พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 2 กันยายน 2567
มีหลายคนเวลาฟังธรรมฟังเป็นชั่วโมง แต่ว่าพอให้สรุปว่าที่ได้ยินมาได้ยินมาว่าอย่างไรบ้าง ตอบไม่ได้ หรือแม้แต่จะให้บอกว่ามีประโยคไหนบ้างที่จำได้ เอาแค่ประโยคเดียว ตอบไม่ได้
มันเหมือนกับว่าสิ่งที่ได้ยินเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตอนฟังธรรม ก็เพลินดี แต่ว่าพอถามถึงเนื้อหาสาระก็ตอบไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องสรุปความ เอาแค่ว่าประโยคเดียวที่จำได้ บางคนก็ตอบไม่ได้
แต่ก็แปลกเวลาได้ยินใครนินทาต่อว่าหรือตำหนิ จำได้แม่นเลย ที่จริงถ้าหากว่ากลับกัน เวลาใครต่อว่าด่าทอเรา พูดนินทาเรา เราได้ยินแต่มันก็เหมือนกับว่าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ขณะที่เวลาฟังธรรมะเข้าหูซ้ายไม่ทะลุหูขวา มันเข้าไปในสมอง อาจจะจดจำทุกถ้อยคำทุกประโยคไม่ได้ อย่างน้อยก็มีบางประโยคที่จำได้
คนจำนวนไม่น้อยนี่เป็นอย่างแรก คือ ธรรมะที่ได้ยินมันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จับใจความอะไรไม่ได้เลย หรือแม้กระทั่งบางประโยคก็จับไม่ได้ จำไม่ได้ แต่เวลาเสียงต่อว่าด่าทอ คำนินทาว่าร้ายนี่มันจำแม่นเหลือเกิน
แล้วถามว่าได้ประโยชน์ไหม กับที่ไปจำคำต่อว่าด่าทอของเขาได้ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่ามันทำให้ขุ่นมัว ทำให้โมโห ทำให้โกรธ ทำให้รุ่มร้อน แต่กับสิ่งที่ควรจะจำได้มันน่าจะเป็นข้อธรรมคำสอนมากกว่า
เคยมีใครใคร่ครวญไหม ใคร่ครวญว่าทำไมเวลาเราฟังธรรมนี่มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จริง ๆ ไม่ใช่แค่ฟังธรรม คำสอนที่มีประโยชน์ได้ยินแล้วก็จำไม่ได้ แต่ว่าคำต่อว่าด่าทอ นินทาว่าร้าย มันจำได้แม่นเหลือเกิน แล้วก็ติดหู ติดใจไปเป็นอาทิตย์เลย
ถ้าสังเกตตัวเองก็คงจะพบว่าหลายคนเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าหากว่าเราทำตรงข้าม ได้ยินอะไรมาเป็นคำต่อว่าด่าทอ เข้าหูซ้ายก็ทะลุหูขวา เราจะสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่เยอะเลย ในขณะที่คำสอนของครูบาอาจารย์เข้าหูซ้ายแล้วไม่ทะลุหูขวาแต่ว่ามันอยู่ในหัว เอามาใคร่ครวญแล้วเอามาใช้กับการดำเนินชีวิต
คนเราถ้าหากว่าเราอยู่ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว อย่างน้อย ๆ ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ควรทำก็คือว่าเมื่อได้ฟังข้อธรรมคำสอน หรือคำชี้แนะอะไร มันไม่ใช่แค่ฟังแล้วผ่านหู แต่มันจะจำ แถมสรุปสาระสำคัญได้
แต่เป็นเพราะเราไม่ค่อยได้รู้ตัว เรามักจะหลงมากกว่า เพราะหลงก็เลยถูกครอบงำด้วยอารมณ์ คำต่อว่าด่าทอ พอมันกระทบหูก็ทำให้เกิดความไม่พอใจ พอไม่พอใจก็เลยใส่ใจแล้วก็จดจำ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเราเลย ถ้าเอาไปใช้ในการปรับปรุงตัวเองก็ยังมีประโยชน์
แต่ส่วนใหญ่ที่จำเพราะอะไร เพราะว่ามันมีความไม่พอใจ มีความโกรธก็เลยจำแม่น เป็นการจำด้วยความหลง ที่ว่าทำด้วยความหลงก็เพราะว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์เลย มันเป็นโทษ มันทำให้จิตใจเรารุ่มร้อน
คนเราถ้าอยู่ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว เราจะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ถ้อยคำที่ดีมีประโยชน์เราก็จะจำ ไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไป แต่ถ้อยคำที่ไม่มีประโยชน์ก็จะปล่อยให้มันผ่านเลยไปอย่างที่เรียกว่าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
แต่ถ้าเราอยู่ด้วยความหลงเราก็จะถูกอารมณ์ครอบงำ มีความไม่พอใจเกิดขึ้นก็จะทำในสิ่งที่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
มีผู้ชายคนหนึ่งแกเป็นสารถีประจำตำแหน่งของทะไลลามะ วันหนึ่งแกก็ซ่อมรถอยู่ ซ่อมช่วงล่าง ขณะที่กำลังซ่อมอยู่ นอนอยู่ใต้ท้องรถ ทะไลลามะก็เสด็จมา มาถึงโรงรถเลย พอแกรู้ว่าทะไลลามะเสด็จมา แกตกใจ รีบลุกขึ้นมาจากใต้ท้องรถ
แต่ว่าด้วยความรีบร้อนปรากฏว่าหัวไม่พ้นท้องรถ ตอนที่ยื่นหัวมา ตอนที่ยกหัวขึ้นมาหัวก็ไปชนกับท้องรถ คงจะเป็นกันชน ชนอย่างแรงก็เจ็บ พอเจ็บแล้วเป็นไง มันก็โกรธ พอโกรธแล้วเป็นยังไง ก็เลยเอาหัวกระแทกกับกันชนอีกหลายครั้งเลย
คนเราถ้าเรามีสติถ้าเรามีความรู้ตัว เราไม่ทำอย่างนั้นหรอก เพราะว่าทำแล้วก็เจ็บตัวยิ่งขึ้น แต่ที่ทำเพราะอะไร เพราะความโกรธ อาจจะโกรธตัวเอง แล้วพอโกรธแล้วมันก็หลงก็คือลืมตัว พอลืมตัวก็เลยทำร้ายตัวเอง คนเราพอลืมตัว ไม่รู้สึกตัวนี่ มันทำร้ายตัวเองได้ง่าย
ไม่ใช่เด็กที่พอโกรธพ่อแม่แล้วเอาหัวโขกพื้น พอโตแล้วถ้าโกรธนี่ก็สามารถจะทำร้ายตัวเองได้เหมือนกัน
อย่างนักธุรกิจคนหนึ่งไปเล่นกอล์ฟกับเพื่อน แล้วก็ด้วยความหยิ่งทะนงว่า “ฉันเล่นกอล์ฟเก่ง เพื่อนนี่เป็นมือใหม่ หรือว่าคงจะมีชั่วโมงการเล่นกอล์ฟน้อยกว่าฉัน” ก็เลยชวนแข่ง
แล้วก็มีการพนันกันด้วย ใครแพ้ก็จ่ายไป 1,000 บาท ที่จริงก็ไม่เยอะอะไร แต่พอเล่นไป ๆ ชายคนนี้ก็ตีผิดตีพลาด อาจจะเป็นเพราะว่าประมาทก็ได้ จนกระทั่งพอใกล้ ๆ หลุมสุดท้ายก็ยังตีผิดอีก
ขณะที่เพื่อนเขาได้คะแนนนำ โกรธมาก พอผลการแข่งขันปรากฏว่าตัวเองแพ้ แพ้เยอะด้วย ก็เอาไม้กอล์ฟตีหัวตัวเอง ทำไปทำไม มันไม่มีคำตอบ แต่ว่าอยากจะทำเพราะความโกรธ
ถ้ามีสติมีความรู้ตัวมันไม่ทำอย่างนั้นหรอก เพราะว่านอกจากเสียเงินแล้วยังเจ็บตัวอีก
แต่คนเราพอไม่มีสติพอลืมตัวเรื่องแบบนี้ก็ทำได้ไม่ยาก มันไม่ใช่เฉพาะความโกรธ บางทีความอิจฉาถ้าปล่อยให้มันครองใจก็สามารถจะทำร้ายตัวเองได้เหมือนกัน อย่างเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน อาจารย์สุรินทร์เล่า ชาย 2 คนเป็นเพื่อนกัน ก. เป็นคนที่มีนิสัยขี้อิจฉา ส่วน ข. เป็นคนที่โลภเวลาได้อะไรก็อยากได้มาก ๆ ส่วน ก. นี่ถ้าใครได้มากกว่าตัวเองก็ไม่ชอบ อิจฉา
พอสองคนนี้มีนิสัยตรงข้ามกัน หรือมีนิสัยแบบนี้ ก็เลยมักจะทะเลาะกัน เวลา ข. ได้อะไร ก. ก็ไม่พอใจที่ได้มากกว่าตัว ข. ก็อยากได้มาก อยากได้มากเรื่อย ๆ ก. ก็อิจฉา แล้วก็ทะเลาะกัน ปรากฏว่าวันหนึ่งเทวดามาแล้วก็บอกว่า ให้ ก. อธิษฐาน อธิษฐานอะไรก็ได้
ถ้าตัวเองได้ 1 เพื่อนคือ ข. นี่จะได้ 2 ถ้าเราเป็น ก. นี่เราจะอธิษฐานอะไร ขอรถ 1 คัน เพื่อนก็ได้ 2 คัน ขอบ้าน 1 หลัง เพื่อนก็ได้ 2 หลัง ก. รับไม่ได้เพราะความอิจฉา
สุดท้าย ก. ก็อธิษฐานว่า ขอตาบอด 1 ข้าง เพราะถ้าตัวเองตาบอด 1 ข้าง เพื่อนก็โดนแจ็กพอต ตาบอด 2 ข้าง เพราะว่าตัวเองก็ตาบอด 1 ข้างเพื่อนตาบอด 2 ข้าง ดีใจว่าเพื่อนนี่มันตาบอด 2 ข้าง มากกว่าเรา
มันก็มีคนแบบนี้นะ ทั้งที่การที่ตัวเองตาบอดหนึ่งข้าง มันไม่ได้ดีอะไรกับตัวเองเลย แต่ก็สะใจที่เพื่อนตาบอด 2 ข้าง
มันเป็นความดีใจที่เขลานะ เพราะว่าอยู่ดี ๆ ทำไมถึงไปยอมให้ตัวเองตาบอด 1 ข้าง มันไม่ได้ดีอะไรกับตัวเองเลย มันได้แค่ความสะใจที่เพื่อนตาบอด 2 ข้าง แล้วคนเขลาหรือคนที่ตกอยู่ในความหลงก็จะดีใจ สุดท้ายก็คงจะพบว่าไม่น่าเลย เพราะว่าพอตาบอดข้างหนึ่งมันก็ลำบาก
บางทีคนเรายอมลำบากเพื่อไม่ให้คนอื่นเขาสบาย อาจจะเป็นเพราะความอิจฉาหรือเพราะความเกลียดชังก็ได้ มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทะเลาะเบาะแว้งกัน จนกระทั่งเห็นด้วยว่าต้องหย่ากัน
ก่อนจะหย่านี่ก็สู้รบตบมือกันเยอะมาก แล้วพอหย่าก็ต้องขึ้นศาลเพื่อให้ศาลตัดสินเรื่องการแบ่งสมบัติ ศาลก็บอกว่าสมบัติของชายคนนี้ของสามี ขายเท่าไหร่ก็ต้องแบ่งให้ภรรยาครึ่งหนึ่งรวมทั้งสินสมรส นอกจากแบ่งเงินที่มีในธนาคารแล้ว สมบัติที่มีขายเท่าไหร่ต้องแบ่งให้ภรรยาครึ่งหนึ่ง
สามีแค้นมากเลย ไม่อยากให้ภรรยาได้ส่วนแบ่งจากสมบัติของตัวเอง แต่ทำอย่างไรได้ ศาลสั่ง มีรถหลายคันราคาแพง ๆ ทั้งนั้น จะทำอย่างไรถ้าขายรถได้หนึ่งล้าน ภรรยาก็ได้ห้าแสน ทนไม่ได้เพราะเกลียดภรรยามาก ก็เลยประกาศขายรถ 1 ดอลลาร์
1 ดอลลาร์ แปลว่าถ้าขายได้ มันขายได้อยู่แล้ว 1 ดอลลาร์ ตัวเองก็ได้ 50 เซนต์ อันนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ดีใจที่ภรรยาได้แค่ 50 เซนต์ สะใจ สะใจที่ภรรยาได้แค่ 50 เซนต์ หรือ 10 บาท 15 บาทจากรถที่ขาย แต่มาคิดดูถ้ามีสติ การที่ตัวเองขายรถแล้วตัวเองได้ 50 เซนต์ มันคิดว่าฉลาดหรือเปล่า
แต่บางคนก็ยอม ยอมที่จะขาดทุนเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งขาดทุน หรือว่าไม่ได้ดิบได้ดีไปด้วย อันนี้เรียกว่า ใครที่มีความรู้เนื้อรู้ตัวก็จะรู้ว่าการทำอย่างนี้ไม่ฉลาดเลย ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นเขาเสียไปด้วย
นอกจากความโกรธความเกลียดแล้ว บางทีความหลงในหน้าตา มันก็ทำให้ตัวเองเดือดร้อน มีลุงคนหนึ่งแกเป็นชาวสวน วันหนึ่งแกก็ขายผลไม้ได้มาห้าพันบาท แกก็ไปที่ร้าน ไปที่ในเมืองแล้วก็เข้าไปในร้านเสื้อผ้าเพราะว่าลูกชายเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
แกก็ดูเสื้อ เห็นเสื้อสวย ๆ หลายตัว ไปถามราคา เจ้าของร้านก็ไม่ค่อยอยากจะตอบเท่าไหร่ เพราะเห็นสารรูปของลุงคนนี้แล้ว ชาวสวน คงไม่ซื้อ ถามราคาเล่น ๆ ก็เลยไม่ค่อยอยากจะตอบ ไม่เต็มใจ
คุณลุงแกก็รู้ว่าเจ้าของร้านคงมองว่าแกไม่มีปัญญาซื้อ แล้วแกก็ชี้ไปที่ตัวหนึ่ง “ตัวนี้เท่าไหร่” เจ้าของร้านก็บอกว่า “ลุงมีปัญญาซื้อเหรอ 500 บาทเชียวนะ” แกเลือดขึ้นหน้าเลย แกซื้อ 10 ตัวเลย
5000 บาทที่แกได้มาจากการขายผลไม้นี่แกซื้อหมดเลย เพราะรู้สึกว่าถูกหยามน้ำหน้า แล้วแกต้องการชี้ให้เห็นว่า “กูก็มีเงินนะเว้ย กูจะไม่ซื้อแค่ตัวเดียว กูซื้อ 10 ตัวเลย” ปรากฏว่าทั้ง 5000 บาทนี่แกหมดไปกับร้านนี้ แล้วเสื้อ 10 ตัวนี่แกก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร นอกจากตัวแรกที่ซื้อเพื่อจะไปให้ลูก อีก 9 ตัวไม่รู้จะไปทำอะไร
แต่ทำเพราะอะไร ที่ทำอย่างนี้เพราะว่าต้องการพิสูจน์ว่า “กูก็มีเงิน” อาจจะรู้สึกว่าได้สะใจ ได้ทำสิ่งที่สะใจตัวเอง ตบหน้าคนขายว่า “กูนี่ไม่ได้จนอย่างที่มึงคิด อย่ามาหยามน้ำหน้ากู” นี่คือเป็นเหตุผลหรือตรรกะของลุง
แต่ถามว่าใครได้ประโยชน์ เจ้าของร้านได้ประโยชน์ ขายเสื้อได้ตั้ง 10 ตัวเลย ต้นทุนอาจจะแค่ 100 - 200 บาท ก็กำไรไม่น้อยเลย
แต่คนเราเวลาที่รู้สึกว่าถูกหยาม บางทีสิ่งที่ทำออกไปมันกลับเป็นโทษกับตัวเอง แม้ดูเหมือนว่าจะสะใจ
ที่ตลาดคลองเตยมีแผงผลไม้หลายร้าน มีคนหนึ่งแกไปซื้อผลไม้ เดินไปตั้งแต่แผงแรกเลย ถามราคาของส้ม มะม่วง พอรู้ราคาแล้วก็ไม่ซื้อ ต่อไปแผงที่สอง แล้วทำอย่างนี้จนกระทั่งไปถึงแผงสุดท้าย
แล้วแกก็เดินกลับมาที่แผงแรกเลือกผลไม้ ส้ม มะม่วง แกรู้ราคาแล้วนี่ แต่ปรากฏว่าเจ้าของแผงไม่ยอมขาย บอกว่า “เมื่อกี้ถามราคาแล้วไม่ซื้อไปแผงอื่น คราวนี้จะกลับมาซื้อแผงฉัน ฉันไม่ขาย” เขาทำเพราะอะไร เพราะด้วยความโกรธ แต่ว่าตัวเองได้ประโยชน์หรือเปล่า
หน้าที่ของพ่อค้าหรือแม่ค้าคือขายของ ตัวเองมาที่แผงนี้ก็เพื่อขายไม่ใช่หรือ แต่พอลูกค้าจะซื้อนี่ไม่ยอมขาย เพราะอะไร เพราะรู้สึกโมโหที่เขาเดินผ่านทีแรกไปก่อน รู้สึกว่าอัตตานี่มันถูกกระทบ นี่ถ้าเกิดเป็นคนที่มีสติ มีความรู้สึกตัว ก็จะไม่ปล่อยให้อารมณ์พวกนี้มันเข้ามาครอบงำ
แต่คนเราพอไม่รู้ตัว ไอ้สิ่งที่ทำไปกลับเป็นโทษกับตัวเอง แม้จะดูเหมือนว่าฉลาด แม้จะดูเหมือนว่าได้สะใจ ได้ตอบโต้ เจ้าของแผงคงรู้สึกสะใจที่ลูกค้าคนนี้มาซื้อแล้วฉันไม่ขาย แต่ว่าถ้ามีสติมีความรู้สึกตัวสักหน่อยก็จะรู้ว่า เราไม่น่าทำอย่างนี้เลย
คนเรานี่เวลาถูกอารมณ์ครอบงำด้วยความหลง มันจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรานึกเสียใจในภายหลัง หรือบางทีไม่นึกเสียใจแต่รู้สึกว่าเราไม่น่าโง่ คนเราถ้าหากว่าเรามองย้อนกลับไปในอดีต เราจะพบว่าเราได้ทำอะไรที่โง่ ๆ หลายอย่าง เพราะตอนนั้นมันหลง มันไม่รู้เนื้อรู้ตัว
และที่จริงไม่ใช่อดีต แม้กระทั่งปัจจุบันหรือต่อไปในอนาคต ถ้าเราลองถอยกลับมาดูพฤติกรรมของเรา เราอาจจะพบว่าพฤติกรรมที่เรากำลังทำอยู่ หรือจะทำต่อไปนี่มันก็ไม่ฉลาดเลย เพราะว่ามันเป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง หรือว่าทำให้เกิดผลเสียกับตัวเอง
หลายสิ่งหลายอย่างที่อาตมาพูดมา หลายคนอาจจะบอก โอ้โห เขานี่โง่นะที่ทำอย่างนั้นนะ แต่เมื่อใดก็ตามที่ตัวเองตกอยู่ในอารมณ์เดียวกัน มันก็คงทำเหมือนกันแหละ เพราะว่าขึ้นชื่อว่าความหลงแล้วมันไม่เข้าใครออกใคร จะเป็นพระ เป็นโยม จะเป็นคนฉลาดจบปริญญาเอกหรือไม่ หลงเมื่อไหร่มันก็ทำอย่างนี้แหละ
แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้ว่า เออ ความหลงนี่มันทำให้เราทำผิดทำพลาด หรือทำในสิ่งที่ไม่ฉลาด เราก็จะพยายามกลับมารู้เนื้อรู้ตัว
อย่างน้อยก็กลับมาใคร่ครวญ ทำอะไรก็ถอยออกมาดูว่า สิ่งที่เราทำมันถูกต้องไหม
เพราะไม่อย่างนั้นเราก็สามารถจะทำร้ายหรือเบียดเบียนตัวเองได้ และยังเผลอคิดว่าฉลาดที่ทำอย่างนั้น หรือว่าดีใจที่ทำอย่างนั้น
แต่ว่าพอหายหลงแล้วถึงค่อยมารู้ตัวว่า ไม่น่าทำเลย ทำอย่างนั้นได้ยังไงวะ แต่มันก็ทำไปแล้ว.