พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 14 สิงหาคม 2567
คนเราเวลาเห็นอะไร เราไม่ได้เห็นอย่างที่มันเป็น มักจะมีการปรุงแต่งเกิดขึ้นในใจ ถ้าเห็นสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ถูกใจ ก็ปรุงแต่งในทางบวก ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบไม่ถูกใจ ก็ปรุงแต่งในทางลบ และภาพปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิ่งนั้น มันจะส่งผลต่อการเห็นการรับรู้ของเรา
ถ้าเราปรุงแต่งไปในทางบวกก็จะเห็นแต่ด้านที่เป็นบวก ด้านที่ดี ด้านที่ถูกใจ ถ้าปรุงแต่งหรือสร้างภาพในทางลบก็จะเห็นแต่ด้านที่ไม่ดี ที่ไม่ถูกใจ พอเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีไม่ถูกใจก็ทำให้เกิดความไม่ชอบ ทำให้เกิดความชัง หรือทำให้เกิดอารมณ์ลบเกี่ยวกับสิ่งนั้น
มีริมโปเชชาวทิเบตท่านหนึ่ง เป็นพระหนุ่มชื่อท่านมินจู ท่านนี้มีชื่อเสียงมากทั้งในยุโรป อเมริกา รวมทั้งในเมืองไทยด้วย มีคราวหนึ่งท่านเดินทางไปที่สนามบินแห่งหนึ่งในอเมริกา เพื่อจะเดินทางต่อไปอีกเมืองหนึ่ง ก่อนที่จะขึ้นเครื่องก็ต้องผ่านการตรวจเอกซเรย์ ตรวจเอกซเรย์ร่างกาย แล้วตรวจเอกซเรย์สัมภาระ กระเป๋า ท่านตรวจเอกซเรย์ร่างกายก็ผ่าน
ระหว่างที่รอถ่ายเอกซเรย์สัมภาระ กระเป๋าอยู่นั้น ท่านสังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) คนหนึ่งอยู่ใกล้ๆ มองท่านแบบไม่ลดละสายตาเลย แล้วก็ไม่ยิ้มด้วย ท่านหันไปมองทีไร ก็เห็นชายคนนี้ ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ จ้องมองท่านแบบตาไม่กระพริบเลย แถมไม่ยิ้มด้วย ท่านก็รู้สึกเอะใจ คิดไปว่าเราทำอะไรไม่ถูกหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรนี่
แล้วยิ่งเห็นสายตาของ รปภ.คนนั้นที่จ้องมองมาที่ท่าน ยิ่งเห็นเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า รปภ.คนนี้หน้าตาดุดัน จิตใจคงจะแข็งกระด้าง แล้วยิ่งเห็น ยิ่งคิดแบบนี้เท่าไหร่ ก็ยิ่งสังเกตว่าลักษณะรูปร่างของ รปภ.คนนี้ดูดุดันมาก สูงใหญ่ มีหนวดเฟิ้ม ดูไปดูมาคล้ายๆ กับผู้ร้ายพวกมาเฟียในหนัง สักพัก รปภ.คนนี้ก็หยิบโทรศัพท์มือถือมา แล้วก็พูดอะไรสักอย่างกับปลายสาย ท่านก็เดาว่าสงสัยคงจะมีเรื่องไม่สู้ดี
สักพักก็มี รปภ.อีกคนหนึ่งเดินมา แล้วก็พูดคุยกับ รปภ.ที่มีหนวดคนนี้ แล้วก็มายืนแทนที่ รปภ.ที่มีหนวด ส่วน รปภ.ที่มีหนวดก็เดินตรงมาหาท่าน ใจท่านก็ไม่ค่อยสู้ดี มีอาการเหมือนกับว่ารู้สึกมึนตึงกับ รปภ.คนนี้ คงมีพลังบางอย่างทั้งจากเขาแล้วก็จากท่าน เป็นพลังลบ
พอ รปภ.คนนั้นเดินมาถึงท่าน ก็พูดขึ้นมาว่า คุณคือมิสเตอร์มินจูใช่ไหม พอได้ยินคำถามนี้ ท่านบอกโล่งอกเลย ใช่ อาตมาชื่อมินจูริมโปเช พอให้ได้คำตอบเช่นนี้ รปภ.คนนี้ยิ้มเลย บอกผมชอบหนังสือของท่านมากเลย มันช่วยผมได้มากเลย อยากจะขอบคุณ พอท่านได้ยินคำพูดแบบนั้น รู้สึกโล่งอกเลย อาการมึนตึงหายไปหมด มีแต่ความรู้สึกพึงพอใจ แล้วก็ยิ้ม เขาก็ยิ้มให้ท่าน ท่านก็ยิ้มให้เขา แล้วจับมือเขย่าตามธรรมเนียมฝรั่ง
พอทักทายสักพัก รปภ.คนนี้ก็เดินกลับไปตำแหน่งเดิม ตอนนั้นในใจของท่านมินจูรู้สึกเลยนะว่า รปภ.คนนี้เป็นคนใจดี เป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนที่น่าคบ มีความเป็นมิตร มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาทันทีเลยหลังจากที่ได้ทักทายกัน แต่ท่านก็เอะใจนะ เอ๊ะ เมื่อกี้เรายังมองว่าเขาหน้าตาเหมือนผู้ร้ายในหนัง เป็นคนดุดันก้าวร้าว แต่ตอนนี้ทำไมเราเห็นเขาเป็นอีกแบบหนึ่งเสียแล้ว เป็นคนใจดี มีน้ำใจ มีความเป็นมิตร
ตอนแรกๆ ยังเห็นแต่หนวดของเขา ซึ่งมันเพิ่มความเข้มให้กับบุคลิกของเขา จนดูเหมือนเป็นผู้ร้าย แต่ตอนนี้เห็นแต่รอยยิ้มของเขา เห็นแววตาที่เป็นมิตร ถึงตอนนี้ ท่านก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้ อดขำตัวเองไม่ได้ ว่าเมื่อกี้เห็นเขาเป็นผู้ร้าย แต่ตอนนี้เห็นเขาเป็นมิตรแล้ว เพียงเพราะว่าเขามาทักทาย มาแสดงความรู้จัก มาขอบคุณ ทำไมภาพที่เห็นมันเปลี่ยนไป
จะเรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทั้งที่คนที่ท่านพบหรือ รปภ.คนนี้ก็เป็นคนเดิมนั่นแหละ ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ใจของท่าน ตอนแรกก็ปรุงแต่งในทางลบ เห็นเขาไม่ยิ้มก็ปรุงแต่งในทางลบ แล้วพอปรุงแต่งในทางลบ มันก็เห็นแต่ส่วนที่เป็นลบของเขา จนกระทั่งวาดภาพว่าเขาเหมือนกับผู้ร้ายในหนัง พอวาดภาพแบบนี้ ก็เกิดความรู้สึกไม่ค่อยชอบขี้หน้าคนนี้
แต่พอเขามายิ้ม มาทักทาย มาบอกว่าชอบหนังสือของท่านมากเลย ภาพของชายคนนี้ในจิตใจก็เปลี่ยนไปเลย กลายเป็นคนที่น่ารัก มีน้ำใจ มีความเป็นมิตร เห็นแต่รอยยิ้มของเขา แล้วเกิดความยินดีพอใจใน รปภ.คนนี้ขึ้นมา
อันนี้ก็เป็นบทเรียนที่ทำให้ท่านได้เห็นว่า ใจของคนเราเอาแน่นอนไม่ได้ เวลาเราเห็นอะไร อดไม่ได้ที่จะปรุงแต่ง แล้วตอนที่เราเห็น เราไม่ได้เห็นเปล่าๆ มันจะมีความชอบไม่ชอบ มีความรู้สึกถูกใจไม่ถูกใจเกิดขึ้นมาด้วย แล้วพอเห็น แล้วเกิดความรู้สึกชอบ ก็เกิดภาพปรุงแต่งในทางบวก ถ้าเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบ เช่น เขาบึ้งตึง เขาไม่ยิ้ม ก็ปรุงแต่งในทางลบเลยว่า เขาเป็นคนที่ดูแข็งกระด้าง แล้วพอปรุงแต่งไปทางลบ ก็จะเห็นแต่ด้านลบ เห็นแต่หนวดที่เฟิ้ม เห็นแต่ร่างกายที่สูงใหญ่ ไม่ต่างจากผู้ร้ายในหนัง
แต่พอเขามีปฏิสัมพันธ์ในทางที่ดี มาคุยดีด้วย ภาพปรุงแต่งก็เปลี่ยนไปเลย ปรุงแต่งไปในทางบวก แล้วพอปรุงแต่งไปในทางบวก ก็เห็นแต่ด้านที่ดีของเขา
อันนี้ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เวลาเราเห็นอะไร เราไม่ได้เห็นเฉยๆ ไม่ได้สักแต่ว่าเห็น หรือไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงหรือเห็นเขาอย่างที่เขาเป็น แต่มีการปรุงแต่งเกิดขึ้นตามมาด้วย เรียกว่าภาพปรุงแต่งบวกก็มี ลบก็มี แล้วพอสร้างภาพปรุงแต่งขึ้นมาในใจ หรือมีความคิดว่าเขาดี เขาไม่ดี เขาเป็นมิตร เขาดุดัน ก็ส่งผลต่อการรับรู้ของเรา
พูดง่ายๆ คือ คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าคิดหรือวาดภาพในทางลบก็เห็นแต่ด้านลบ ถ้าคิดในทางบวกหรือมองเขาในด้านบวก ก็จะเห็นแต่สิ่งที่เป็นบวกของเขา อันนี้แหละที่ทางพระท่านเรียกว่า สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
ในปฏิจจสมุปบาทจะมีกระบวนการช่วงหนึ่ง อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ สังขารคือสิ่งที่ปรุงแต่งในใจหรือภาพที่เราวาดขึ้นในใจ รวมทั้งความชอบความไม่ชอบ ความยินดีความยินร้าย เรียกว่าสังขารก็มีส่วนในการปรุงแต่งวิญญาณ คือความรับรู้ มองเขาในด้านลบ ก็เห็นแต่ด้านลบของเขา มองเขาในด้านบวกก็เห็นแต่ด้านบวกของเขา แล้วก็เกิดความชอบความชังตามมาด้วย
ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า ภาพปรุงแต่ง เราปรุงแต่งอย่างไร ก็ส่งผลต่อความชอบหรือความชังของเราที่มีต่อคนนั้น ถ้าเราปรุงแต่งในทางบวก เราก็ชอบ พอใจ รู้สึกดีกับเขา ถ้าเราปรุงแต่งในทางลบ สร้างภาพของเขาในทางลบ เราก็เกิดความไม่ชอบ เกิดความชัง จะว่าเราเป็นเหยื่อของภาพปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในใจเราก็ได้
คนเราส่วนใหญ่ก็เป็นเหยื่อของภาพปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในใจเรา ปรุงแต่งนาย ก.ว่าเป็นบวก เราก็ชอบเขา ปรุงแต่งนาย ข.ในทางลบ เราก็ชังเขา ไม่ชอบเขา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ความชอบความชังของเรา หรือความรู้สึกของเราต่อใครก็ตาม จริงๆ แล้วเป็นความชอบต่อภาพปรุงแต่งที่สร้างขึ้นในใจเรา เราไม่ได้ชอบเขาจริงๆ แต่เราชอบภาพปรุงแต่งเกี่ยวกับตัวเขาในใจของเรา เราไม่ได้เกลียดเขาจริงๆ เราไม่ได้โกรธเขาจริงๆ แต่เราโกรธภาพปรุงแต่งเกี่ยวกับตัวเขาในใจเรา
อันนี้ก็ไม่ต่างจากเวลาเรากลัว อยู่กุฏิแล้วเรากลัวผีในยามค่ำคืน กลัวคนจะมาทำร้าย จริงๆ แล้วเราไม่ได้กลัวผี เรากลัวความคิดในใจเราเกี่ยวกับผี หรือเรากลัวภาพปรุงแต่งเกี่ยวกับผีที่เกิดขึ้นในใจเรา หรือเรากลัวภาพของผู้ร้ายที่ปรุงแต่งในใจเรา พูดง่ายๆ คือ เรากลัวความคิดที่เกิดขึ้นในใจเรามากกว่า เราไม่ได้กลัวผี แต่เรากลัวความคิดเกี่ยวกับผีในใจเรา เราไม่ได้กลัวผู้ร้าย แต่เรากลัวความคิดเกี่ยวกับผู้ร้ายที่เกิดขึ้นหรือปรุงแต่งขึ้นในใจเรา
เพราะฉะนั้นอันนี้คือความจริงที่เราควรจะรับรู้ ถ้าเราไม่อยากจะตกเป็นเหยื่อของภาพปรุงแต่งในใจ เราต้องรู้จักทักท้วงมันบ้าง อย่างท่านมินจูท่านเห็นเลยว่าใจเราเป็นอย่างนี้หนอ ท่านก็รู้สึกหัวเราะตัวเอง ที่ปรุงแต่งภาพเกี่ยวกับ รปภ.ขึ้นมา แล้วก็รู้สึกบวกรู้สึกลบไปตามภาพนั้น มันก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจของตัวเอง แล้วทำให้ไม่หลงเชื่อปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในใจเราง่ายๆ รู้จักหัวเราะเยาะมันบ้างว่า ใจหนอใจ เป็นอย่างนี้
คงไม่ต่างจากผู้หญิงคนหนึ่งไปเห็นผู้ชายผอมคล้ำ เห็นภาพแบบนี้แล้วสรุปว่า สงสัยติดยา พอวาดภาพว่านี่คือคนติดยา ก็ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ ก็ระมัดระวัง เห็นอะไรตุงๆ อยู่ที่กระเป๋ากางเกง ก็สงสัยว่าเป็นมีดหรือเปล่า เพราะว่าคนติดยาก็มักจะปล้นจี้เพื่อเอาเงินไปซื้อยา เธอก็มองผู้ชายคนนี้ด้วยสายตาที่หวาดระแวง ตอนนั้นเผอิญเป็นเวลาค่ำแล้ว
เธอมากับลูกชาย 6-7 ขวบ เดินไปได้สักพัก มีหมาข้างถนนเห่าใส่เธอและลูกชาย เธอไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ห่วงลูก กลัวว่าหมาจะมากัดเพราะท่าทางดุมาก แล้วไม่รู้ว่าหมาบ้าหรือเปล่า ขณะที่หมากำลังเห่าเธอ แล้วเธอไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะปกป้องลูกชายอย่างไร
ปรากฏว่าชายคนนั้นตรงเข้ามาหา ไม่ได้มาหาเธอนะ ไปหาหมาแล้วส่งเสียงตะโกนไล่มันไป หมามันกลัวชายคนนั้น ก็เผ่นหนีไปเลย ผู้หญิงคนนั้น แต่เดิมรังเกียจชายคนนั้น แต่พอเห็นชายคนนั้นมาช่วยเธอและลูก ไล่หมาไป เธอรู้สึกขอบคุณ แล้วภาพที่มีต่อชายคนนั้นเปลี่ยนไปเลย เขาเป็นคนดีนะ เขาเป็นคนมีน้ำใจ
ภาพที่วาดเกี่ยวกับชายคนนั้นเปลี่ยนไปเลย จากเดิมที่มองว่าเขาเป็นผู้ร้ายหรือคนติดยา ทำท่าเป็นผู้ร้าย แล้วเกิดความรังเกียจ ตอนนี้ภาพมันเปลี่ยนไปแล้ว เห็นว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจ แล้วก็รู้สึกดี รู้สึกบวกกับเขา
คนเราเป็นอย่างนี้ เราชอบสร้างภาพเกี่ยวกับผู้คนที่อยู่รอบข้าง แล้วเราก็ตกเป็นเหยื่อของภาพที่เราวาดขึ้นมา ถ้าสร้างภาพในทางลบเราก็รู้สึกลบ ถ้าสร้างภาพในทางบวกเราก็รู้สึกบวก ที่จริงชายคนนั้นเขาไม่ได้ติดยา เขาเป็นมะเร็งแล้วผ่านการฉายแสงฉีดคีโมมา ปรากฏว่าเกิดอาการแพ้ ตัวผอมคล้ำเลย ไม่ใช่เป็นพวกติดยา
ผู้หญิงคนนี้มารู้ความจริงหลังจากที่ได้พูดคุยกับชายคนนั้น แล้วก็พบว่าเขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา เพิ่งผ่านการฉายแสงฉีดคีโมมาได้ 2 อาทิตย์เอง เกิดความสงสารขึ้นมา เกิดความเห็นใจขึ้นมาทันทีเลย แล้วนึกตำหนิตัวเองว่า ทำไมเราไปมองเขาว่าเป็นคนที่น่ากลัว เป็นคนติดยา
อันนี้เป็นธรรมชาติของใจเรา เราชอบปรุงแต่ง ชอบสรุป ชอบตัดสิน ใจมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าเราเลือกได้ที่จะเชื่อภาพปรุงแต่ง หรือเชื่อความคิดที่ใจสรุปขึ้นมาได้ มนุษย์เรามีความสามารถตรงนี้แหละ ใจอาจจะคิดโน่นคิดนี่ ปรุงแต่งในทางที่ควบคุมลำบาก
แต่คนเรามีสติที่ทำให้รู้ทันความคิดปรุงแต่ง แล้วสามารถจะทักท้วง ไม่เชื่อ แล้วคนเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักทักท้วงความคิด ความเชื่อ ภาพปรุงแต่ง เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่เราปรุงแต่งเกี่ยวกับคน หรือการตัดสินของเราเกี่ยวกับคนรอบข้าง มันมีโอกาสผิดได้ อย่างที่ท่านมินจูไปตัดสินว่า รปภ.คนนี้คงคิดไม่ดีกับท่าน หรือว่าทำท่าจะเป็นผู้ร้าย เป็นคนดุดันไร้น้ำใจ แต่ที่จริงเขาเป็นคนที่ดี
หรือแม่ของเด็กที่มองชายคนนั้นว่าเป็นคนติดยา ถ้าไปสรุปไปเชื่อจริงๆ มันก็ทำให้เกิดความรู้สึกลบกับเขา ระแวง เราต้องรู้จักทักท้วงความคิด ไม่เชื่อภาพปรุงแต่ง หรือที่จริงไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เรารับรู้
เดี๋ยวนี้คนเราเชื่อง่าย เคยเล่าให้ฟังแล้ว เวลาเจออะไรทางโซเชียลมีเดีย ก็ขยันแชร์เหลือเกิน ชอบแชร์ แชร์ง่าย เพราะว่าเชื่อง่าย เชื่อว่าเป็นความจริง ข่าวบางข่าวเป็นข่าวเท็จ แล้วก็แพร่หลายกันมา 3-4 ปีแล้ว ยังแชร์กันไม่เลิก เช่นอข่าวว่าเมืองไทยมี 83 จังหวัดแล้ว รวมทั้งจังหวัดชุมแพ จังหวัดบัวใหญ่ คนก็ขยันแชร์กันเหลือเกิน เพราะอะไร เพราะว่าเชื่อง่าย เชื่อง่ายก็แชร์ง่าย ยังดีนะที่ข่าวพวกนี้ไม่ได้เป็นอันตรายมาก แต่ข่าวบางข่าวเป็นอันตราย แต่ก็แชร์กัน ที่แชร์ง่ายเพราะเชื่อง่าย
ที่จริงแล้วควรจะรู้จักทักท้วงว่า อาจจะไม่จริงก็ได้ ตั้งคำถามกับข่าวที่เราได้รับรู้มา แล้วพอเชื่อง่ายแชร์ง่าย ก็เลยถูกหลอกง่าย ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกง่าย หลอกให้กดลิงก์โน่นนี่ แต่ถูกคนอื่นหลอกก็ยังไม่ร้ายเท่ากับหลอกตัวเองนะ หรือถูกความคิดมันหลอก จริงๆ แล้วถูกคนอื่นหลอก มันไม่ร้ายเท่ากับถูกความคิดของตัวเองหลอก เพราะเราเชื่อความคิดง่าย บางทีความคิดก็หลอกให้เราด่า หลอกให้เราต่อว่าผู้มีพระคุณ หลอกให้เราทำชั่ว
ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักทักท้วงความคิด เชื่อมันทุกอย่าง เราก็แย่ บางทีมันหลอกให้เราทำร้ายตัวเอง คนที่ฆ่าตัวตายหรือแม้แต่คนที่ซึมเศร้า เพราะว่าเขาเชื่อความคิดของตัวเอง แล้วหลงจมอยู่กับความคิดในทางลบทางร้ายเหล่านั้น จนเอาตัวไม่รอด แล้วที่จริงที่ไปเชื่อคนอื่นไปเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะลึกๆ มันเชื่อตัวเอง เชื่อความคิดว่าเขาพูดจริง หรือเชื่อความโลภ เชื่อความกลัว แก๊งคอลเซ็นเตอร์เขามาหลอกโดยอาศัยความกลัวบ้าง อาศัยความโลภ กระตุ้นความโลภของเราบ้าง พอมีความโลภ ความกลัวเกิดขึ้นในใจ เราก็เชื่อ ยอมทำตามอำนาจของมัน
คนเราถ้าไม่เชื่อ ถ้ารู้จักทักท้วงความคิดหรือทักท้วงอารมณ์ของตัวเอง จะไม่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ง่ายๆ แต่นี่เป็นเพราะเชื่อความคิด เชื่ออารมณ์ของตัว เลยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฉะนั้นเราต้องรู้จักทักท้วงความคิดของเรา หรือความคิดที่เกิดขึ้นในใจเรา จะว่าเป็นความคิดของเราก็ไม่ใช่ มันแค่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นในใจ
ความคิดบางอย่าง เสียงบางอย่างในหัวมันก็แย่นะ ด่าพ่อด่าแม่ จ้วงจาบผู้มีพระคุณ นั่นไม่ใช่เสียงของเรา ไม่ใช่ความคิดของเรา ถ้าเราเผลอไปคิด ไปเหมาว่ามันคือความคิดของเรา เสียงในหัวของเรา เราก็ทุกข์เลย แต่ที่จริงไม่ใช่ มันไม่ใช่ของเรา แม้มันจะเกิดขึ้นในใจ แต่ถ้าไม่หลงเชื่อ มันก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ ฉะนั้นหัดทักท้วงความคิด ภาพปรุงแต่งในใจ รวมทั้งอารมณ์ที่เกิดขึ้นด้วย อย่าปล่อยให้มันครองใจเรา จนมีอำนาจเหนือเรา หรือพาเราเข้ารกเข้าพง หรือพาเราตกนรกก็มี.