พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็น วันที่ 31 สิงหาคม 2567
มีเกมหนึ่งที่อาตมาเคยเล่นตอนเป็นนักเรียน เล่นกับพี่น้องบ้าง บางทีก็เล่นกับเพื่อน ๆ บ้าง เป็นเกมที่จะว่าสนุกก็สนุก
แต่ว่าขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกิดความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะศัพท์ภาษาอังกฤษ และเกมนั้นชื่อ Scrabble
เป็นเกมต่อคำ เอาตัวอักษรมาเรียงกันให้เป็นคำ เรียงแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ ถ้าเรียงได้เยอะมากก็ได้คะแนนมาก ถ้าหากว่าต่อคำไม่ได้ต้องเปิดทางให้เพื่อนต่อแทน
ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ยังนิยมเล่นเกมนี้หรือเปล่า แต่ว่ามีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังเล่นอยู่ และเล่นเป็นจริงเป็นจังมาก ถึงกับมีการแข่งขันชิงแชมป์ระดับประเทศ
ฝรั่งเศสเขาก็มีการแข่งขันชิงแชมป์ Scrabble คำที่เขาใช้ต่อกันเป็นคำฝรั่งเศส ทุกวันนี้ยังมีการแข่งชิงแชมป์แบบนี้อยู่
ถึงแม้ว่าคนเดี๋ยวนี้ไปเล่นเกมส์ออนไลน์กันเยอะ แต่ว่าเกม Scrabble ยังมีคนเล่นกันเยอะ มีปีหนึ่ง คนที่ได้เป็นแชมป์เป็นชาวนิวซีแลนด์ แชมป์ Scrabble ของฝรั่งเศส แต่เป็นชาวนิวซีแลนด์ ไม่ใช่ชาวฝรั่งเศส
เคล็ดลับของเขาที่เอาชนะชาวฝรั่งเศสได้คือเขาท่องคำศัพท์ทุกคําในพจนานุกรมฝรั่งเศส เป็นคนที่ความจําเยี่ยมมาก ท่องคําทุกคําในพจนานุกรมของฝรั่งเศสได้ เพราะฉะนั้นจึงต่อคําได้ไม่อับจน
ที่น่าสนใจคือว่าเขาไม่รู้ความหมายเลย แต่ละคํา ๆ ในพจนานุกรม เขาไม่รู้ความหมายเลยว่าแปลว่าอะไร แล้วเขาก็พูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ แต่ว่าเขาสามารถที่จะเอาชนะคนฝรั่งเศสได้ในเกม Scrabble
ต้องใช้ความเพียรมากในการท่องจำศัพท์ทุกตัวในพจนานุกรมซึ่งคงจะหนาหลายร้อยหน้า แต่การที่เขาไม่รู้ความหมายของคําส่วนใหญ่ที่ท่องได้ ทำให้แม้เขาจะได้แชมป์ Scrabble แต่ว่าเขาไปซื้อของตามห้างไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้ความหมาย ไม่ว่าหนังสือพิมพ์หรือหนังสือนิยายคงอ่านไม่รู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่นิยายฝรั่งเศสมีความเป็นเลิศมาก
และหนังสือที่เขารู้มามีประโยชน์กับเขาน้อยมาก มีประโยชน์เพียงแค่ทำให้ได้เป็นแชมป์ Scrabble ระดับประเทศหรือระดับโลกก็ตาม ไม่รู้ว่าคุ้มค่าหรือเปล่ากับการที่อุตส่าห์ท่องศัพท์ทุกตัวในพจนานุกรม แต่เขาคงมีความสุข และคงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นแชมป์ Scrabble ระดับโลก
จริง ๆ คงไม่ต่างจากคนจำนวนไม่น้อย เป็นพระหรือโยมที่ท่องคัมภีร์ในพุทธศาสนาได้ บางคนท่องพระไตรปิฎกได้ทุกหน้า อาจจะเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก หรืออภิธรรมปิฎกก็ตาม และอาจจะรู้ความหมาย แต่ว่าไม่ได้เอาไปใช้กับการดำเนินชีวิต หรือบางคนหนักกว่านั้นคือ ท่องได้แต่ไม่รู้ความหมายของศัพท์แต่ละตัวเลย เพราะไม่รู้จักภาษาบาลี ท่องได้เป็นหน้า ๆ แต่ว่าบอกไม่ได้ว่าหมายความว่าอย่างไร
แต่ถึงแม้จะรู้ความหมายเพราะว่าเรียนภาษาบาลีมา แต่ถ้าไม่เอาไปใช้กับการดำเนินชีวิต ไม่เอาไปใช้ในการฝึกจิต หรือว่าในการแก้ทุกข์ ก็มีประโยชน์น้อย
จะว่าไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่ได้ ก็มีประโยชน์ สามารถจะพูดให้คนเกิดศรัทธาได้ บางคนอาจจะไม่ได้จำพระไตรปิฎกภาษาบาลี แต่จำพระไตรปิฎกภาษาไทย สามารถพูดให้คนเกิดศรัทธา ทำให้ตัวเองเป็นที่ยกย่อง อาจจะเป็นถึงขั้นครูบาอาจารย์ แต่ว่าประโยชน์ที่ได้ยังนับว่าน้อย เพราะว่าถ้าเอามาใช้แก้ทุกข์ไม่ได้ เอามาใช้ในการปรับปรุงชีวิตจิตใจของตัวเองไม่ได้ ก็เรียกว่าได้ประโยชน์น้อย
เหมือนกับหนุ่มคนที่ท่องศัพท์ทุกตัวในพจนานุกรมภาษาฝรั่งเศสได้ แต่ว่าเอามาใช้ในการซื้อของในฝรั่งเศสหรือใช้สนทนาพูดคุยกับคนไม่ได้ รวมทั้งไม่สามารถจะอ่านหนังสือหรือนิยายฝรั่งเศสได้ ประโยชน์ที่ควรจะได้จากการรู้คำศัพท์จึงน้อย
คนที่รู้ ท่องจำคัมภีร์คําสอนของพระพุทธเจ้าได้ทุกหน้าทุกตัวอักษร แม้จะเป็นภาษาไทย รู้ความหมาย แต่ว่าถ้าไม่เอามาใช้กับการดำเนินชีวิต เอามาใช้ในการเรียนรู้จิตใจ หรือว่าในการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คน รวมทั้งการแก้ทุกข์ได้ ก็ถือว่าได้ประโยชน์น้อย
อันนี้รวมไปถึงคนที่ฟังธรรมะของครูบาอาจารย์ บางคนฟังจนจำได้เลย เพราะฟังมานานเป็นสิบปี และฟังหลายเที่ยว สามารถที่จะทวนคําสอนของครูบาอาจารย์ได้อย่างถูกต้องทุกถ้อยคํา แบบนี้ก็มี แต่ยังมีความทุกข์อยู่ เพราะว่าไม่ได้เอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาไปใช้ในการฝึกจิต หรือว่าปรับปรุงตนเท่าไร ที่เป็นคนขี้โกรธก็ยังโกรธอยู่ ที่ขี้อิจฉาก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังมีความทุกข์ มีความกังวล มีความเครียดอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมหรือแตกต่างไปจากก่อนที่จะรู้ ท่องจำคําสอนของครูบาอาจารย์ได้
ฉะนั้น การรู้แบบนี้ซึ่งจัดว่าเป็นการรู้ในเชิงปริยัติ ยังไม่ช่วยทำให้เราได้รับประโยชน์จากคําสอนของพระพุทธเจ้า หรือคําสอนของครูบาอาจารย์ได้เท่าที่ควร จนกว่าเราจะเอาคําสอนของพระพุทธเจ้า คําสอนของครูบาอาจารย์มาฝึกจิต จนไม่ใช่แค่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ครูบาอาจารย์สอนอะไร แต่รู้ความจริงของโลก รู้ความจริงของกายและใจ รวมทั้งรู้จักตัวเองด้วย
รู้จักตัวเอง ความหมายหนึ่งคือว่า รู้ทันกิเลส เพราะถ้าไม่รู้ทันกิเลสก็สามารถจะโดนกิเลสมันหลอก มันชักชวน มันเกลี้ยกล่อม บงการให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องและสร้างทุกข์ให้กับตัวเองได้
การรู้จักตัวเอง รวมไปถึงการรู้ทันกิเลสนี้สำคัญ เดี๋ยวนี้ผู้คนจำนวนมากขวนขวายในการรู้ทันมิจฉาชีพ เพราะเดี๋ยวนี้มิจฉาชีพนี้อาละวาดมาก ยิ่งใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยก็มีโอกาสที่จะโดนมิจฉาชีพหลอก ผู้คนกลัวกันมาก แล้วพยายามที่จะเรียนรู้จะได้รู้ทันมิจฉาชีพ
เช่น ถ้าเกิดว่ามีใครโทรมา แม้น้ำเสียงจะคุ้น ๆ แต่ไม่พูดอะไร ไม่แนะนําตัว ไม่บอกว่าใครโทรมา รอให้ผู้รับสายบอกก่อน นั่นเป็ดหรือ เขาถึงจะสวมรอย ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ก็ให้รู้ว่ากําลังโดนมิจฉาชีพเตรียมตัวจะหลอกเราแล้ว เพราะว่าพอเราบอกว่า นั่นเป็ดหรือ เขาจะสวมรอยทันที แล้วจะหาทางตีสนิท แล้วหลอกเอาเงินจากเรา
เดี๋ยวนี้หลายคนรู้ทันแล้ว เวลามีเบอร์แปลก ๆ โทรมา ไม่พูดก่อน หรือว่าบางทีแกล้งหลอกว่า นั่นไก่หรือ บางทีไม่มีเพื่อนหรือลูกหลานคนไหนชื่อไก่ แต่ว่าพูดไปก่อน ดูว่าทางนั้นเขาจะรับลูกไหม ถ้ารับลูกก็แสดงว่าเป็นมิจฉาชีพ อันนี้ก็เป็นความรู้อย่างหนึ่งที่ช่วยให้เรารู้ทันมิจฉาชีพ
ตอนหลังตำรวจผู้รู้เขามาแนะนําว่า เวลามีเบอร์ 02 โทรมา ถ้าเรารับสาย ยังไม่ทันจะพูดอะไรเลย มีเสียงปิ๊บ เหมือนกับเวลาเราโทรไปหาใคร ให้รู้เลยว่ามิจฉาชีพแล้ว เพราะปกติถ้าโทรมาจากในประเทศ โทรศัพท์บ้านไม่มีเสียงที่ว่านี้ แต่ที่มีเสียงที่ว่านี้เพราะอะไร
เพราะว่ามิจฉาชีพอยู่เมืองนอก ใช้อินเตอร์เน็ต แต่ว่าสามารถจะต่อออกมาเป็นเบอร์ 02 ได้ พอเรารับสาย เครื่องก็ต่อเข้าอินเตอร์เน็ตทันที ก็มีเสียง แบบนี้ให้รู้ว่านี่มิจฉาชีพ
หรือบางทีเขาแนะว่า มีใครโทรมา อย่ารับสาย ให้เสียงดังจนเขาวางหู แล้วเราค่อยโทรไปหาเบอร์นั้น ถ้าโทรไปแล้วโทรไม่ได้ ไม่ติด แสดงว่าใช่แล้ว เพราะมิจฉาชีพเขามีซิมที่ทำให้โทรออกได้ แต่ว่าตอบรับไม่ได้ เพราะเขาไม่คิดจะให้ใครโทรกลับไปหาเขาอยู่แล้ว อันนี้ก็เป็นความรู้ที่ช่วยทำให้เรารู้ทันมิจฉาชีพได้
ถึงแม้ว่าเราจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ และบางทีเราก็ไม่รู้ว่าคนที่โทรมาเขาเป็นบริการเดลิเวอรี่หรือเปล่า เราสั่งของแล้วเขาจะโทรมาเพื่อสอบถามเราว่าเราอยู่บ้านหรือเปล่า เราก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราเผลอรับสายไปอาจจะเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ แต่ถ้าเราไม่รับสายจนเขาวางหูแล้วเราค่อยโทรกลับไป ถ้าเป็นเดลิเวอรี่เขาจะตอบรับ ถ้าไม่ตอบรับแสดงว่าโอกาสเป็นมิจฉาชีพสูงมาก อันนี้ก็เป็นความรู้ที่ช่วยทำให้รู้ทันมิจฉาชีพ ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้คนในปัจจุบันที่ใช้โทรศัพท์มือถือตลอดทั้งวัน
แต่ถ้าเราจะเอาแต่รู้ทันมิจฉาชีพ แต่ไม่รู้ทันกิเลสก็แย่เหมือนกัน และเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ก็สนใจแต่ว่าจะทำอย่างไรจะรู้ทันมิจฉาชีพ ขวนขวายหาข้อมูล แต่ว่าไม่สนใจที่จะรู้ทันกิเลสของตัว ทั้งที่กิเลสก็ฉลาด อาจจะยิ่งกว่ามิจฉาชีพก็ได้ เพราะว่าเรารู้มากเท่าไร กิเลสก็รู้มากเท่านั้น
เราจบปริญญาเอก กิเลสก็จบปริญญาเอก ไม่เหมือนมิจฉาชีพ เราจบปริญญาเอก แต่มิจฉาชีพอาจจะเรียนไม่จบก็ได้ เราอาจจะรู้มากกว่ามิจฉาชีพ แต่กิเลสรู้มากพอ ๆ กับเรา เท่า ๆ กับเรา แต่มันฉลาดกว่าเพราะมันรู้จุดอ่อนของเรา เวลามันต้องการครองจิตครองใจเรา มันก็สรรหาเหตุผลมาหว่านล้อมหลอกลวงเรา
คนที่ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดการพนัน ติดชอปปิ้ง เพราะว่าไม่รู้ทันกิเลส ทั้ง ๆ ที่อยากจะเลิก เพราะทุกข์เพราะมันหลงเชื่อมัน แต่ว่าพ่ายแพ้ต่อกิเลสทุกครั้ง เพราะแม้ว่าตั้งใจว่าจะเลิกเหล้าแล้ว หรือว่าเลิกเล่นพนันแล้ว เลิกชอปแล้ว มันจะบอกว่าอีกครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว
หรือไม่ถ้าเป็นเรื่องเหล้า มันก็บอกเราว่าต้องคบกับคนนะ เราต้องเข้าสังคมนะ เราจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร
และเหตุผลพวกนี้มักจะทำให้เราคล้อยตาม เพราะว่าเป็นจุดอ่อนของเรา แต่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเกินวิสัยที่เราจะรู้ทันอุบายของกิเลส
คนเราจะมีการปฏิบัติเจริญก้าวหน้าเพียงใด ส่วนหนึ่งก็ดูตรงนี้ ดูตรงที่ว่ารู้ทันกิเลสไหม ไม่ว่าจะเป็นตัวโทสะ โลภะ โมหะ ใครที่ยังหลงเชื่อกิเลสซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระทั่งหลงเชื่อความคิดที่กิเลสปรุงแต่ง ล่อให้เราหลง อันนี้แสดงว่าการปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้าเท่าไร ถึงแม้จะรู้เยอะ รู้คัมภีร์ รู้คําสอนมากมาย
แต่ว่ารู้ทันกิเลสจริง ๆ ยังไม่พอ เพราะว่าสิ่งที่ทำความทุกข์ให้กับเราไม่ใช่แค่กิเลสเท่านั้น แต่ว่าสิ่งที่เรียกว่า อนิฏฐารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอก ที่เราทุกข์เพราะเราไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไม่ถูกต้อง ไปผลักไสไล่ส่งมัน
เวลาเราโกรธใคร เวลาเราไม่ชอบใคร เวลาเราเกลียดใคร ถ้าเห็นเขาเมื่อไรจะจับตามองเขา จับตาดูเขาทุกย่างก้าว ดูว่าเขาคุยอะไร เขาทำอะไร จับตามอง สนใจเขามีแต่ทำจะให้เราทุกข์ นี่เป็นอนิฏฐารมณ์ตัวหนึ่งคือ รูป เสียงที่ไม่ถูกใจเรา หรือคนที่เราไม่ชอบ แต่จริง ๆ เขาทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ที่เราทุกข์เพราะเราไปจดจ่อใส่ใจ แต่ถ้าเรารู้จักเมิน รู้จักวางเฉย ไม่สนใจเขา เราก็ไม่ทุกข์ เขาก็ไม่มีอำนาจเหนือจิตใจของเรา
เพราะฉะนั้น นอกจากการรู้ทันกิเลสแล้ว ต้องรู้จักวางเฉยต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่เราไม่ชอบ เพราะแนวโน้มของคนเราหรือนิสัยคือว่า พอเจอสิ่งที่ไม่ชอบจะยิ่งจดจ่อใส่ใจ แม้อยากผลักไส แต่สุดท้ายก็ยึดติด
เช่น เสียงดัง จริง ๆ เสียงก็ไม่ดังมาก แต่ว่าเราไม่ชอบ เพราะมันดังผิดกาลเทศะ บางทีเป็นแค่เสียงคนกระซิบกระซาบกันในห้องประชุม แต่ว่าเรารู้สึกว่าไม่ใช่เวลาที่จะมากระซิบกระซาบกัน
บางคนเปิดโทรศัพท์มือถือในโรงหนังดูข้อความ แสงสว่างจริง ๆ ก็ไม่ได้จ้าอะไรเท่าไร แต่หลายคนรู้สึกรําคาญเพราะรู้สึกว่ามาเปิดดูไลน์ มาเปิดดูเฟซบุ๊กอะไรในโรงหนัง ทำไมไม่รู้จักเคารพสิทธิของคนอื่นบ้าง ไม่รู้จักกาลเทศะบ้าง
ปฏิกิริยาอย่างนี้แหละคือความรู้สึกลบที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะความรู้สึกลบต่อมัน พอรู้สึกลบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะไปจดจ่อใส่ใจ
ดูหนัง บางทีภาพในจอชัดเจนกว่าแสงจากโทรศัพท์ของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เรา แต่ว่าเรากลับไม่สนใจภาพในจอ มาสนใจคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่เปิดโทรศัพท์ดูไลน์ ดูเฟซบุ๊ก รู้สึกรําคาญขึ้นมา ความรําคาญเกิดจากใจเราที่ไปมีปฏิกิริยาในทางลบ แต่ถ้าเรารู้จักวางเฉย รู้จักเมินมันบ้าง ก็ไม่ทุกข์
เพราะฉะนั้น ความทุกข์ก้อนใหญ่ ๆ ของคนทุกวันนี้ไม่ใช่แค่เพราะหลงเชื่อกิเลสอย่างเดียว แต่เป็นเพราะไปจดจ่อใส่ใจหรือไปมีปฏิกิริยาในทางลบกับอนิฏฐารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รวมทั้งความคิดด้วย
เวลาภาวนา หลายคนเครียดมาก ถามว่าทําไมถึงเครียด เขาบอกว่า มันคิดเยอะเหลือเกิน ที่จริงความคิดไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะเราพยายามไปกดข่มมัน และยิ่งกดข่มมันก็ยิ่งผุดยิ่งโผล่
ที่จริงตอนที่โผล่มา ก่อนที่จะไปกดข่มมัน เป็นเพราะใจเราไปจดจ่อกับมัน แค่นี้ก็ทุกข์แล้ว เพราะมีความคาดหวังว่ามันไม่ควรจะโผล่ออกมา
ความอยากให้ใจสงบทำให้รู้สึกลบกับทุกความคิดที่มันผุดขึ้นมา ปฏิกิริยาของใจเราต่างหากที่สร้างทุกข์ให้กับใจเรา
แต่ถ้าเรารู้จักวางเฉย ไม่สนใจมัน เมินมัน หรืออย่างที่ครูบาอาจารย์บอกว่า ให้แค่รู้ซื่อ ๆ ความทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้นกับใจเรา
นอนไม่หลับก็เหมือนกัน นอนไม่หลับไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะกังวลว่าจะนอนไม่หลับ หรือว่าทุกข์เพราะอยากให้หลับแต่ไม่หลับจึงหงุดหงิด ความหงุดหงิดต่างหากที่ทำให้เราทุกข์ ไม่ใช่เพราะอาการของกายที่นอนไม่หลับ หลายคนเขานอนไม่หลับ ไม่หลับก็ไม่หลับ เฉย วางเฉยกับอาการนอนไม่หลับ ปรากฏว่าไม่นานก็หลับไปเอง หลับไปตอนไหนไม่รู้
เพราะฉะนั้น การรู้จักวางเฉยหรือเมินต่ออนิฏฐารมณ์ อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะรู้จัก พูดอีกอย่างคือ รู้จักทักท้วงใจที่ไปวุ่นวาย ไปคอยเจ้ากี้เจ้าการกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่รับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้ารู้จักวางเฉยหรือเมินมัน หรือว่าถ้าจะรู้ก็แค่รู้ซื่อ ๆ ก็ไม่ทุกข์ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึกเหมือนกัน
นอกจากการรู้เท่าทันกิเลสแล้ว ต้องรู้จักทักท้วงใจเวลาไปหมกหมุ่น จดจ่อ ใส่ใจ หรือไปโรมรันพันตูกับอนิฏฐารมณ์ที่เกิดขึ้น ฝึกใจให้รู้จักวางเฉยกับมันบ้าง รู้ซื่อ ๆ รู้โดยที่ไม่ผลักไส และไม่ไหลตาม
ซึ่งถ้าเราทำได้ก็ช่วยทำให้ไม่เพียงแต่การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้าเท่านั้น แต่ว่าเราจะอยู่ได้อย่างสุขสบายมากขึ้น แม้ว่าจะมีอะไรต่ออะไรที่ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจเกิดขึ้น แต่ทำอะไรใจเราไม่ได้ เพราะเรารู้จักทักท้วงใจ.