พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 26 สิงหาคม 2567
มีคนหนึ่งพูดไว้น่าคิดมากว่า เวลามีใครสักคนไม่ชอบเรา เขาจะทำสิ่งที่พิกลแล้วแปลกอย่างหนึ่ง ก็คือ เขาจะคอยจับจ้องมองเรา ไม่ว่าทำอะไรเขาจะมอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ย่างเท้าไปไหน ก็จะจับจ้องมองเราอยู่นั่นแหละ อันนี้มันเป็นความพิกลนะ
มันต่างจากเวลาเราชอบใครสักคน มันก็ธรรมดาที่เราจะมองคน ๆ นั้น ยิ่งถ้าชอบแล้วก็รักด้วยนี้ ยิ่งมองแบบไม่ละสายตาเลย
แต่คนที่เขาไม่ชอบเรา การที่เขาจับจ้องมองเราทุกการกระทำ ทุกย่างก้าว มันเป็นเรื่องแปลก เพราะเวลาใครไม่ชอบเรา เขาก็คงไม่อยากจะเจอเรา แต่พอเขาเห็นเราอยู่ที่ใดที่หนึ่งสักแห่งนี้ เขากลับจะจับจ้องมองแบบไม่ละสายตาเลย แล้วไม่ใช่ว่าจับจ้องมองแล้วสบายใจ ยิ่งมอง ยิ่งเห็น ก็ยิ่งเกิดความขุ่นเคือง แต่ก็ยังไม่ยอมละสายตา จับจ้องมองทุกการกระทำ ทุกย่างก้าว อันนี้มันคือความพิกล ความประหลาด
มีบางคนบอกทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนอย่างรุนแรง ถึงขั้นสาปส่งว่าจะไม่เผาผี ตายก็จะไม่เผาผี คือไม่อยากจะไปเจอแม้กระทั่งในยามที่กลายเป็นผีไปแล้ว แต่พอเห็นคนที่ตัวเองเกลียดชังขนาดนั้นในงานเลี้ยงรุ่นก็ดี หรือว่าในงานแต่งงานก็ดี กลับจับจ้องมองคนนั้นแบบตาไม่กระพริบเลย เขาคุยกับใคร เขาทำอะไรก็จ้องมอง ทั้ง ๆ ที่ก็สาปส่งแล้วนะว่าตายแล้วไม่เผาผี
คือไม่อยากเจอ แต่ว่าพอเห็นเขาอยู่ในห้องก็มอง เขาพูดกับใคร เขาทำอะไร ก็จับจ้องมอง แล้วมองไม่ใช่ว่ามีความสุข ก็มีความขุ่นเคือง แทนที่จะเอาเวลาไปพูดคุยสังสรรค์กับคนอื่นที่ชอบพอกัน ถูกคอกัน กลับไปมองคนที่ตัวเองไม่ชอบ คนที่ตัวเองเกลียด แล้วยิ่งมองก็ยิ่งขุ่นเคือง ไม่ได้เป็นประโยชน์กับตัวเองเลย
แล้วคนที่เขาไม่ชอบเรา เขาจะทำอย่างนั้นนะ แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่คนที่ไม่ชอบเราเท่านั้น ถ้าเวลาเราไม่ชอบใครก็เหมือนกัน เราก็จะทำสิ่งที่พิกลที่ประหลาดอย่างนั้นเหมือนกัน ยิ่งไม่ชอบเขา ก็ยิ่งมองเขาแบบไม่ละสายตาเลย มันเสียเวลานะ เสียเวลาไปกับการที่ไปให้ความใส่ใจกับคน ๆ นั้น แต่คนเราก็กลับชอบ ยอมเสียเวลาที่จะไปจดจ่อใส่ใจกับคนที่เราไม่ชอบ คนที่เราเกลียด
แล้วมันไม่ใช่แค่เสียเวลา มันเสียอารมณ์ด้วย แทนที่เราจะเอาเวลาไปทำสิ่งที่ดี มีประโยชน์ เติมความสุขใส่ตัว หาความสุขใส่ใจ ก็กลับมาเติมความทุกข์ ความหงุดหงิดให้กับใจของตัว อันนี้มันเป็นวิธีการทำร้ายตัวเองแบบหนึ่ง ถึงแม้คนเราจะบอกว่า รักตัวเอง รักตัวเอง แต่เรามักจะซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจตัวเอง ด้วยการไปให้ความใส่ใจกับคนที่เราไม่ชอบ
ถ้าไปให้ความใส่ใจกับคนที่เรารัก อันนี้มันก็ยังมีเหตุผลอยู่นะ เพราะว่าพอไปใส่ใจเขาแล้ว หรือพอเห็นเขาเท่านั้น เราก็มีความสุข
แต่คนที่เราไม่ชอบ คนที่เราเกลียด ทำไมถึงไปใส่ใจ จับจ้องมองเขาทุกการกระทำทุกย่างก้าว อย่างนี้จะเรียกว่าธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนก็ว่าได้ อาจจะเป็นสัญชาตญาณที่พัฒนามาจากการที่เราชอบระแวงภัยเวลามีอันตราย หรือมีสิ่งใดที่เรากลัว เช่น งู หรือว่าสัตว์ร้าย หรือว่าผู้ร้าย เราก็จะจับจ้องมองเพื่อให้ดูว่าเขาไม่เป็นอันตรายคุกคามเรา
แต่ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เรากลัวหรือคนที่เรากลัว สิ่งที่เราไม่ชอบ คนที่เราไม่ชอบ เราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้น คนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นภัยคุกคามเราเท่าไหร่ แต่เพียงแค่ไม่ชอบนี้มันก็มากพอที่จะทำให้เราไปจับจ้องมองเขา เดี๋ยวนี้ไม่ใช่จับจ้องมองเขาเวลาเขาอยู่ต่อหน้าเรา หรืออยู่ในที่สถานที่เดียวกับเรา บางทีไปตามดูว่าเขาพูด เขาเขียนอะไร เขาโพสต์อะไรใน Facebook เห็นแล้วก็ยิ่งขุ่นเคือง เห็นแล้วก็ยิ่งโกรธ แต่ก็ยังละสายตาไม่ได้
อันนี้เรียกว่า ยิ่งไม่ชอบ ยิ่งยึดติด คนเราไม่ใช่ว่ายึดติดเฉพาะสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ให้ความสุขกับเรา สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ แม้เราไม่ชอบ เราก็ยึดติดนะ ทั้ง ๆ ที่ใจหนึ่งก็อยากผลักไส แต่ธรรมชาติของคนเราเวลาไม่ชอบอะไรก็อยากผลักไส แต่ว่าผลักไสไปผลักไสมา อ้าว ไปจดจ่อ ไปยึดติดซะแล้ว
ไม่ใช่เฉพาะคนที่เราไม่ชอบเท่านั้น สิ่งอื่นก็เหมือนกัน เช่น เสียงที่เราไม่ชอบ เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ดังจากข้างนอกหรือจากถนน เสียงคนคุยกันขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ หรือเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขณะที่เรากำลังฟังธรรมอยู่ในศาลา เสียงพวกนี้พอมันดังขึ้นมากระทบหูเรา เราไม่ชอบ
แล้วเราทำอะไรกับมัน เรายิ่งจดจ่อใส่ใจอยู่กับเสียงนั้น จนบางทีลืมเลยว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่สิ่งที่เรากำลังทำเป็นสิ่งที่เราชอบ เช่น กำลังฟังธรรม กำลังคุยกับลูก กำลังฟังเพลง หรือว่ากำลังภาวนา
สิ่งที่เราชอบนี้ มันกลับไม่มีน้ำหนักเท่ากับสิ่งที่เราไม่ชอบ เสียงที่เราชอบนี้มันไม่มีความหมายเลยพอเจอเสียงที่เราไม่ชอบ ใจเราจะเทไปทางนั้นมันจะยิ่งยึดติดเข้าไปใหญ่ แล้วทั้ง ๆ ที่รู้หรือรู้สึกได้ว่าเวลาไปจดจ่อกับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นเสียง มันยิ่งทุกข์ ยิ่งหงุดหงิด แต่ก็กลับยึดติดเข้าไปใหญ่ กลับจดจ่อใส่ใจ
นี่แหละเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ยิ่งไม่ชอบก็ยิ่งยึดติด แม้สิ่งที่ไม่ชอบเราอยากผลักไส แต่ว่ายิ่งผลักไสก็ยิ่งยึดติด ไม่ใช่เฉพาะเสียง ไม่ใช่เฉพาะคนที่เราไม่ชอบ เวลาเจ็บ เวลาปวด เวลาเมื่อย ทั้งที่เราไม่ชอบความเจ็บ ความปวด ความเมื่อย แต่พอมันเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา มันจะครอบงำใจเรา เราจะไม่สนใจอย่างอื่นเลย จะจดจ่ออยู่แต่กับความเจ็บความปวดที่เกิดขึ้นนั่นแหละ ทั้งที่ยิ่งจดจ่อ มันก็ยิ่งทุกข์
เหตุการณ์ที่เราไม่ชอบก็เหมือนกัน ถูกต่อว่าด่าทอ ถูกนินทา แม้จะผ่านไปนานเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะไปจดจ่อใส่ใจ หรือไปขุดคุ้ยสิ่งเหล่านั้นให้มารบกวนจิตใจ เวลาเงินหาย ของหาย ก็รู้สึกเจ็บปวดโดยเฉพาะของที่เรารัก เศร้า เสียใจ แต่แทนที่จะปล่อยให้มันผ่านเลยไป ไม่ให้มารบกวนจิตใจ เราก็กลับไปขุดคุ้ยเอามันขึ้นมาจากความทรงจำ ทั้ง ๆ ที่เราก็ได้รับสิ่งดี ๆ บางทีก็มีคนให้เงินเรา ให้ของขวัญเรา ให้เสื้อตัวใหม่กับเรา แล้วเราก็ชอบนะ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันจะมีอิทธิพลต่อจิตใจเราน้อยกว่าการสูญเสียของที่เราชอบ จะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นแหละ
แล้วหลายคนแม้ว่าในอดีตจะมีความสุขอยู่ไม่น้อย แต่เวลาเขานึกถึงอดีต เขาจะเห็นแต่ความทุกข์ ความยากลำบาก ความสูญเสีย การตกงาน การที่สูญเสียคนรัก ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่นึกแล้วทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่แล้วก็ไปจดจ่ออยู่กับมัน จนลืมสิ่งดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หรือสิ่งดี ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันก็ได้
มีอาม่าคนหนึ่ง 70 แล้ว ครอบครัวก็มีฐานะดี สามีก็ดีรักครอบครัว ลูกก็ดีสนใจธรรมะ แกน่าจะมีความสุข แต่สีหน้าแกหม่นหมองเพราะแกชอบหวนนึกไปถึงประสบการณ์วัยเด็ก เพราะว่าตอนเด็กนี้ลำบาก ไม่ค่อยได้รับความรักความใส่ใจจากพ่อแม่ เพราะเป็นลูกผู้หญิง พ่อแม่ก็สนใจลูกผู้ชายมากกว่า แล้วเธอก็รู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากพ่อแม่ ชอบถูกต่อว่าเป็นประจำ ถูกใช้ให้ทำงานหนัก
มันก็ผ่านมาเป็น 60 ปีได้แล้ว แต่ว่าแกกลับไปจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้น จนกระทั่งไม่สามารถจะมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันได้เลย อาจจะมีบ้าง แต่พอหวนนึกถึงอดีตก็รู้สึกหม่นหมองใหม่ นี่ก็เหมือนกัน อะไรที่เราไม่ชอบ เราก็จะจดจ่อใส่ใจอยู่กับสิ่งนั้น บางทีมากกว่าสิ่งที่เราชอบเสียอีก ทั้งที่มันทำให้เราทุกข์ มันเสียทั้งเวลา แล้วก็เสียทั้งอารมณ์
ยิ่งถ้าเรามีสิ่งที่ไม่ชอบ มีคนที่ไม่ชอบเยอะ เราจะหมดเวลาไปกับการจดจ่อใส่ใจกับคนที่ไม่ชอบ จนแทบไม่เป็นอันทำอะไรที่มันดีงาม แล้วยังทำให้ชีวิตของเรา จิตใจของเราตกอยู่ในอิทธิพลของคนเหล่านั้น ยิ่งไม่ชอบใคร เราก็ยิ่งปล่อยใจให้อยู่ในอำนาจของคนเหล่านั้น ทำให้เขาเรียกว่ากำหนดความทุกข์ให้กับเรา หรือว่าเราเชื้อเชิญให้เขามาสร้างความทุกข์ให้กับเราก็ได้
ยิ่งไม่ชอบเขา ก็กลับให้เขามีอำนาจเหนือเรา เหนือจิตใจของเรา อันนี้แหละคือความพิกล ความประหลาดของมนุษย์ รวมไปถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในใจด้วย หลายคนมาภาวนา อยากให้ใจสงบ อยากให้ใจเย็น แต่พอมีอารมณ์ที่รุ่มร้อน อารมณ์ที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น เช่น ความหงุดหงิด ความคับแค้น ความโกรธ ไม่ชอบนะ แต่พอมันเกิดขึ้นก็ไปจดจ่อใส่ใจกับมัน
ใจหนึ่งก็อยากจะผลักไส แต่ผลักไสทีไรก็ไปจดจ่อกับมันทุกที เหมือนกับเสียงดังที่มากระทบหูเรา เราไม่ชอบ อยากจะผลักไสมัน แต่ยิ่งผลักไสก็ยิ่งจดจ่อ อารมณ์พวกนี้ก็เหมือนกัน ทั้งที่บอกว่าอยากจะให้ใจสงบ อยากให้ใจเย็น แต่พอมีอารมณ์พวกนี้แทนที่จะเมิน แทนที่จะไม่สนใจมัน กลับไปสนใจ ไปสู้รบตบมือไปโรมรันพันตูกับมัน เสร็จแล้วก็โดนมันครอบ
ที่จริงถ้าเราไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเรา เราก็ทำได้นะ เปลี่ยนจากความไม่ชอบเป็นความรู้สึกเฉย ๆ พอเราเฉย ๆ กับอารมณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งความคิดฟุ้งซ่าน มันไม่มีพิษสง หมดพิษสงไปเลย อาการเฉย ๆ นี้ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า รู้ซื่อ ๆ คือ รู้แล้วเฉย ไม่รู้สึกเป็นลบกับมัน ไม่มีความชังต่ออารมณ์เหล่านี้ อันนี้ท่านเรียกว่า รู้ซื่อ ๆ
ฉะนั้นถ้าเราฝึกใจให้เฉยต่ออารมณ์พวกนี้หรือว่าเมินมัน ถ้ายังเฉยไม่ได้ก็แค่เมินมัน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมเมิน เราเอาแต่จดจ้องใส่ใจ อยากจะโรมรันพันตูกับมัน เราก็เลยตกเป็นเหยื่อของมัน
การเปลี่ยนจากความไม่ชอบให้เป็นความรู้สึกเฉย ๆ มันเป็นวิชาหนึ่งนะที่จะต้องฝึก เพราะว่าธรรมชาติหรือสัญชาตญาณคนเรานี้ ยิ่งไม่ชอบอะไร มันก็ยิ่งจดจ่อใส่ใจ ทีแรกมันอยากจะผลักไส แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นการยึดติด อันนี้เป็นสัญชาตญาณ ซึ่งถ้าเราปล่อยใจไปตามสัญชาตญาณ มันก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าความหลง หลงจดจ่อใส่ใจกับมัน ยิ่งไม่ชอบกลับยึดติด
แต่พอเรามีสติ รู้จักทำความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้น มันจะเฉยกับสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แล้วก็จะปล่อยวาง ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่รู้สึกตัวได้เต็มที่ แต่การที่รู้จักเตือนใจเราว่า อะไรที่ไม่ชอบ ก็ลองทำความรู้สึกเฉย ๆ กับมันดู หรือถ้ายังทำไม่ได้ก็เมินมัน ไม่ชอบใครก็เมิน ไม่สนใจ
เสียงดังมากระทบหู ไม่ชอบก็เมินมัน แต่ถ้าปล่อยใจให้มีความรู้สึกลบหรือไม่ชอบกับเสียง หรือผู้คน หรือเหตุการณ์เหล่านี้ มันเฉยยาก มันจะเข้าไปจดจ้องใส่ใจ อันนี้เรียกว่าทำไปด้วยอำนาจของความหลง ใจมันก็พลัดหลงไปตามความเคยชินหรือตามสัญชาตญาณ ซึ่งมันมีแต่จะซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจของเรา
ถ้าเราปล่อยใจไปตามธรรมชาติ มันก็จะมีแต่ความทุกข์ เพราะว่าใจมันก็จะไปหาเรื่องทุกข์มาใส่ตัว มันจะทำสิ่งที่เรียกว่าไม่มีเหตุไม่มีเหตุผลเลย ทำไมยิ่งไม่ชอบ ทำไมจึงไปใส่ใจกับสิ่งนั้น ทั้ง ๆ ที่ยิ่งใส่ใจก็ยิ่งเป็นทุกข์ในเมื่อไม่ชอบ ในเมื่อไม่อยากให้มันมีอิทธิพลต่อจิตใจของเรา แต่ทำไมจึงไปยอมให้มันมีอำนาจเหนือเรา
อำนาจที่มีเหนือเราก็เกิดขึ้นง่าย ๆ คือ การที่ไปจดจ่อใส่ใจกับมัน แต่พอเราเมินมัน มันก็มีอำนาจเหนือจิตใจเราได้ยาก หรือว่าเราก็วางใจเป็นกลางกับมัน เรียกว่าเฉย ๆ ก็คือรู้ซื่อ ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ รู้แต่ว่าเฉย มันก็เลยทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความฟุ้งซ่าน
ต้องกลับมาสังเกตใจของเรา อย่างน้อยก็เริ่มต้นจากการที่พบว่า เอ๊ะ ทำไมในเมื่อเราไม่ชอบ ไม่ชอบใคร ไม่ชอบสิ่งใด ไม่ชอบอารมณ์ใด แต่ทำไมจึงไปจดจ่อใส่ใจกับมัน อย่างนี้เรียกว่ารักตัวเองหรือเปล่า หรือว่าเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
พอมาสังเกตถึงความพิกลในจิตใจของเรา แล้วมันก็จะเห็นความสำคัญของการฝึกใจให้รู้จักเมินสิ่งที่ไม่ชอบ หรือให้รู้จักวางใจเป็นกลางต่อสิ่งเหล่านี้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็รู้ทัน พอมันโผล่ขึ้นมาก็มีสติรู้สึกตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ กลับมาพึงพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ไปจมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด
รู้จักเปิดใจรับสิ่งดี ๆ ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ แต่ทั้งหมดนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการที่รู้จักเมิน เมินกับสิ่งที่เราไม่ชอบ การกระทำคำพูดที่ไม่ชอบ เสียงที่ไม่ชอบ คนที่ไม่ชอบ มันต้องอาศัยสติมากเลย เพราะถ้าไม่มีสติ ใจมันก็จะแถไป แถไปหาสิ่งที่ไม่ชอบ
เสียงดังเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ใจก็ยังแถไปหาทั้งที่กำลังฟังธรรมอยู่ กลับไม่สนใจเสียงธรรมะที่ได้ยิน อันนี้เรียกว่ายึดติดแล้ว เพราะความยึดติดนี้แหละจึงเป็นเหตุให้ทุกข์ เราจึงต้องมีสติ แล้วก็รู้สึกตัว ไม่ปล่อยให้ความหลงครอบงำ จึงจะรักษาใจให้เป็นปกติได้ แม้ว่ารอบตัวจะมีสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ว่ามันก็ทำอะไรจิตใจเราไม่ได้.