พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 4 กันยายน 2567
คนเราไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็อยากให้ชีวิตของเราราบรื่น เหมือนทางที่มันราบเรียบ ทำอะไรก็ไม่อยากให้มีปัญหา ผ่านไปด้วยดี ตอนเราเป็นเด็กก็มีผู้ใหญ่คอยช่วยจัดการให้ มีปัญหาอะไร พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ก็ช่วยแก้ไขให้ลุล่วง
แต่พอเราโตขึ้นแล้ว เราก็ต้องจัดการด้วยตัวเราเอง ถ้าอยากให้ชีวิตราบรื่น ก็ต้องมองหรือคาดการณ์ว่าจะป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือถ้าปัญหาเกิดขึ้น จะแก้จะบรรเทาอย่างไร
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้แล้วทำมาตลอด ป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น ปัญหาเกิดขึ้นแล้วก็หาทางแก้ไขหรือบรรเทา อย่างเช่นเรามีทรัพย์สิน ไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรืออยู่กับตัว เราก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ขโมย โจร หรือมิจฉาชีพมาลักเอาไป มีบ้านก็มีรั้ว มีประตูหน้าต่างที่แน่นหนา เดี๋ยวนี้ก็มีกล้องวงจรปิดด้วย
ถ้าเกิดว่าทรัพย์สมบัติถูกขโมยไป ก็ต้องตามหา แต่ถ้าตามหาไม่ได้ สูญไปอย่างแน่นอน ควรทำอย่างไร ก็ต้องทำใจ ถ้าทำใจไม่เป็น มันก็จะกลายเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง เสียทรัพย์ไม่พอ ใจก็เสียด้วย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าเป็นอย่างนี้ติดต่อกันหลายวันก็อาจจะเสียสุขภาพ เสียงานเสียการ ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงาน ไม่มีกำลังใจที่จะทำหน้าที่ของตัว
เสียทรัพย์นี่ คนอื่นเป็นสาเหตุ แต่เสียใจเสียสุขภาพหรือเสียงาน เป็นเพราะใคร ถ้าพูดหยาบๆ ก็คือเป็นเพราะเรา แต่ถ้าพูดให้เจาะจงออกไป ก็เป็นเพราะว่าทำใจไม่เป็น ยอมรับไม่ได้
เวลาทำงานก็เหมือนกัน เราก็ต้องการทำงานให้สำเร็จ เวลาเราไปสอบ เราก็เตรียมตัวสอบเต็มที่เพื่อสอบให้ได้ แต่ถ้างานไม่สำเร็จ สอบไม่ได้ จะทำอย่างไร อันนี้ก็ต้องทำใจแล้วล่ะ
เวลาเราเดินทาง เราก็อยากถึงที่หมายไวๆ และปลอดภัย ก่อนเดินทางแล้วก็สำรวจเส้นทางแล้ว เลือกเส้นทางที่ถึงที่หมายได้ไว รถติดน้อย หรือพยายามเลี่ยงเส้นทางที่รถติด แต่พอเดินทางเข้าจริงๆ ปรากฏว่าเจอรถติด เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุข้างหน้า ไม่เป็นไปตามแผน ถึงตอนนั้นจะควรจะทำอย่างไร ก็ต้องทำใจ
มีผู้ชายคนหนึ่ง เรียกแท็กซี่ให้ไปวัดพระแก้ว นัดกับพี่สาวเอาไว้ ปรากฏว่าเช้าวันนั้น รถติดมาก ติดจนต้องโทรศัพท์ไปบอกพี่สาว เลื่อนเวลานัดเจอ แต่ก็ยังติดกว่าที่คาดเอาไว้ ต้องโทรไปเลื่อนหลายครั้ง หงุดหงิดหัวเสียมาก แต่ก็สังเกต คนขับแท็กซี่เขาสบายๆ เรียกว่าชิวๆ เลย รถติดเขาก็เปิดเพลง แล้วเขาก็ทำฮัมเพลงไปพร้อมๆ กับเสียงเพลง
มันตรงข้ามกับชายหนุ่มคนนี้เลยซึ่งจิตใจรุ่มร้อน ชายหนุ่มคนนี้ก็เลยถามแท็กซี่ว่า รถติดแบบนี้พี่ไม่หงุดหงิดเลยหรือ แท็กซี่ตอบดีแกบอกว่า ผมหงุดหงิดไปก็ไม่ได้ทำให้รถมันหายติด ผมหงุดหงิดไป รถก็ยังติดอยู่เหมือนเดิม หมายความว่าไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม
เสร็จแล้วแกก็เล่าว่าแกเคยมีอาชีพรับจ้าง เป็นเจ้าหน้าที่ในบริษัทธุรกิจแห่งหนึ่ง เงินเดือนก็ดี แต่แกรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอิสระ แล้วงานก็น่าเบื่อ เลยลาออกมาขับแท็กซี่ รู้สึกว่าอิสระดี
แล้วแกก็พูดไว้ประโยคสองประโยคที่น่าสนใจ แกบอกว่าคนเรานี่จะเลือกอาชีพอะไร ก็ต้องรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ผมเลือกขับแท็กซี่ผมก็ต้องยอมรับว่าจะต้องเจอกับรถติด แท็กซี่คนนี้เจอรถติดเรียกว่าเกือบตลอดทั้งวัน
ต่างจากชายหนุ่มซึ่งเจอรถติดเพียงแค่บางช่วงบางเวลา แต่ชายหนุ่มหงุดหงิด ส่วนแท็กซี่แม้เจอรถติดวันละหลายชั่วโมงแกก็ไม่หงุดหงิด เพราะแกรู้ว่าจะต้องเจอกับรถติดอยู่แล้วเมื่อเลือกอาชีพขับแท็กซี่ แล้วแกก็ทำใจยอมรับมัน
การแก้ปัญหาทางโลก ส่วนใหญ่ก็เน้นการจัดการกับปัญหา ป้องกันไม่ให้เกิด หรือถ้าเกิดแล้วก็ต้องหาทางแก้ไขหรือบรรเทา แต่ถ้าไม่สำเร็จทำอย่างไร อันนี้ทางโลกเขาไม่ได้พูดเอาไว้ แต่นี่คือเป็นงานของทางธรรม
ทางธรรมก็คือว่าจะเน้นเรื่องการทำใจ ทางโลกอาจจะเน้นเรื่องการทำกิจ แต่ทางธรรมนี่เน้นเรื่องการทำจิต เราอยู่ในโลกเราก็ต้องอาศัยวิธีการทางโลกในการป้องกัน แก้ไขบรรเทาปัญหา แต่ก็จะทิ้งเรื่องทางธรรมไม่ได้ คือการรู้จักทำใจ
แล้วการทำใจที่ช่วยเราได้มากคือการรู้จักยอมรับ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นของหาย ตามหาแล้วไม่เจอ ก็ต้องยอมรับ
หรือแม้กระทั่งซื้อของ พยายามซื้อของที่มีคุณภาพดี ราคาถูก แต่ซื้อไปแล้ว นึกว่าของมันถูก ปรากฏว่าคนอื่นเขาซื้อได้ถูกกว่า แทนที่จะหงุดหงิดโมโหหัวเสีย ว่าทำไมเราซื้อแพงกว่าเขา
จะไม่ดีกว่าหรือถ้าเรารู้จักทำใจยอมรับ อย่างน้อยของที่ได้มาก็มีคุณภาพดี แล้วเงินที่เราจ่ายไปก็ไม่ได้สูญ ไม่ได้มากอะไร เพียงแต่ว่ามีคนอื่นเขาซื้อถูกกว่าเราเท่านั้นเอง
เจอรถติด ก็รักษาใจไม่ให้จิตตก เพราะรู้ว่าถ้าหงุดหงิดแล้วมันจะไม่ใช่แค่เสียเวลา แต่เสียอารมณ์ด้วย ในเมื่อเสียเวลามันก็มากพออยู่แล้ว ทำไมจะต้องซ้ำเติมตัวเองด้วยการเสียอารมณ์ แล้วที่เราเสียอารมณ์เพราะเราทำใจไม่เป็น เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
อย่างแท็กซี่คนที่ว่านี้รู้ว่าจะต้องเจอรถติด แม้เขาจะพยายามเลี่ยงไปใช้เส้นทางที่น่าจะมีรถติดน้อยที่สุด แต่ก็ยังเจอรถติด ถึงตอนนั้นก็ทำใจยอมรับ
เช่นเดียวกัน เราทุกคนก็อยากจะมีสุขภาพดี แล้วเราก็พยายามดูแลรักษาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกินอาหาร การออกกำลังกาย พยายามเลี่ยงสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย พยายามหลีกเลี่ยงมลภาวะ
แต่สุดท้ายก็ยังป่วย เมื่อป่วยแล้ว ถ้าเราหงุดหงิดหัวเสีย โวยวายตีโพยตีพาย มันก็จะเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ป่วยกายก็แย่อยู่แล้ว ยังปล่อยให้ใจป่วยด้วย กายป่วยเป็นเพราะเชื้อโรค หรืออาจจะเป็นเพราะสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก แต่ใจป่วยเป็นเพราะเราไม่รู้จักทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
มีผู้หญิงคนหนึ่งพูดไว้ดี แกบอกว่ามะเร็งไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของเธอหายไป ความทุกข์ใจต่างหากที่มันทำ แล้วที่ทุกข์ใจก็เพราะว่ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ได้ เธออายุแค่ 30 ชีวิตกำลังไปได้สวย กำลังมีความสุขกับงาน ได้ท่องเที่ยว เดินทาง
แต่แล้ววันหนึ่งก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะ แล้วเป็นมะเร็งที่มักจะเกิดขึ้นกับคนแก่หรือคนที่สูบบุหรี่จัด
เธออายุแค่ 30 แล้วก็ไม่เคยแตะบุหรี่ ทีแรกหมอก็ไม่คาดคิด ยังถามเธออยู่ว่าสูบบุหรี่เยอะหรือเปล่า เธอบอกว่าเธอไม่ได้สูบเลย
ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดนี้ เธอทำใจไม่ได้ โวยวายตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน เหวี่ยงวีนใส่หมอว่าทำไมถึงวินิจฉัยช้า แต่ถึงแม้ไม่ใช่หมอ เป็นแม่เป็นพ่อ เธอก็อารมณ์เสียใส่ เพราะว่าหงุดหงิด
ตอนหลังก็ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม เพราะจิตใจร้อนรุ่ม เมื่อไปปฏิบัติธรรมเจริญสติก็พบว่า ความทุกข์ก้อนใหญ่ของเธอมันมาจากการที่จิตใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ การเจริญสติจะทำให้เธอปรับใจยอมรับ พอยอมรับได้ ความทุกข์มันลดลงไปเยอะเลย แม้ว่าโรคจะลามไปก็ตาม
เธอพูดไว้ดี บอกว่าความจริงบางครั้งก็โหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่มันโหดร้ายกว่า เพราะมันเหมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้ เป็นคำพูดที่เรียกว่าเป็นสัจธรรมทีเดียว เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราไม่ยอมรับความจริง โดยเฉพาะความจริงที่ไม่ถูกใจหรือไม่น่าอภิรมย์ มันจะเหมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้
เราจะไปต่อไม่ได้เลย เพราะเราจะเอาแต่บ่น โวยวายตีโพยตีพายทำไมต้องเป็นฉัน หงุดหงิดหัวเสียอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตไปได้อย่างราบรื่น ที่เรียกว่าไม่สามารถจะมูฟออนต่อไปได้ เพราะมันเหมือนกับสิ่งที่พันธนาการเอาไว้ แต่พอเธอยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เหมือนกับเป็นอิสระ กายป่วยก็จริงแต่ว่าใจทุกข์น้อยลง
การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นการทำจิตขั้นพื้นฐานเลย ที่เราต้องรู้จักทำให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ เพราะชีวิตเราจะเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่สมหวัง ไม่เป็นไปดั่งใจมากมาย ทั้งๆ ที่พยายามเลี่ยง พยายามป้องกันแล้ว ทั้งๆ ที่พยายามแก้ไขบรรเทาแล้ว แต่มันก็ไม่สำเร็จ
จริงๆ แม้ระหว่างที่กำลังแก้ไขหรือบรรเทา เช่น ระหว่างที่กำลังรักษาอยู่ หรือระหว่างที่กำลังตามหาเงินที่หาย ตามล่ามิจฉาชีพที่มาแฮ็กเอาเงินไปจากบัญชี แม้จะยังไม่รู้ผล ก็สมควรที่จะทำใจยอมรับ
ทางโลกเขาเน้นเรื่องการทำกิจ หรือแก้ปัญหาจัดการกับสิ่งอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งนอกตัว แต่ทางธรรมเน้นเรื่องการทำจิต ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตในทางโลก ก็ยังไม่ควรทิ้งเรื่องทางธรรม โดยเฉพาะเรื่องการทำจิต เพราะว่าสุขหรือทุกข์ ถึงที่สุดแล้วก็อยู่ที่ใจ แล้วความทุกข์มันเกิดขึ้นจากใจที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
แม้จะได้โชคได้ลาภ แต่ถ้ามันได้น้อยกว่าที่คาดหวัง หลายคนก็ไม่ยอมรับ อยากได้กำไร 100 ล้าน แต่ได้กำไรแค่ 50 ล้าน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ขาดทุนเลย แต่พอน้อยกว่าที่คาดหวัง ก็ยอมรับไม่ได้ ก็เกิดความทุกข์ หงุดหงิด กินไม่ได้นอนไม่หลับ หัวเสีย
ซื้อของ ได้ของดี และราคาก็ถูก จ่ายไม่มาก แต่บังเอิญมีคนอื่นจ่ายได้ถูกกว่า จ่ายเงินน้อยกว่าเรา ก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา ยอมรับไม่ได้ อันนี้ก็เกิดทุกข์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ได้ของดี แล้วก็ได้ของถูก
นับประสาอะไรกับเวลาสูญเสียทรัพย์ หรือว่างานไม่สำเร็จ หรือว่าทำการค้าแล้วขาดทุน หรือว่าเจอความเจ็บความป่วย และชีวิตเราแต่ละคนมันก็ไม่มีทางที่จะได้พบกับความสมหวังในทุกเรื่องอยู่แล้ว เมื่อเราเจอกับสิ่งที่ไม่สมหวังไม่เป็นไปดั่งใจ ทั้งที่พยายามทำเต็มที่แล้ว จัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างเต็มที่แล้ว แต่มันก็ยังเกิดขึ้นจนได้ นั่นแหละคือเวลาที่เราควรฝึกการทำใจ การยอมรับ
มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเราที่เราไม่ได้คาดหวังเลย แล้วไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร อย่างเช่นมีผู้หญิงคนหนึ่ง มีฐานะดี สามีก็ดี อยู่กันมา 25 ปี แทบจะไม่มีเรื่องระหองระแหงหรือระแวงกันเลย สามีก็เป็นคนรักครอบครัว ลูก 3 คนก็ตั้งใจเรียน ไม่เกกมะเหรกเกเร ไม่ออกนอกแถว ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดี เรียกว่าน่าจะมีแทบทุกอย่างที่คนเราคาดหวังจะได้รับ
แต่พอเธออายุประมาณสัก 50 เกิดมีปัญหาในจิตใจ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่รู้สึกเบื่อกับชีวิต ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไร มันเป็นความรู้สึกเฉา ไปเที่ยวอย่างไรก็ไม่เกิดความร่าเริง สดชื่น เบิกบาน มันมีความรู้สึกซังกะตาย เธอทำใจยอมรับไม่ได้ สงสัยว่าเป็นเพราะอะไร ไม่รู้คำตอบ หาทางหาคำตอบไม่ได้
ตอนหลังก็เกิดอาการเครียด จนถึงขั้นนอนไม่หลับ แล้วเริ่มเกิดอาการแพนิก ตื่นตระหนก อยู่ดีๆ ก็ตื่นตระหนก เกิดความวิตกกังวลอย่างรุนแรง สงสัยเป็นเพราะว่ากำลังมีความเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนหรือเปล่า เพราะอายุก็ประมาณนี้แล้ว
ไปหาหมอ หมอก็บอกไม่มีอะไร ร่างกายปกติ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกแย่เลยว่า แล้วมันเกิดรู้จักอะไร หรือว่าฉันมีปัญหาทางด้านจิตใจ สุดท้ายเธอก็ไปหาจิตแพทย์ เพราะเธอเริ่มมีอาการซึมเศร้า อับเฉา แล้วหมอก็ดีนะ เป็นคนที่ไม่ได้คิดแต่การให้ยา แล้วหมอคนนี้แกก็สนใจเรื่องการเจริญสติ รู้ทั้งศาสตร์ตะวันออกและศาสตร์ตะวันตก
พอคนไข้เล่าอาการให้หมอฟัง หมอก็บอกว่า ขอให้คุณทำอย่างที่ผมแนะนำนะ ให้พูดประโยคนี้ 3 ครั้ง ฉันอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกซังกะตาย เป็นๆ หายๆ แม้จะเป็นชั่วชีวิต ประโยคไม่ได้ยาวอะไรนะ แต่เธอไม่ยอมพูด หมอก็คาดคั้นให้เธอพูด หลังจากที่เธอปฏิเสธมาหลายครั้ง เธอก็ยอมพูด
"ฉันอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกซังกะตาย เป็นๆ หายๆ ไปชั่วชีวิต" พูด 3 ครั้งก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไร เพราะมีแรงต้านแรงฝืน พูดจบ หมอก็ถามเธอว่ารู้สึกอย่างไร เธอบอกรู้สึกเกร็งที่หน้าท้อง คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน แล้วก็มีความกลัวเล็กๆ ที่หน้าอก แล้วมีความรู้สึกติดขัดที่ลำคอ
เห็นได้ชัดเลยว่าร่างกายมันต้าน มันฝืน หมอก็ถามว่า อาการที่เกิดขึ้นนี่มันเป็นอันตรายไหม เธอก็บอกไม่ได้เป็นอันตรายหรอก มันแค่รำคาญใจ หมอก็เลยแนะนำว่า ทีหลังก็อยากจะให้รับรู้ความรู้สึกที่ว่าโดยที่ไม่ต่อต้าน ไม่ตัดสิน ไม่ปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นอาการทางกายหรือความรู้สึกทางใจ เช่น ความรู้สึกซังกะตาย ความรู้สึกเบื่อ ความรู้สึกเฉา
ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเธอยอมรับไม่ได้ เธอก็มีอาการต่อต้าน แต่หมอก็แนะนำให้ทำบ่อยๆ
หลังจากที่เจอกับหมอ 2-3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเธอมาหาหมอเธอ ก็บอกว่าในความรู้สึกปะปน 2 อย่าง ความรู้สึกแรกคือความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่อาการนี้ไม่หาย แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ รู้สึกเบาสบาย ผ่อนคลายที่ยอมรับความรู้สึกที่ว่านี้ได้ คือความรู้สึกซังกะตาย ความรู้สึกไม่มีชีวิตชีวา เธอรู้สึกโล่งใจที่ยอมรับความรู้สึกนี้ได้
แล้วเธอพบว่าความทุกข์ของเธอ จริงๆ แล้วมันเกิดจากการพยายามทำให้สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันหายไป นั่นคือเธอยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่พอเธออนุญาตให้ตัวเองมีความรู้สึกนี้ได้ จิตใจก็เบาสบาย โปร่งโล่ง รู้สึกเป็นอิสระ
ปรากฏว่าเธอรู้สึกว่ามีชีวิตชีวากว่าเดิม รู้สึกโปร่งโล่งกว่าเดิม ทั้งที่ความรู้สึกซังกะตายก็ยังอยู่ แต่ว่าเธอไม่ทุกข์แล้ว เพราะยอมรับมันได้ คืออนุญาตให้มันเกิดขึ้นได้ ไม่คิดต่อสู้ ไม่คิดขับไล่ไสส่ง เพราะการทำเช่นนั้น มันยิ่งทำให้จิตใจเธอเป็นทุกข์ ยิ่งอยากขับไล่ไสส่งแล้วมันไม่หาย ก็ยิ่งหงุดหงิดผิดหวัง แต่พอยอมรับมันได้ มันก็หมดพิษสง ทำอะไรจิตใจเธอไม่ได้
อันนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า บางครั้งหรือบ่อยครั้ง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับเราไม่ว่าทางกายทางใจ หากว่าเราพยายามแก้แล้ว ไม่สำเร็จ อย่างหนึ่งที่เราทำได้และควรทำคือ ทำใจยอมรับมัน มันจะช่วยลดความทุกข์จากการต่อต้านผลักไสหรือปฏิเสธ
อันที่จริงแล้วมันทำให้ใจเราเป็นอิสระจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คือมันเกิดขึ้นแต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนกับรถติด แต่ว่าจิตไม่ตก มันติดก็ติดไป แต่ใจก็ยังปกติ
ความเจ็บป่วยก็เหมือนกัน แม้มันจะป่วย ความป่วยยังเกิดขึ้นอยู่ แต่มันก็ป่วยแค่กาย แต่ใจไม่ป่วย แต่ว่าการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะใจเราฝืน ใจเราต่อต้าน ส่วนหนึ่งเพราะมีความคาดหวัง แล้วพออะไรที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ก็จะไม่ยอมรับ แต่พอเรายอมรับได้ สิ่งที่เคยเป็นปัญหามันก็ทำอะไรจิตใจเราได้น้อยลง
พูดง่ายๆ คือว่า เมื่อมีปัญหา นอกจากแก้ที่ตัวปัญหาแล้ว หรือแก้ที่ปัจจัยต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญคือแก้ที่ใจของเราด้วย ใจที่ต่อต้านผลักไส ปรับให้ยอมรับได้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ปัญหาก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป.