พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 31 กรกฎาคม 2567
เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีชายคนหนึ่งขับรถ ตั้งใจจะไปซื้อของจากร้านที่อยู่ริมถนน เลยจอดรถไว้ข้างทาง แล้วเปิดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ แล้วลงจากรถโดยไม่ได้ล็อกประตู ปรากฏว่าโจรถือโอกาสขโมยรถคันนั้นไป เจ้าของก็สูญรถไป ก็ไปเรียกเอาเงินประกันจากบริษัทประกันภัย เพราะว่ากรมธรรม์ครอบคลุมถึงการถูกขโมยรถด้วย แต่บริษัทประกันภัยไม่ยอมจ่าย ถือว่าเป็นความบกพร่องของเจ้าของรถ เจ้าของรถเลยฟ้องศาล
ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ จนกระทั่งถึงศาลฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินได้น่าสนใจมาก ศาลฎีกาตัดสินว่ากรณีเจ้าของรถเปิดเครื่องทิ้งไว้ แล้วลงจากรถโดยไม่ได้ล็อกประตู เป็นความไม่ระมัดระวังในการใช้ทรัพย์ ถ้าหากว่าเจ้าของรถดับเครื่องยนต์ แล้วล็อกประตู คนร้ายก็ไม่สามารถจะลักเอารถไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นโดยเหตุที่เจ้าของรถมีความเลินเล่อ ประมาทอย่างร้ายแรง บริษัทประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิด คือไม่ต้องจ่าย
คำตัดสินรวมทั้งเหตุผลที่ศาลฎีกาให้ น่าสนใจ รถถูกขโมย ไม่ใช่เป็นความผิดของขโมยหรือโจรอย่างเดียว เจ้าของรถมีส่วนในการที่ต้องรับผิดด้วย แล้วเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รถของตัวเองถูกขโมย เพราะถ้าเกิดว่าขโมยจะพยายามลักรถ แต่ว่าประตูถูกล็อกเอาไว้ แล้วไม่ได้เปิดเครื่องยนต์ทิ้งค้างเอาไว้ ซึ่งหมายความว่ามีกุญแจเสียบค้างอยู่ คนร้ายคงจะเอารถไปได้ยาก
เพราะฉะนั้นการที่ชายคนนี้สูญเสียรถไป ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าของรถ ผู้ร้ายก็มีส่วน แต่ว่าส่วนสำคัญอยู่ที่หรือตกเป็นของเจ้าของรถ คนเราไม่ใช่เฉพาะเวลาสูญเสียรถในลักษณะนี้เท่านั้น ที่จัดว่าเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ
จะว่าไปแล้วความทุกข์ใจของคนเราส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อมิใช่น้อยเลย เพราะว่าไม่ระมัดระวังในการดูแลรักษาใจของเรา ใจของเราอาจจะเปรียบเหมือนกับรถ ถ้าหากว่าเราดูแลรถดี ตอนที่ไปทำธุระ ไม่เปิดช่อง ไม่เปิดโอกาสให้กับตัวร้ายเข้ามาทำอะไรในจิตใจของเรา ก็ยากที่เราจะมีความทุกข์ คำต่อว่าด่าทอ คำดูถูกเหยียดหยาม เสียงดังระคายโสตประสาทพวกนี้ ทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ ถ้าหากว่าเราไม่เปิดช่องให้ใจเปิดรับสิ่งเหล่านี้
พระพุทธเจ้าเปรียบว่าใจเหมือนกับเมืองหรือนคร เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ แต่ทุกเมืองต้องมีประตู ประตูนี่แหละจะเป็นช่องทางเข้าออกของชาวบ้านผู้คน แล้วเป็นช่องทางที่ผู้ร้ายหรือว่าศัตรูจะเข้าไปในเมือง เพื่อสร้างความปั่นป่วน ก่อความวุ่นวายในเมืองได้ ดังนั้นเมืองต้องมีทหารยามเฝ้าประตูเมืองเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้อริราชศัตรูหรือผู้ร้ายลักลอบเข้าไปในเมือง
ถ้าใจเปรียบเหมือนกับละครหรือเมืองที่ว่า ทหารหรือยามที่เฝ้าประตูก็คือสติ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ผู้ร้าย ศัตรูจะต้องหาทางลักลอบเข้าไปในเมือง แต่ถ้าเมืองนั้นมียามที่แข็งขัน ฉลาด ว่องไว ไม่เกียจคร้าน ตื่นตัวอยู่เสมอ ผู้ร้ายก็ไม่สามารถจะลักลอบเข้าไปในเมืองได้ ฉะนั้นถ้าเมืองเกิดความวุ่นวายขึ้นมา จะโทษผู้ร้ายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโทษยามที่เฝ้าประตูเมือง ว่าย่อหย่อนบกพร่อง หรืออาจจะต้องโทษผู้บังคับบัญชาของยามที่ว่านี้
คนเราเวลามีความทุกข์ มักจะโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ว่าทำให้ใจเราเป็นทุกข์รุ่มร้อน ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ที่จริงแล้ว ตัวการสำคัญไม่ใช่สิ่งอื่นเลย แต่คือการที่เราไม่ได้ดูแลรักษาใจให้ดี ประมาทเลินเล่อหรือว่าไม่ระมัดระวัง เปิดช่องให้ความทุกข์หรือสิ่งที่พระเรียกว่าอนิฏฐารมณ์เข้ามาก่อความวุ่นวาย บีบคั้น หรือว่าปั่นป่วนจิตใจเราได้ คนไม่ค่อยมองแบบนี้ เวลามีความทุกข์ก็โทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ โทษคนนั้นคนนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มือที่ไม่มีแผล จับต้องยาพิษก็ไม่เป็นอันตราย สามารถจะหยิบจับยาพิษด้วยมือเปล่าได้ แต่ถ้าหากว่ามือมีแผลเมื่อไร นั่นแหละ ยาพิษถึงจะมาทำอันตรายร่างกายของเราได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าจิตใจของเราไม่มีช่องโหว่ หรือว่าไม่เปิดโอกาสให้กับอนิฏฐารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รวมทั้งธรรมารมณ์ คือความรู้สึกนึกคิดที่ไม่น่าพึงพอใจหรือที่เป็นลบ เข้าไปปั่นป่วนก่อกวนจิตใจ เราก็ยากที่จะมีความทุกข์ได้
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีความทุกข์ ต้องกลับมาดูใจของเราว่า เป็นเพราะเราเปิดช่องให้อนิฏฐารมณ์เหล่านี้เข้าไปปั่นป่วนก่อกวนจิตใจเราได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าจะตอบก็คือเป็นเพราะว่าขาดสติ เพราะสติเหมือนกับทหารยาม ทวารบาล ยามเฝ้าประตู ที่จะคอยปกป้องรักษาใจไม่ให้อนิฏฐารมณ์ทั้งหลายเข้ามาก่อความทุกข์ให้กับจิตใจของเราได้ มือไม่มีแผล ยาพิษก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าใจมีสติ มีความรู้สึกตัว ความทุกข์หรือบาปอกุศลก็ไม่สามารถจะเข้าไปครอบงำย่ำยีจิตใจเราได้
ฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่เกิดความทุกข์ขึ้นมา ความโกรธ ความโศก ความเศร้า ความรุ่มร้อน อย่าเพิ่งไปโทษคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องกลับมาดูใจของเรา อาจารย์ชยสาโรท่านพูดไว้ดี ท่านบอกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะบังคับใจเราให้ทุกข์ได้หรือที่จะบังคับให้เราทุกข์ใจได้ มีแต่สิ่งที่มาเชิญชวนให้เราโกรธ ให้เราทุกข์ สิ่งสำคัญอยู่ที่เราจะรับคำเชิญหรือเปล่า ถ้าเรารับคำเชิญแล้วเราเกิดทุกข์ขึ้นมา เราจะโทษใคร
ก็เหมือนกับเจ้าของรถที่ไม่ดูแลรถให้ดี ลงจากรถแล้วยังไม่ดับเครื่องยนต์ แถมยังเปิดประตูเอาไว้ ไม่ล็อก เท่ากับเชิญชวนหรือเปิดช่องให้ผู้ร้ายเข้ามาลักรถเราไป คนเราในบางช่วงบางครั้ง เหมือนกับว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใจลอย เพราะว่าจมอยู่ในความทุกข์ ก็ต้องถามตัวเองว่า ทำไมปล่อยให้ใจตัวเองถูกความทุกข์ลักเอาไปได้ มันไม่ใช่เป็นเพราะเราเปิดช่อง ไม่ดูแลใจให้ดี ความทุกข์เลยเข้ามาลักลอบ บังคับใจของเรา ให้เป็นไปตามอำนาจของมัน
ถ้าเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องรู้จักรักษาดูแลใจให้ดี เหมือนกับมีรถ ถ้าไม่อยากให้ผู้ร้ายขโมย ก็ต้องระมัดระวัง เวลาลงจากรถก็ต้องดับเครื่องยนต์ แล้วล็อกประตูเสียก่อน อย่างน้อยๆ โจรก็จะต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเปิดประตูรถ หรือกว่าจะขับรถออกไปได้ ถึงตอนนั้น เจ้าของรถที่ลงไปซื้อของอาจจะกลับมาเจอผู้ร้าย พอผู้ร้ายเจอเจ้าของรถ ก็ต้องหนีสถานเดียว
เช่นเดียวกัน เมื่อใจของเรากำลังจะถูกความทุกข์ลักพาไป หรือกำลังจะหาทางเข้าไปยึดครองจิตใจของเรา แต่พอเรามาเห็นเข้า มันก็แตกกระเจิง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความคิดลบคิดร้าย ความโกรธความเศร้า หรือแม้แต่คำต่อว่าด่าทอ คำดูถูกเหยียดหยาม ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต ความคิดเหล่านี้ทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ ถ้าหากเราดูแลจิตใจให้ดี ไม่เปิดช่องให้
เหมือนกับว่าเราเดินบนถนน แล้วถนนมีหนาม บางทีหนามก็อยู่ข้างทาง มีก้อนหิน มีหลุมมีบ่อ บางทีมีกองขี้หมา ถ้าหากว่าเราเดินอย่างระมัดระวัง ใจไม่ลอย ไม่มัวแต่ไถโทรศัพท์หรือดูโทรศัพท์ แต่ว่าดูทางอย่างใส่ใจ ก็ไม่มีทางที่เราจะเดินตกหลุม หรือว่าเดินเตะหิน เดินเหยียบหนาม หรือว่าเอามือไปถูกหนามที่อยู่ข้างทาง ถึงจะมีกองขี้หมาแต่เราก็จะไม่เหยียบขี้หมาถ้าเราเห็น แต่ถ้าเกิดว่าเราเกิดเตะก้อนหิน เหยียบกองขี้หมา เดินตกหลุม หรือเดินเหยียบหนาม หรือปล่อยให้หนามเข้ามาขีดข่วนแขน ใบหน้าของเรา เราจะโทษอะไร
เราจะโทษหนาม เราจะโทษก้อนหิน เราจะโทษกองขี้หมา เราจะโทษหลุมหรือเปล่า คนจำนวนไม่น้อยไปโทษก้อนหิน ไปโทษสิ่งเหล่านี้ว่าทำให้ตัวเองเกิดพลั้งพลาด เวลาเดินเตะหินแล้วเจ็บก็ไปโทษก้อนหิน เวลาเดินเหยียบกองขี้หมาแล้วเหม็นก็โทษกองขี้หมา หรือว่าเวลาเดินแล้วโดนหนามเกี่ยวก็โทษหนาม หรืออาจจะโทษคนที่เอาก้อนหินมาวาง โทษหมาที่ขี้ไม่เป็นที่ โทษคนที่ไม่เอาดินมากลบหลุม เราโทษหมดยกเว้นโทษตัวเอง
ความจริงของชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ คือว่าถนนหนทางไม่ได้ราบรื่น ไม่ได้สะอาดสะอ้าน มันก็จะมีกองขี้หมา มีก้อนหิน มีหลุมมีบ่อ มีหนาม ความจริงของชีวิต เส้นทางที่เราเดิน ที่เรียกว่าเส้นทางชีวิตเป็นอย่างนี้ ไม่ต่างจากรอบตัวเราก็ต้องมีเชื้อโรค จะให้ไม่มีเชื้อโรคเลยก็ยาก หรือว่าจะพยายามฆ่าเชื้อที่อยู่รอบตัวเรา เป็นไปไม่ได้
แต่ก่อนมีความเชื่อในหมู่นักวิทยาศาสตร์เมื่อ 60-70 ปีที่แล้วว่า มนุษย์เราจะปราบเชื้อโรคให้หมดไปจากพื้นโลกนี้ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครคิดแบบนั้นแล้ว เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ สิ่งสำคัญคือว่าเราต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้เชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย หรือแม้เชื้อโรคจะเข้าไปในร่างกายของเราแล้ว ถ้าเราแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันดี เชื้อโรคก็ทำอะไรเราไม่ได้
ทุกวันนี้มีคนประมาณ 1 ใน 3 ทั่วโลกที่มีเชื้อวัณโรคอยู่ในร่างกาย 1 ใน 3 นี่ของประชากรโลกก็ประมาณ 2 พันล้านคน แต่มีคนจำนวนแค่ส่วนเสี้ยวเท่านั้นแหละที่เป็นวัณโรค มีประมาณหนึ่งล้านห้าแสนคนที่ตายเพราะวัณโรค แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศที่ยากจน ซึ่งหมายความว่าสุขาภิบาลไม่ค่อยดี ภูมิต้านทานเลยต่ำ
ร่างกายเราทุกวันนี้ ขณะนี้มีเชื่อวัณโรคอยู่ โอกาสที่จะมีสูงมาก แต่ทำไมเราไม่ป่วยเป็นโรคนี้ ก็เพราะภูมิคุ้มกันของเราเข้มแข็ง สามารถจะคุมเชื้อวัณโรค ซึ่งเป็นแบคทีเรียให้ไม่อาละวาดได้ จะให้ร่างกายเราไม่มีเชื้อโรคเลยเป็นไปไม่ได้ แต่ทำอย่างไรจึงจะให้ร่างกายเรามีสุขภาพดี นั่นคือทำให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตเราก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่สมหวัง เจอหรือเต็มไปด้วยอนิฏฐารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ไม่น่าพอใจ ต้องเจอกับความสูญเสียความพลัดพราก อย่างที่เราสวดอยู่หรือพิจารณาอยู่เป็นประจำ เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้แล้ว แล้วเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น เหมือนกับที่ร่างกายเราต้องเจอกับเชื้อโรค แต่ที่ร่างกายเราไม่เจ็บป่วย ก็เพราะว่าเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี
ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ว่าสิ่งรอบตัวเรา แม้ชีวิตเราจะเต็มไปด้วยอนิฏฐารมณ์ แต่เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ ถ้าเราดูแลรักษาใจให้ดี ไม่เปิดช่องให้อนิฏฐารมณ์เหล่านี้เข้ามาก่อกวน รังควานจิตใจของเรา หรือว่ามาลักพาใจของเราออกไป จนจมอยู่ในความทุกข์
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง เกิดจากความเลินเล่อ ความประมาท หรือความไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราก็ต้องพยายามฝึกจิตดูแลใจ อย่างน้อยๆ ก็ให้มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ แม้จะมีความทุกข์เกิดขึ้น มีความเศร้าเกิดขึ้น มีความโกรธเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมดาของคนเราซึ่งยังมีความหลง ยังมีความยึดติดถือมั่นในสิ่งต่างๆ ในทรัพย์ ในงานการ ในคนรัก ในภาพลักษณ์ หน้าตาของตัว พอมีอะไรมากระทบสิ่งนี้ ย่อมเกิดความโกรธ เกิดความคับแค้นใจ เกิดความเศร้า
แต่อย่างน้อยเราสามารถรักษาใจไม่ให้อารมณ์พวกนี้เข้ามาครอบงำย่ำยีจิตใจเราได้ ด้วยการมีสติ หรือแม้จะเผลอ ปล่อยให้มันเข้ามาครอบงำใจ เข้ามารังควานใจ เราก็รู้ตัวอย่างทันท่วงที สามารถจะเชื้อเชิญมันออกไปจากใจเราได้ ไม่ใช่ด้วยการกดข่ม แต่เพียงแค่มีสติมีความรู้สึกตัวเท่านั้นแหละ เหมือนกับโจรที่จะลักขโมยรถ มันกำลังจะเปิดประตูรถอยู่หรือมันเข้าไปแล้ว แต่มันกำลังจะหาทางเปิดเครื่อง สตาร์ตเครื่อง แต่พอมันเห็นเจ้าของเท่านั้นแหละ มันรีบเผ่นรีบหนีเลย
อนิฏฐารมณ์ อารมณ์อกุศล ความคิดฟุ้งซ่าน คิดลบคิดร้าย หรือความทุกข์มันก็เหมือนกัน มันอาจจะแอบเข้ามาครอบครองใจ แต่ว่าพอเราเห็นมัน มันก็ล่าถอยหนีไป
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า พอเรามีสติ เรารู้สึกตัว ก็ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ออกไปจากใจ นี่คือสิ่งที่เราสามารถจะทำได้ เราไม่สามารถจะไปบังคับบงการให้ทุกอย่างรอบตัวเราถูกใจเรา ไม่สามารถจะบังคับเรียกร้องให้คนรอบตัวเราพูดดีทำดีกับเรา ไม่สามารถทำให้สิ่งแวดล้อมสุขสบาย ไม่มีแมลง ไม่มียุง มีอากาศที่เย็นสบาย มันทำไม่ได้ ได้แต่ปรารถนา แต่เราก็ไม่สามารถจะบังคับให้เป็นไปดั่งใจเราได้
แต่สิ่งที่เราทำได้คือ รักษาใจ นี่เป็นเบื้องต้นที่จะช่วยทำให้ใจเราไม่ทุกข์ คือพอเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจแล้ว เกิดความอารมณ์ขึ้นมา ก็รู้ทัน ไม่ปล่อยให้มันเข้ามาครอบงำใจ สามารถจะวางระยะห่าง อันนี้ด้วยวิธีการที่หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่า เห็นไม่เข้าไปเป็น พอเห็นเมื่อไร ใจก็จะอยู่ห่างสิ่งนั้น เห็นกองไฟ ใจก็ออกห่างจากกองไฟ ไม่ว่าจะเป็นไฟโทสะ ไฟราคะ ทำอย่างนั้นได้เพราะมีสติ แต่ถ้าไม่มีสติ ใจก็จะกระโจนเข้าไปในกองไฟ แล้วก็ทุกข์
เหมือนกับเดินบนถนนแล้วเห็นกองขี้หมา เห็นก้อนหิน เห็นตะปู เห็นเศษแก้ว เห็นหลุมเห็นบ่อ แต่ก็เดินหลบสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะเรามีตาที่ช่วยทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ไม่ควรข้องแวะบนถนน สติก็เหมือนกับตาในที่ทำให้เราเห็นอนิฏฐารมณ์ต่างๆ แต่ไม่ไปข้องแวะกับมัน หรือไม่เปิดช่องให้มันมาทำร้ายจิตใจของเรา
อย่าไปคาดหวังว่าถนนจะต้องราบเรียบสะอาดหมดจด มีแต่สิ่งดีๆ ทุกวันนี้หลายคนเวลาอธิษฐานหรือเวลาขอพร ก็ขอให้ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความทุกข์ ความยากลำบาก อย่าได้รู้จักคำว่าไม่มี อันนี้มันปรารถนาได้ แต่ว่าความจริงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แต่ว่าแม้เส้นทางจะวิบาก บนถนนอาจจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอ มีกองขี้หมา แต่เราก็มีความสามารถที่จะเลือกเดินหลบมันได้ ถ้าเรามีสติ ถ้าเรามีปัญญา ถ้าเรามีความระมัดระวังไม่ประมาทเลินเล่อ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องพยายามดูแลรักษาใจให้ดี เหมือนกับคนที่อยากจะรักษารถ ก็ต้องดูแลรถให้ดี อย่าไปคิดว่าจะต้องปราบโจรผู้ร้ายให้มันหมด อย่างไรก็ปราบโจรผู้ร้ายไม่หมดหรอก โจรที่จ้องจะลักขโมยรถมีอยู่ตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้เราไม่เสียรถไป คือไม่ประมาทเลินเล่อในการใช้รถ ออกจากรถก็ดับเครื่องยนต์ ล็อกประตู ไม่เปิดช่องให้ผู้ร้ายเข้าไป กับใจเราก็ควรทำอย่างนั้นเหมือนกัน เราจึงจะไม่สูญเสียความปกติสุขไป