พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 13 สิงหาคม 2567
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีการเลือกตั้งนายก อบจ. องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งหาเสียงด้วยคำขวัญว่า ทุกลมหายใจคือชัยภูมิ
ข้อความนี้หลายคนก็คงจะอ่านแบบผ่าน ๆ ถ้ามองว่ามันเป็นแค่คำขวัญหาเสียง แต่ถ้าพิจารณาดี ๆ มันมีความหมายที่ลึกซึ้ง ถ้าหากว่าคำว่าชัยภูมินี้ไม่ได้หมายถึงจังหวัด แต่หมายถึงที่มั่นที่ปลอดภัย ที่ปลอดพ้นจากอันตราย
สิ่งที่เป็นชัยภูมิชีวิตคือสิ่งที่เราควรจะรู้จัก และถ้าจะว่าไปแล้วลมหายใจนี่มันก็สมควรที่เราจะถือเป็นชัยภูมิของจิตใจว่าถ้าเราเอาใจมาอยู่กับลมหายใจอยู่เสมอ ใจเราก็จะมีที่มั่นมีชัยภูมิที่ทำให้จิตใจเราปลอดพ้นจากภยันตรายต่าง ๆ เช่น ความโกรธ ความโศก ความเศร้า ความเครียด ความโลภ ความน้อยเนื้อต่ำใจ
หรือพูดรวม ๆ ก็คือความทุกข์ เป็นเพราะจิตใจเรานี่ไม่มีที่มั่นไม่มีชัยภูมิก็เลยถูกกระทำย่ำยีด้วยความทุกข์นานาชนิด ทั้งความคิดลบ แล้วก็อารมณ์ร้าย แม้ว่าจะมีบ้านที่มั่นคงแน่นหนา หรือแม้แต่จะอยู่ในปราสาทที่มีป้อมปราการแน่นหนาก็ตาม
มันไม่มีอะไรที่จะทำให้จิตใจเราปลอดพ้นจากความทุกข์เท่ากับการที่เรารู้จักพาใจมาอยู่กับลมหายใจอยู่เสมอ ๆ เวลามีอะไรมากระทบทำให้เราเกิดความโกรธ ทำให้เราเกิดความกลัว ทำให้เราเกิดความเครียด ลองพาใจกลับมาอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้าลึก ๆ ก็รู้สึก หายใจออกยาว ๆ ก็รู้สึก ใจเราจะโปร่งเบา
สมัยที่หลวงพ่อชาท่านยังหนุ่ม ท่านก็ออกธุดงค์แต่ผู้เดียว เข้าไปในป่าลึก สมัยก่อนป่านี่มันเป็นป่าที่ลึก ป่าที่เรียกว่าดงดิบเลยทีเดียว ยังไม่มีการประกาศเป็นอุทยาน หรือประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าเหล่านี้เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์โดยเฉพาะที่ดุร้าย เช่น เสือ มีคราวหนึ่งท่านผูกกลดเอาไว้อยู่ในป่าลึก ตกดึกท่านก็ภาวนา พอนั่งภาวนาไม่เท่าไหร่ ได้กลิ่น ทว่าเป็นกลิ่นที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่สัญชาติญาณก็บอกให้รู้ว่านี่คือกลิ่นสาบเสือ
มีเสือตัวหนึ่งป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ กลดของท่าน ท่านไม่เคยเจอเสือ แล้วก็คงไม่ได้คิดว่าจะเจอเสือมาอยู่ใกล้ท่านขนาดนี้ กลัวมาก กลัวจนขนลุกเลย แต่ว่าท่านมีสติ ท่านก็เอาจิตมาอยู่กับลมหายใจ ตอนนั้นจิตให้ความร่วมมือดีมากเลย เพราะว่ามันไม่กล้าส่งออกนอก จิตออกจากลมหายใจเมื่อไหร่มันก็จะไปรับรู้กลิ่นสาบเสือ หรือไปนึกถึงเสือตัวใหญ่ จิตไม่กล้าออกไปเลย ตอนนั้นจิตยินยอมร่วมมือที่จะอยู่กับลมหายใจ
พอจิตอยู่กับลมหายใจได้สักพักความกลัวก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ความสงบก็มาแทนที่ สงบมาก สงบอยู่พักใหญ่เลย พอลืมตาขึ้น อ้าว ก็สว่างแล้ว เห็นแสงเงินแสงทอง แปลว่าท่านนั่งอยู่ในกลดในอิริยาบถนั้นหลายชั่วโมงทีเดียว
เวลามันผ่านไปเร็วมากโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกกลัว ตื่นตระหนก เหมือนตอนที่ได้ยินเสียง ได้กลิ่นสาบเสือใหม่ ๆ ท่านบอกว่า ไอ้ความกลัวนี่ก็มีประโยชน์ มันทำให้จิตไม่แส่ส่ายฟุ้งซ่านไปไหนเลย แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็ชี้ให้เห็นว่า ลมหายใจนี่สามารถจะเป็นที่พึ่งหรือเป็นชัยภูมิของใจได้ พอใจเอาลมหายใจเป็นชัยภูมิ โอ้ มันมีความสงบ ตั้งมั่นมาก ความกลัว ความตื่นตระหนกทำอะไรจิตใจไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นที่นักการเมืองคนนี้ที่แกพูดว่า ทุกลมหายใจคือชัยภูมินี่มันจริงเลยทีเดียว เวลาเรามีความโกรธ เวลาเรามีความกลัว ได้สติขึ้นมาลองเอาใจมาอยู่กับลมหายใจ ไอ้ความกลัวที่มันบีบคั้นใจ หรือความโกรธที่มันเผาลนใจนี่มันจะทำอะไรใจเราไม่ได้ เหมือนกับว่ามันไม่สามารถจะล่วงล้ำเข้ามาทำร้ายจิตใจ เพราะใจเรามีที่มั่นมีชัยภูมิแล้ว
แล้วเวลามีความเครียดหรือแม้แต่มีความ มีราคะ มีความหื่นขึ้นมาบางทีก็งุ่นง่าน แต่พอรู้จักพาใจกลับมาอยู่กับลมหายใจ เอาใจเป็นชัยภูมิ ก็จะปลอดภัย ปลอดภัยจากความโกรธ ปลอดภัยจากความกลัว ความเครียด ความหื่น เกิดความสงบตั้งมั่น
มันเป็นชัยภูมิที่อยู่กับเราอยู่แล้วตลอดเวลา อยู่ที่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่ แต่ว่าคนส่วนใหญ่นี่กลับไปนึกว่าชัยภูมินี่ก็มันก็ต้องเป็นสถานที่ ถ้ามีรั้วรอบขอบชิด มีกำแพงแน่นหนา หรือยิ่งอยู่บนที่สูงได้ยิ่งดี เวลาเราพูดถึงว่า มีชัยภูมิ กองทัพนี่เวลานึกถึงชัยภูมิเขาจะนึกถึงที่สูง เพราะว่ามองเห็นอะไรต่าง ๆ ข้างล่างได้รอบตัว ศัตรูมาก็จะเห็นแต่ไกล และศัตรูก็จะขึ้นมาทำอะไรเราได้ลำบาก เพราะเราอยู่บนที่สูง
แต่ว่าชัยภูมิแบบนี้มันไม่เคยเป็นชัยภูมิที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง เมื่อประมาณสัก 1,500 ปีที่ประเทศศรีลังกา มีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อก็ดีชื่อกัสสปะ เป็นชื่อของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล แต่ว่าราชสมบัติที่ได้มาโดยมิชอบ ฆ่าพ่อ พ่อเป็นกษัตริย์ แล้วพ่อโปรดปรานน้องชายชื่อโมคคัลลานะ คนศรีลังกาสมัยก่อนเขาก็นิยมตั้งชื่อลูกตามพระอรหันต์
โมคคัลลานะเป็นน้องชายของกัสสปะ แต่ว่ากัสสปะถือว่าตัวเองเป็นพี่ชายสมควรจะได้ครองราชสมบัติ ในเมื่อพ่อไม่ให้ก็เลยจับพ่อมาขังแล้วก็ฆ่า ได้รับสมบัติแล้วก็กลัวอันตราย เพราะเมืองอนุราธปุระยังไม่ใช่เป็นชัยภูมิที่ดี ก็เลยย้ายราชธานีมาตั้งอยู่บนเขา เป็นเขาที่โดดเด่นมาก เหมือนกับหินก้อนใหญ่ ๆ วางอยู่กลางที่โล่ง ไม่เหมือนกับภูเขาที่เราคุ้นเคย ภูเขานี้ตอนหลังก็ชื่อว่าสิกิริยา สิกิริยานี้ก็เป็นที่ที่คนนิยมท่องเที่ยว คนไทยก็ไปกันเยอะ ไปลังกาต้องไปสิกิริยา
และคนส่วนใหญ่ก็มองว่าสิกิริยาก็คือราชวัง แต่คงจะแปลกใจทำไมราชวังมาตั้งอยู่บนยอดเขา ขึ้นก็ลำบาก มันไม่ใช่ราชวัง มันคือป้อมปราการ เพราะว่าพระเจ้ากัสสปะกลัวน้องชายคือโมคคัลลานะจะมาแย่งชิงราชสมบัติ อุตส่าห์ไปหาทำเลที่เป็นชัยภูมิที่จะเป็นที่ตั้งมั่น เชื่อว่าอยู่ตรงนั้นแล้วจะปลอดภัย แต่สุดท้ายก็ไม่ปลอดภัยเพราะว่าน้องชายกรีฑาทัพมา แล้วก็สามารถจะยึดสิกิริยาไว้ได้ พระเจ้ากัสสปะก็ตาย
อันนี้หลงคิดว่าภูเขาหรือที่สูงนี่มันจะเป็นชัยภูมิได้ แต่มันไม่ใช่เลย โดยเฉพาะถ้าเกิดว่าทำชั่วเสียแล้วนี่มันก็ไม่มีที่ไหนที่จะเป็นชัยภูมิได้ เพราะว่ากรรมหรือวิบากต้องตามมาถึงไม่ช้าก็เร็ว เคยไปอินเดีย แถวบริเวณปูณา มันจะมีภูเขาสูงใหญ่เลย และมองไกล ๆ จะเห็นปราสาทอยู่บนยอดเขา ภูเขานี่ชันมากเลย
มหาราชาไปสร้างเมือง แล้วก็สร้างประสาทราชวังอยู่บนยอดเขา ที่ตั้ง ที่เลือกยอดเขาก็เพราะว่ามันเป็นชัยภูมิ หรือคิดว่าเป็นชัยภูมิ ศัตรูจะขึ้นมาลำบากมาก แค่ปีนเขาขึ้นมาก็โดนหินโดนธนู โดนหินถล่มใส่โดนธนูยิงใส่ ไม่รอด
แต่สุดท้ายก็ถูกศัตรูเข้ามายึดได้ ไม่ใช่เพราะยกทัพขึ้นมาทางยอดเขา คือปราสาทนี่จะมีทาง จะมีบันไดที่ไต่จากพื้นขึ้นไปถึงยอด ที่บันไดนี่ก็จะมีการสร้างกำแพงไว้แน่นหนาเป็นอุโมงค์ แล้วก็จะมีทหารที่เฝ้าปากประตูเอาไว้ ศัตรูไม่ต้องทำอะไรมาก ก็แค่ให้สินบนทหารที่เฝ้าประตูเฝ้าบันได แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว
พอประตูเปิด กองทัพของศัตรูก็ขึ้นไปทางบันไดนั่นแหละอย่างเงียบ ๆ และปลอดภัยด้วย ไม่เหนื่อยเลย ไม่ต้องไปปีน ไม่ต้องปีนเขาเลย ปีนเขานี่เสี่ยงอันตราย แต่ว่าขึ้นบันไดลับหรือขึ้นบันไดที่เขาทำเอาไว้นี่มันสบายกว่าเยอะ สุดท้ายก็เสียเมือง
นี่ไปคิดว่าอยู่บนที่สูงแล้วจะปลอดภัย เป็นชัยภูมิที่มั่นคงแน่นหนา ที่จริงไม่ใช่เลย มันไม่มีชัยภูมิใดที่จะเป็นที่มั่น สร้างความปลอดภัยให้กับชีวิต และจิตใจได้เท่ากับลมหายใจซึ่งนำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา เพราะว่าถ้าหากว่ามีความรู้สึกตัวอยู่กับลมหายใจ ความคิดชั่วมันก็ไม่มี คิดชั่วถึงขั้นยึดราชสมบัติจากพ่อก็คงไม่เกิดขึ้น
คนเราถ้ามีความรู้สึกตัวความคิดที่จะทำชั่วหรือตกเป็นทาสของกิเลสนี่มันก็เกิดขึ้นได้ยาก หรือแม้จะไม่ได้ทำชั่วแต่ว่าเกิดความสูญเสียพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ เกิดความเศร้า เกิดความโกรธ แต่ความเศร้า หรือความทุกข์เหล่านั้นก็ทำอะไรจิตใจไม่ได้ เพราะว่าใจมีชัยภูมิ คือลมหายใจ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นลมหายใจก็ได้ แค่การที่กลับมารู้เนื้อรู้ตัวมันก็ทำให้เรามีชัยภูมิของชีวิตและของจิตใจได้
มีเรื่องเล่าเป็นชาดก อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสเป็นนิทาน พระพุทธเจ้าพูดถึงนกตัวหนึ่งเรียกว่านกมูลไถ มันบินหากินอยู่ดี ๆ ก็โดนเหยี่ยวโฉบ ตอนที่มันถูกเหยี่ยวโฉบนี่มันก็รู้ชะตากรรมแล้ว แต่ก็ฉลาดมันก็พูดให้เหยี่ยวฟังว่า นี่เป็นเพราะเราไปหากินในถิ่นอื่น ถ้าเราหากินในถิ่นของพ่อเราก็จะปลอดภัย เหยี่ยวก็จะทำอะไรเราไม่ได้
เหยี่ยวได้ยินก็รู้สึกว่าถูกท้าทาย เพราะว่าหยิ่งทะนง ทะนงในความสามารถ คิดว่าตัวเองมีความสามารถไม่ว่านกมูลไถอยู่ที่ไหนก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นกรงเล็บได้ ก็เลยถามนกมูลไถว่า ถิ่นของพ่อเจ้าอยู่ตรงไหน นกมูลไถก็บอกว่า อยู่ตรงทุ่งนานี่แหละที่มีรอยไถ เนื่องจากเหยี่ยวหลงในความสามารถ เชื่อมั่นในความสามารถของตัว ก็เลยอยากจะพิสูจน์ให้นกมูลไถได้รู้ว่า ถึงแม้แกหากินในถิ่นของพ่อ แกก็ไม่มีทางรอดกรงเล็บของฉันได้
ก็เลยเอานกมูลไถไปปล่อยตรงทุ่งนาที่มีรอยไถ เสร็จแล้วก็เหินขึ้นฟ้าเพื่อเตรียมจะโฉบลงมา นกมูลไถนี่พอมาถึงพื้นก็เลือกก้อนดิน ก้อนดินที่อยู่กลางทุ่งนาซึ่งเกิดจากรอยไถ แล้วก็ตะโกนบอกเหยี่ยวว่า มาเลย ๆ ตอนนี้ข้าอยู่ในถิ่นของพ่อแล้ว มาเลย
เหยี่ยวถูกสบประมาทก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ พุ่งลงมาจากฟ้าเลย จากอากาศ กะจะหมายโฉบนกมูลไถ นกมูลไถก็อยู่นิ่ง พอเหยี่ยวใกล้จะโฉบมาถึงพื้น มันก็หลบ ไปอยู่ใต้กองดิน ปรากฏว่าเหยี่ยวไม่ทันตั้งตัว โฉบลงมาอย่างรวดเร็วเบรกไม่ทัน อกมันก็กระแทกกับดินก้อนนั้น อกแตกตาย นกมูลไถก็เลยปลอดภัย ปลอดภัยเพราะอยู่ในถิ่นของพ่อ
พระพุทธเจ้าตรัสจึงบอกว่า เป็นเพราะนกมูลไถไปหากินในถิ่นอื่นจึงถูกเหยี่ยวจับได้ ฉันใดก็ฉันนั้นภิกษุถ้าไปปล่อยจิตอยู่ในอารมณ์อื่นอันได้แก่กามคุณ 5 ก็จะเป็นเหยื่อของของมาร แต่ถ้าหากว่าภิกษุทั้งหลาย ใจมาอยู่ในอารมณ์อันได้แก่สติปัฏฐาน 4 ก็จะปลอดภัยจากมารทั้งหลาย แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัส สติปัฏฐาน 4 ได้แก่อะไรบ้าง พูดง่าย ๆ ก็คือว่า รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ถ้าใจเราอยู่ในภาวะรู้ รู้สึกตัว รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจคิดนึก รู้เวทนาที่เกิดขึ้น ยิ่งถ้ารู้ธรรมด้วยแล้วนี่ก็เรียกว่าจิตใจนี่ปลอดภัย
ถิ่นของพ่อก็ได้แก่สติปัฏฐาน 4 หรือความรู้สึกตัวที่เกิดจากการรู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ก็คือชัยภูมินั่นแหละ คนเราตราบใดที่มีความรู้สึกตัว มีสติรู้กายรู้ใจมันก็ถือว่ามีชัยภูมิ ได้ชัยภูมิที่มั่นคงแน่นหนาสำหรับจิตใจ และถ้าใจมีชัยภูมิแล้ว ชีวิตของเราก็เรียกว่ามีความมั่นคงปลอดภัย ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส จนกระทั่งไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง หรือไม่ต้องหวั่นไหวเมื่อเจอความผันผวนแปรปรวนที่เกิดกับทรัพย์สินเงินทอง เกิดกับร่างกาย เกิดคนรัก เกิดกับความเกิดความสัมพันธ์
ถึงเวลาเจอความเจ็บป่วยมันก็ป่วยแต่กายแต่ใจก็ยังสงบได้ เพราะว่าใจนี่มีที่มั่น มีชัยภูมิ หรือใจอยู่ในถิ่นของพ่อ คือมีสติหรือมีสัมมาสติ เพราะตั้งอยู่ในการรู้กาย รู้ใจ รู้เวทนา รู้ธรรม ความรู้สึกตัวมันเป็นชัยภูมิที่พิเศษของใจ ไม่ว่าเราจะมีความรู้สึกตัวเพราะอยู่กับลมหายใจ หรือมีความรู้สึกตัวเพราะใจอยู่กับเนื้อกับตัว รู้กายเคลื่อนไหว เวลาใจคิดนึกก็รู้แล้วก็วาง ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ อันนี้ก็เรียกว่าเรามีชัยภูมิที่ตั้งมั่นที่รักษาใจให้ปลอดภัยได้
อย่าไปคิดเอาสิ่งอื่นเป็นชัยภูมิ จะเป็นที่สูงอยู่บนเขา อันนั้นมันก็เป็นชัยภูมิชั่วคราว ไม่ใช่ชัยภูมิที่แท้ เพราะว่าแม้จะอยู่ในปราสาทที่มีกำแพงแน่นหนา อยู่บนที่สูง กายอาจจะปลอดภัยแต่ใจก็ทุกข์ ทุกข์เพราะไปทำชั่ว หรือทุกข์เพราะว่าเจอความผันผวนแปรปรวน เจอความผิดหวัง ถ้าเรายังสัมผัสกับความรู้สึกตัวได้ไม่ต่อเนื่อง อย่างน้อยก็เอาปัจจุบันขณะ นี่เป็นชัยภูมิได้
พยายามดึงจิตให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน อย่าปล่อยให้ใจมันไหลไปอดีต ลอยไปอนาคต ขืนปล่อยใจให้เพ่นพ่านอย่างนี้ใจก็จะตกเป็นเหยื่อของความทุกข์ เป็นเหยื่อของกิเลสได้ง่าย เอาใจอยู่กับปัจจุบันเมื่อไหร่ความรู้สึกตัวก็เกิดขึ้น
อย่างตอนนี้เรากำลังฟังธรรมถ้าใจเราอยู่กับปัจจุบันก็คือฟังธรรม มันก็เกิดความรู้สึกตัวได้ง่าย เวลาใจเผลอคิดโน่นคิดนี่ก็มีสติรู้ รู้แล้วก็วาง ส่วนใหญ่ก็มักจะคิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคตนั่นแหละ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน มีเสียงมารบกวนทำให้ใจส่งออกนอกก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันอย่างที่เล่าเมื่อวาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสเตือนนางที่มาถวายภัตตาหารว่า อย่าไปใส่ใจกับถ้อยคำของคนที่โกรธ หรือคำต่อว่าด่าทอของใครเลย ให้ใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำในปัจจุบัน
การที่เราจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มารับรู้สิ่งที่กำลังทำในปัจจุบัน มันก็จะช่วยให้เราเกิดความรู้สึกตัวได้ โดยเฉพาะถ้าเกิดว่าเราทำอะไรก็ตามก็รู้ว่ากำลังทำสิ่งนั้น ไม่หลงจมอยู่กับสิ่งนั้นจนกระทั่งลืมตัว มันก็มีทำอะไรก็ตามนี่ทำแล้วก็ใจจมอยู่กับสิ่งนั้น ที่ง่าย ๆ อย่างเช่น ดูหนังฟังเพลง คนที่ดูหนังฟังเพลงใจเขาก็อยู่กับหนังอยู่กับเพลง แต่ว่ามันจมดิ่งจนลืมเนื้อลืมตัว
หรือบางคนทำงาน ทำงานจนลืมตัว ลืมเวล่ำเวลา ลืมเวลาหลับเวลานอน ลืมนัดลืมหมาย อยู่กับปัจจุบันนี่มันต้องมีสติด้วย อยู่กับสิ่งที่ทำนี่ก็ต้องมีสติจึงจะอยู่กับปัจจุบันได้ แต่อย่างน้อยถ้าหากว่าเรารู้จักปล่อยวางอดีต วางอนาคต ปัจจุบันนี่ให้เป็นที่มั่นของใจ มันก็เกิดความรู้สึกตัวได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะให้ดีก็ต้องอยู่กับความรู้สึกตัวนั่นแหละ
ความรู้สึกตัวที่เกิดจากใจที่รู้กาย ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจ หรือกายที่เคลื่อนไหวไปมาเวลาทำกิจต่าง ๆ ทำความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้น เอาความรู้สึกตัวเป็นที่มั่นของใจ เป็นชัยภูมิของใจ มันก็ช่วยทำให้จิตใจเราปลอดภัยจากอันตรายและจากความทุกข์ได้.