แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 15 สิงหาคม 2567
เดี๋ยวนี้มีคนสนใจที่จะไปเป็นจิตอาสา เยี่ยมผู้ป่วยตามโรงพยาบาลโดยเฉพาะของรัฐมากขึ้น จิตอาสาเวลาจะไปเยี่ยมผู้ป่วยมักจะได้รับคำแนะนำจากพยาบาล คำแนะนำที่ว่าคือว่าถ้าไม่ได้ตั้งใจจะไปเยี่ยมผู้ป่วยอีกก็อย่าไปบอกเขาว่าคราวหน้าจะมาเยี่ยมใหม่นะ หรือเวลาเยี่ยมผู้ป่วยเห็นผู้ป่วยบางคนยากจน ส่วนใหญ่ก็อย่างั้นนะ ผู้ป่วยที่จิตอาสาไปเยี่ยมก็มักจะเป็นผู้ที่มีฐานะที่ไม่ค่อยดี ต้องนอนเตียงรวมหลายคน ก็เห็นใจนะ สงสารอยากจะให้เงิน จิอาสาก็จะได้รับคำแนะนำว่าอย่าให้เงินกับผู้ป่วย บางทีจิตอาสาก็ไม่เข้าใจทำไมไม่ควรให้เงินผู้ป่วยเพราะเขายากจน
การที่บอกผู้ป่วยว่าจะมาเยี่ยมอีกทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดจะมาเยี่ยม อันนี้มันเป็นการสร้างความคคาดหวังให้กับผู้ป่วย เขาก็จะรอ แล้วถ้าเกิดว่าจิตสาไม่มาเยี่ยมอีก เขาก็จะผิดหวัง เช่นเดียวกันถ้าจิตอาสาให้เงินเขาแม้จะดีใจ นะ แต่ว่าถ้าจิตอาสามาเยี่ยมครั้งต่อไปแล้วไม่ได้ให้เงินเขาเหมือนครั้งแรก ก็จะไม่พอใจเพราะมีความคาดหวังว่าจิตอาสามาเยี่ยมครั้งที่ 2 เขาก็จะได้รับเงินจากจิตอาสา แต่พอจิตอาสาไม่ได้ให้เงินเขาเหมือนที่ให้ครั้งแรกนี่ก็เสียใจ หรืออาจจะเกิดความไม่พอใจจิตอาสาด้วยก็ได้ อาจจะไม่ถึงขั้นโกรธแต่ว่าก็มีความเสียใจน้อย ๆ ความเสียใจที่ไม่ได้เงินอย่างที่คาดหวัง อันนี้มันเป็นการบั่นทอนจิตใจของผู้ป่วยนะ ผู้ป่วยเขาก็ทุกข์กายอยู่แล้ว แล้วถ้าเกิดเขามีความทุกข์ ใจเพราะไม่ได้เงินอย่างที่คาดหวังมันทำให้เขารู้สึกแย่
แล้วความคาดหวังนั้นเกิดจากอะไรนะ ก็เกิดจากคนไปเยี่ยมคือจิตอาสานั่นแหละเอาเงินไปให้เขา แม้จะไม่มาก อาจจะ 50 บาท หรือ 100 แต่มันก็เป็นการสร้างความคาดหวังให้กับเขา ว่าถ้าเราไปเยี่ยมครั้งต่อไปก็จะได้นั่นอีก หรือถึงแม้จะไม่ใช่จิตอาสาคนเดิมไปเยี่ยมแต่เป็นจิตอาสาคนใหม่ เขาก็จะอดไม่ได้นะที่จะคาดหวังว่าจิดอาสาคนใหม่ก็จะให้เงินเขาเหมือนกัน แต่พอไม่ได้เงินก็จะเสียใจเรียว่าผิดหวัง แล้วก็จะไม่พอใจว่าทำไมไม่ให้เงินฉันเลยนะ ก่อนหน้านี้ก็เคยให้เงินฉัน หรือว่าคนก่อนให้เงินฉันแต่ทำไมคนนี้ไม่ให้เงินฉัน อันนี้เป็นการบั่นทอนจิตใจของผู้ป่วย จะว่าเป็นการซ้ำเติมก็ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ป่วยเตียงอื่นเห็นว่าเตียงข้าง ๆ ได้เงินจากจิตอาสา ก็เกิดคำถามว่าทำไมฉันไม่ได้บ้าง ฉันก็จนเหมือนกัน ฉันก็ป่วยหนักเหมือนกัน คำถามแบบนี้มันสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้ป่วยเพราะมันเกิดการเปรียบเทียบ และอาจจะเกิดความอิจฉาด้วย แต่ก่อน ก่อนจิตอาสามาเยี่ยมผู้ป่วยเตียงติดก็คุ้นเคยกันดีเห็นอกเห็นใจกัน แต่พอคนนึงเห็นเตียงข้าง ๆ ได้เงิน แต่ฉันไม่ได้เงิน เกิดความอิจฉาหรืออาจะเกิดความกินแหนงแคลงใจ ซึ่งมันก็มีส่วนในการบั่นทอนมิตรภาพระหว่างผู้ป่วยที่อยู่เตียงติดกัน
ผู้ป่วยเหล่านี้นะกำลังใจสำคัญมาก ไม่ใช่เฉพาะการดูแลทางกาย แต่ถ้าจิตอาสาแม้ปรารถนาดีแต่ว่าทำอะไรบางอย่างที่ไปสร้างความคาดหวังให้กับผู้ป่วย และความคาดหวังนั้นไม่ได้รับการตอบสนองในโอกาสต่อไป ก็เกิดความทุกข์หรือว่าทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยที่อยู่ห้องเดียวกัน เตียงติดกัน เกิดปัญหาได้ เพราะฉะนั้นทางโรงพยาบาลก็จะถือเป็นเรื่องเข้มงวดมาก จิตอาสามาเยี่ยมก็จะขอร้องว่าอย่าไปสร้างความคาดหวังให้กับคนไข้ ถ้าไม่คิดจะไปเยี่ยมอีกก็อย่าไปบอกว่าเดี๋ยวจะมาเยี่ยมใหม่นะ หรือสร้างความหวังด้วยการให้เงินผู้ป่วย แม้จะเป็นเงินไม่มากนะแต่ว่ามันก็สามารถจะทำร้ายจิตใจของผู้ป่วย รวมทั้งสร้างความบาดหมางให้กับผู้ป่วยที่อยู่ใกล้กันได้ เช่นเดียวกันเวลาพระไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน บางทีย่ายายก็พาหลานตัวเล็ก ๆ มาใส่บาตรด้วย พระบางรูปเห็นเด็กเขาน่าสงสารน่าเอ็นดู ก็รู้ว่าเด็กฐานะก็ไม่ค่อยดี ปรารถนาดีก็ให้เงินกับเด็ก เด็กก็ดีใจ แต่ปัญหาตามมาคือว่าพอวันต่อมาเด็กมารอใส่บาตร เด็กจะคาดหวังแล้วว่าพระหรือหลวงพ่อจะเอาเงินมาให้ ถ้าไม่ได้ก็จะเสียใจ
แล้วในขณะเดียวกันมันก็สร้างแรงจูงใจ แต่ก่อนมาใส่บาตรเพราะว่าย่ายายชวน หรือเพราะอยากจะทำบุญย่ายายสอนเอาไว้นะว่ามาใส่บาตรจะได้บุญ แต่ก่อนมาด้วยใจล้วน ๆ แต่พอได้เงินคราวนี้ มาครั้งต่อไปนี่ไม่ใช่มาด้วยศรัทธาแล้ว แต่มาเพราะอยากได้เงินเพราะว่าเกิดความคาดหวังขึ้นแล้ว วันนี้พอไม่ได้เงินก็ผิดหวังไม่พอใจ และทำให้แรงจูงใจในการมารอใส่บาตรของเด็กมันเปลี่ยนไปแล้ว จากการมีฉันทะ มีศรัทธากลายเป็นมาด้วยตัณหา คืออยากได้เงิน มันไม่ได้เป็นผลดีกับเด็กเลย ถึงแม้ว่าพระที่ให้เงินจะปรารถนาดีอยากจะให้เด็กเขามีเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปซื้อดินสอ ไปซื้อขนม แต่ว่ามันกลับสร้างความทุกข์ แล้วก็แรงจูงใจที่เป็นอกุศลให้กับเด็ก ตอนหลังพอเด็กไม่ได้เงินอีกก็จะไม่ค่อยอยากจะมาแล้ว ถึงจะมาก็มาแบบเสียไม่ได้เพราะว่าไม่ได้เงินแล้ว อันนี้ก็เรียกว่า ปรารถนาดีแต่ว่าเกิดผลร้าย ผลเสียกับเด็ก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กคนอื่นเห็นเด็กบ้านนี้ได้เงินจากพระ แต่ทำไมเราไม่ได้ เกิดความอิจฉาบางทีก็อาจจะนึกตำหนิพระว่าทำไมไม่เป็นธรรม ให้บ้านนั้นแต่ไม่ให้บ้านนี้ ฉันก็จนเหมือนกัน จากเดิมที่มีความศรัทธาในตัวพระก็เลยเกิดความรู้สึกที่เป็นอกุศลขึ้นมา ว่าพระนี่ไม่เป็นธรรม หลวงพ่อไม่เป็นธรรมเลือกที่รักมักที่ชัง ก็กลายเป็นปัญหาอีก ทั้งหมดนี้เกิดจากการสร้างความคาดหวัง การสร้างความคาดหวังด้วยการให้เงิน แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าความคาดหวังที่เกิดขึ้นนี่มันจะเกิดผลเสียยังไง
คนเราพอมีความคาดหวังแล้วไม่ได้อย่างที่คาดหวังก็ทุกข์ แล้วบางทีก็เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับผู้ที่เคยเอื้อเฟื้อ มีร้านขายลูกชิ้นปิ้งเสียบไม้ ปกติ 4 ไม้ก็ 20 แต่ว่าบางครั้งก็ใจดีนะเพิ่มเป็นเพิ่ม อีก 1 ไม้จาก 4 ไม้เป็น 5 ไม้ ก็มีลูกค้าคนนึงมาซื้อประจำพ่อค้าก็แถมให้ 1 ไม้จาก 4 ไม้เป็น 5 ไม้ ทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำแล้ววันนึงปรากฏว่าขายดีเหลือลูกชิ้นแค่ 4 ไม้ ลูกค้าประจำมาพอดีก็เลยได้แค่ 4 ไม้ ไม่ได้ของแถม ปรากฎว่าลูกค้าไม่พอใจ อ้าวทำไมวันนี้ได้ 4 วันอื่น ๆ นี่ได้ 5 ทั้งโดยที่ไม่รู้หรือไม่ได้เฉลียวใจหรือไม่ได้ระลึกว่าที่ได้ 5 ไม้ เพราะพ่อค้าแถมอีก 1 ไม้ จริง ๆ 4 ไม้ 20 บาท มันเป็นราคามาตรฐานของเขาอยู่แล้ว แต่คราวนี้เนื่องจากได้ 5 ไม้ จนชินก็คาดหวังว่าจะได้ 5 ไม้อีก พอได้ 4 ไม้นี่ก็ไม่พอใจต่อว่าพ่อค้าแล้วก็ไม่มาอีกเลย อันนี้ก็เรียกว่าเป็นเพราะไปสร้างความคาดหวัง ปรารถนาดีนะแต่ว่าพอความคาดหวังนั้นไม่ได้รับการตอบสนองเหมือนเคยก็เกิดความผิดใจกัน เกิดความทุกข์
เราทุกข์เพราะความคาดหวัง
ซึ่งมันเป็นตัวการสร้างความทุกข์ให้กับผู้คนมาก คนเราได้อะไรแม้จะได้มากแต่ถ้ามันน้อยกว่าความคาดหวังนี้ก็ทุกข์ อย่างที่มีคนพูดกันในช่วงกีฬาโอลิมปิกที่ผ่านมา อาจารย์วัฒนชัยก็เพิ่งพูดไป คนที่ได้เหรียญเงินส่วนใหญ่หรือจำนวนมากจะทุกข์กว่าคนที่ได้เหรียญทองแดง ทั้งที่เหรียญเงินมันมีศักดิ์สูงกว่าเหรียญทองแดง น่าจะดีใจนะคนที่ได้เหรียญเงินว่า เออ...น่าจะดีใจกว่าคนที่ได้เหรียญทองแดง แต่ทำไมคนที่ได้เหรียญเงินจึงมีความทุกข์กว่าคนที่ได้เหรียญทองแดง ก็เพราะคนที่ได้เหรียญเงินตอนแข่งเขาคาดหวังเหรียญทอง พอเแพ้เขาก็ได้เหรียญเงิน เขาก็เลยเสียใจผิดหวัง ในขณะที่คนที่ได้เหรียญทองแดงตอนที่เขาขึ้นแข่งเขาก็คาดหวังว่าถ้าชนะก็ได้เหรียญทองแดง แล้วพอชนะได้เหรียญทองแดงเขาก็สมหวัง คนที่ได้เหรียญทองแดงก็ถือว่าได้เหรียญที่ต่ำกว่าเหรียญเงินนะ แต่ทำไมเขาดีใจเพราะว่าก็ได้อย่างที่หวัง ส่วนคนที่ได้เหรียญเงินแม้จะได้เหรียญที่มีศักดิ์สูงกว่าเหรียญทองแดงแต่คนที่ได้กับทุกข์กว่าคนที่ได้เหรียญทองแดง เพราะเขาหวังเหรียญทอง
เราได้อะไรมาก็ตาม ถ้าเราได้น้อยกว่าที่คาดหวังนี่ทุกข์เลย 100 ล้านนี่เยอะนะ แต่ถ้าเกิดว่าว่าได้มาแล้วบางคนก็เสียใจเพราะว่าคาดหวัง 200 ล้าน ได้มากแค่ไหนแต่ถ้าได้น้อยกว่าที่คาดหวังมันทุกข์ แต่ถึงแม้ได้น้อยแต่ว่าสิ่งที่ได้มันมากกว่าที่คาดหวังนี่มีความสุขนะ ดีใจ 100 บาทนี่มันน้อยกว่า 100 ล้านเยอะเลย แต่ถ้าหากว่าคาดหวังนะ 50 แล้วได้ 100 โอ้ยมีความสุขมากเลย คนได้ 100 แต่มีความสุข แต่อีกคนได้ 100 ล้านกลับทุกข์ทำไมในเมื่อ 100 ล้านมากกว่า 10 มากกว่า 100 ทำไมคนได้ 100 ล้านจึงทุกข์กว่าคนที่ได้ 100 บาท ก็เพราะคนที่ได้ 100 บาทเขาคาดหวังน้อยไง คาดหวัง 50 ได้ 100 ก็มีความสุข แต่คนที่ได้ 100 ล้านเขาคาดหวัง 200 ล้านก็จึงทุกข์เรียกว่า ได้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร รวมทั้งมีความคาดหวังอย่างไรด้วย ถ้าคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้เวลามีความทุกข์อาจจะลืมไปว่าเป็นเพราะว่าเขาตั้งความคาดหวังไว้สูง ถ้าตั้งความคาดหวังลงหน่อยเขาก็อาจจะทุกข์น้อย
คนบางคนก็ฉลาดนะรู้จักใช้จิตวิทยาเรื่องนี้มาเป็นประโยชน์กับตัวเอง อันนี้เคยเล่าแล้วนะ พ่อค้าคนนึง แต่ก่อนแกก็ไม่สนใจเรื่องสมาธิภาวนาเลย สนใจแต่หาเงินหาทอง สนใจแต่เรื่องการค้าขาย ภายหลังเพื่อนชวนไป เข้าคอร์สทำสมาธิปรากฏว่าพบกับความสงบ ติดใจก็เลยตั้งใจว่าเมื่อออกจากคอร์สแล้วแกจะพยายามนั่งสมาธิทุกเย็นหลังเลิกงาน แล้วก็พยายามทำอย่างที่คิดนะ วันจันทร์ก็นั่งสมาธิ วันอังคารก็นั่งสมาธิ วันพุธก็นั่งสมาธิ วันพฤหัสบดีก็นั่ง แต่พอถึงวันศุกร์นั่งได้ไม่เท่าไหร่ปรากฏว่าสติแตกนะ เพราะว่ามีเด็กกลุ่มนึงมาเล่นบอลอยู่หน้าร้าน รถก็ไม่ค่อยเยอะเด็กก็เลยมาเล่นบอลกัน เด็กประมาอายุ 10-11 ขวบเส่งเสียงดัง นั่งสมาธิไม่ได้เลย ทำยังไงจะไปตวาดไล่เด็กให้เลิกเล่นก็รู้ว่าขืนทำอย่างั้นเด็กก็คงจะ กล้งส่งเสียงดังให้หนักขึ้น วิธีนี้ไม่ได้ผล วิธีตวาดวิธีไล่มันไม่ได้ผลหรอก แล้วแกคิดได้ว่ามันมีวิธีที่ดีกว่านั้น แทนที่จะออกไปตวาดไล่เด็กก็กลับเปลี่ยนมาเป็นมิตรกับเด็ก ออกไปคุยกับเด็กหลังจากที่เด็กเล่นบอลเสร็จบอกว่าหนูเล่นบอลนี่ทำให้ลุงนี่มีความสุขมากเลย เพราะนึกถึงสมัยที่เป็นเด็ก ๆ แล้วก็ได้เล่นบอลนะก็เลยอยากจะให้รางวัลหนู ให้ทั้งทีม เลย 100 บาท 40 ปีก่อนนี่มัน 40- 50 ปีก่อน 100 บาทมันเยอะนะได้คนละ 10 บาทก็ถือว่าเยอะแล้ว เด็กก็ดีใจอาทิตย์หน้ามาใหม่นะเลิกเรียนวันศุกร์ก็มาเล่นบอล ก็นั่งสมาธิไม่ได้อีกนะพ่อค้า
แต่แกก็วางแผนไว้แล้วพอเด็กเล่นบอลเสร็จก็ลงไปหาเด็กบอก ว่าอยากจะให้รางวัลพวกหนูนะแต่วันนี้ช่วงนี้ขายไม่ค่อยดีเอาไป 50 บาทก็แล้วกัน เด็กก็ก็ยังดีใจอยู่ถึงแม้ว่าจะได้น้อยกว่าครั้งที่แล้ว อันนี้ต่อมาเดี๋ยวก็มาเล่นอีกคราวนี้พ่อค้าก็ลงไปหาเด็กบอกว่าอาทิตย์นี้ขายไม่ดีเลย อยากจะให้รางวัลพวกหนูแต่ว่ามีแค่เนี้ยเอาไป 10 บาท คราวนี้สีหน้าเด็กไม่ดี เด็กไม่พอใจ ปรากฏว่าอาทิตย์ต่อมาเด็กไม่มาอีกเลยพราะเด็กไม่พอใจที่ได้แค่ 10 บาท 2 อาทิตยที่แล้วนี่ได้ 100 อาทิตยต่อ มาได้ 50 เด็กก็คาดหวังว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องได้ 50 แล้ว แต่พอได้ 10 บาทนี่เด็กผิดหวัง เด็กไม่พอใจรู้สึกว่าไม่คุ้มนะที่จะมาเล่นบอล มันก็แปลกแต่ก่อนเล่นโดยที่ไม่ได้เงินนะก็ยังมาเล่นกันทุกอาทิตย์ แต่ที่จะคิดว่าเออได้ 10 บาทยังดีนะกลับไม่คิดอย่างงั้น เพราะอะไรเพราะคิดไปเปรียบเทียบกับ 100 บาทหรือ 50 บาทที่เคยได้ แต่ก่อนเล่นเพื่อความสนุกแต่ตอนนี้เล่นเพราะหวังหรือคาดหวังเงิน แล้วคนเราถ้าเล่นเพื่อความสนุกนะโอ้มันก็มีความสุขที่ได้เล่นนะ แต่พอเล่นเพราะคาดหวังเงิน ถ้าได้เงินต่ำกว่าที่คาดหวัง ไม่พอใจนะก็เลยเลิกเล่นเลย เข้าแผนพ่อค้า พ่อค้าฉลาดนะรู้จักวิธีตั้งความหวังให้สูงเข้าไว้แล้วค่อย ๆ ทำให้เด็กผิดหวัง เด็กก็จะได้โกรธแล้วก็ไม่มาอีก วิธีนี้มันดีกว่าวิธีการไปตวาดด่าเด็ก จริง ๆ วิธีนี้ก็ไม่ถูกต้องเพราะมันเป็นวิธีการที่ไปหลอกเด็ก แต่มันก็สะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เราได้เท่าไหร่มันก็ไม่ใช่ว่าจะมีความสุขนะ ถ้ามันได้น้อยกว่าที่คาดหวัง
ความคาดหวังมันเป็นสิ่งที่สามารถจะทำสร้างความทุกข์ให้กับเราได้ เราสามารถจะสร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นได้เหมือนกัน
ถ้าไปสร้างความหวังให้กับเขาแล้วก็ไม่ทำให้เขาได้รับความสมหวัง ให้เขาก็จริงแล้วแต่ให้ต่ำกว่าความคาดหวังเขาก็ทุกข์แล้ว แต่ว่าเราก็สามารถสร้างทุกข์ให้กับตัวเราเองด้วยได้ ถ้าเราไปสร้างความคาดหวัง เรื่องความคาดหวังมันไม่ใช่เฉพาะคาดหวังเรื่องเงินทองหรือเหรียญ คาดหวังอย่างอื่น คาดหวังจากคนอื่น คาดหวังการกระทำและคำพูดของคนอื่นมันก็สามารถทำให้เราทุกข์ได้ โดยเฉพาะถ้าเกิดว่าเขาไม่เป็นไปอย่างที่เรา คาดหวัง และที่คาดหวังจากผู้คนส่วนหนึ่งก็เกิดจากความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกู เช่น พ่อแม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าลูกเป็นของกู ก็เลยคาดหวังลูกว่าจะเป็นไปตามความต้องการของพ่อหรือของแม่ แต่พอลูกไม่เป็นไปตามความคาดหวังนี่ทุกข์เลย และยิ่งพยายามบีบคั้นคาดคั้นกดดันให้เขาเป็นไปอย่างที่พ่อแม่คาดหวัง ก็เกิดความทุกข์ทั้ง 2 ฝ่าย และทำให้ความสัมพันธ์มันแย่ แต่ถ้าเกิดว่าเลิกยึดมั่นถือว่าเป็นของเราลูกของเรา ความคาดหวังก็จะน้อยลง
มีเพื่อนร่วมโรงเรียนคนนึง รู้จักกันมาต้องแต่เรียนประถมตอนหลังก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ เป็นคนฉลาดมีวินัยขยันขันแข็งทำธุรกิจนี่ระดับพันล้าน แต่แกมีความทุกข์มากเพราะว่าลูกไม่ค่อยขยันเหมือนพ่อเลย ไม่ค่อยมีวินัยไม่ขยันเรียน แกทุกข์มากพยายามบังคับจำจ้ำจี้จ้ำไชลูก ลูกก็กลับดื้อแล้วก็ทำให้ความสัมพันธ์มันแย่ลง วันนึงแกได้ฟังคำบรรยายของอาตมา อาตมาก็บรรยายตอนนึงนะว่าพ่อแม่มักไปคิดว่าลูกเป็นของเรา ที่จริงลูกไม่ใช่ของเราหรอก มีคำพูดว่าลูกเลี้ยงได้แต่ตัว แต่ใจเลี้ยงไม่ได้ ที่จริงแม้แต่ตัวเราก็ยังเลี้ยงไม่ได้นะ อยากให้ลูกอ้วนลูกมันก็ผอม อยากให้ลูกผอมลูกมันกลับอ้วน อย่าว่าแต่เลี้ยงใจเลยนะร่างกายของลูกเราก็เลี้ยงไม่ได้ หรือคาดหวังให้เป็นไปอย่างใจเราไม่ได้ พอแกได้ฟังทำนองนี้แกก็รู้สึกว่าเออจริงนะ ไอ้เราไปยึดว่าลูกเป็นของเราก็เลยบังคับให้เขาเป็นไปอย่างที่เราต้องการ พอยอมรับความจริงว่าลูกไม่ใช่ของเราแกก็เริ่มคาดหวังน้อยลง ไม่จ้ำจี้จ้ำไชให้ลูกเป็นอย่างตัวเองหรือเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ยอมรับลูกได้มากขึ้น ปรากฏว่าวันนึงลูกก็มาบอกว่านี่พ่อเปลี่ยนไปนะ เดี๋ยวนี้พ่อพูดคุยกับลูกมากขึ้นฟังลูกมากขึ้น แกแปลกใจมากเลยแกก็ไม่ได้ทำอะไรมากเพียงแต่เลิกคาหวังในตัวลูก เพราะคิดว่าลูกไม่ใช่ของกู พอลดความคาดหวังลงเพราะคิดว่าลูกไม่ใช่ของกู
ปรากฎว่าความสัมพันธ์ดีขึ้น ที่ดีขึ้นเพราะอะไร เพราะพ่อนี่ไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการบังคับลูกให้เป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการหรือเป็นไปอย่างที่คาดหวัง พอเลิกคาดหวังหรือคลายความคาดหวังลง ความสัมพัธ์ก็ดีขึ้น ลูกก็ฟังพ่อมากขึ้น คุยกับพ่อมากขึ้น แล้วก็เลยมาขอบอกขอบใจนะ ขอบคุณนะที่มาช่วยแนะนำ อันนี้ก็เป็นอานิสงส์ของการที่ลดความคาดหวังในตัวลูกนะ เพราะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าลูกเป็นของกู คนเราถ้ายึดว่าอะไรเป็นของกู ลูกของกู เมียของกู ผัวของกู หรือแม้แต่พ่อของกู มันอดไม่ได้นะที่จะคาดหวังแล้ว ก็กดดันคาดคั้นให้เเป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง พอไม่เป็นไปที่คาดหวังก็ไม่พอใจ ทุกข์แล้วก็พยายามเพิ่มความกดดันมากขึ้น ความสัมพันธ์ก็เลยแย่ลง แต่เลิกความคาดหวังลงเพราะไม่ไปยึดว่าเป็นของกู ความสัมพันธ์มันก็ดีขึ้น
เพราะฉะนั้นความทุกข์ของคนเราบ่อยครั้งมันก็เกิดจากการที่เราไปตั้งความคาดหวังของตัวเอง หรือไปสร้างความคาดหวังให้กับคนอื่น ถ้าลดตรงนี้ลงได้ ความทุกข์มันก็ลดลงไปด้วย.