป่วยก็ไม่ใช่แค่ป่วยกาย แต่ป่วยใจด้วย ยิ่งซ้ำเติมเพิ่มทุกข์เข้าไปอีก เพราะว่าใจที่ชอบคิดลบ ซึ่งมันเป็นนิสัยที่เราสะสมมานาน
เราจะไม่ให้นิสัยนี้ครองใจเราได้ ต้องสร้างนิสัยใหม่ คือนิสัยที่รู้จักมองหาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น หรือหันมาใส่ใจกับสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ เสียเงินเท่าไหร่ ก็ไม่กลุ้มใจ เพราะเห็นถึงเงิน หรือทรัพย์อีกมากมาย รวมทั้งสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่กับเรา เช่น พ่อแม่ คนรัก บ้านเรือน ที่ดิน.