พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 23 กรกฎาคม 2567
คงไม่มีใครมาที่นี่เพราะหวังความสะดวกสบาย เพราะถ้าหวังความสะดวกสบายก็ควรจะเป็นที่อื่น เพราะขึ้นชื่อว่าวัด โดยเฉพาะวัดป่าก็ไม่สะดวกสบายอยู่แล้วเป็นธรรมดา แม้ว่าไม่มีความคิดที่จะหาความสะดวกสบายที่นี่ แต่ใจอาจจะโหยหาความสะดวกสบายก็ได้ เพราะมันก็เป็นธรรมชาติของคนเรา คิดอย่างหนึ่งแต่ความต้องการเป็นอีกอย่าง
เรื่องความสะดวกสบายก็เป็นสิ่งที่คนเราปรารถนาอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ฝึกฝนมาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะนิสัยที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อแสวงหาความสะดวกสบาย หาความสุขจากการกิน การดื่ม การเที่ยว การเล่น แม้มาที่นี่ก็คงต้องถูกความอยากที่ว่านี้ครอบงำบงการ อย่างน้อยๆ ก็อยากจะกินอาหารที่อร่อย อยากจะได้กุฏิที่พักที่สบาย ถ้าไม่ต้องเดินไกลๆก็ยิ่งดี มีแสงส่องสว่างเวลากลางคืน
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ถ้าถามว่าจริงๆแล้วเรามาที่นี่มีวัตถุประสงค์อะไร คิดว่าคงมีหลายคนที่บอกว่ามาที่นี่เพื่อหาความสงบ ซึ่งก็เป็นเรื่องดี ดีกว่าไปหาความสนุกสนาน ความตื่นเต้นเร้าใจ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ก็มีแต่จะทำให้มีความทุกข์มากขึ้น หรือเกิดเรื่องเกิดราว แม้จะให้ความสุขแต่มันก็เป็นสุขชั่วคราว
ฉะนั้น การที่เราจะมาวัดเพื่อหาความสงบ ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็พึงตระหนักว่าความสงบที่หามาได้ไม่ใช่ความสงบที่แท้ เพราะอะไร เพราะความสงบที่เราอยากจะหามา ก็มักจะเป็นความสงบที่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น สถานที่ที่เงียบสงัด ไม่มีเสียงรบกวน หรือว่าไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับการงานและผู้คนมาก เจอแต่คนที่น่ารัก มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว หรือเจอสิ่งที่ถูกใจ ไม่ทำให้ขุ่นมัวหงุดหงิด พูดง่ายๆ ก็คือประสบความราบรื่น
ความสงบที่เกิดจากเหตุปัจจัยที่ว่าเหล่านี้ จะว่าไปก็เป็นความสงบที่เปราะบาง เป็นของชั่วคราว เนื่องจากสถานที่ที่สงบ มันก็ไม่สงบไปตลอด ไม่ใช่ว่าเงียบไปตลอด บางวันก็เสียงดัง เสียงจากหมู่บ้านหรือเสียงก่อสร้างในวัด เสียงมอเตอร์ไซค์ หรือถึงแม้เราจะพบกับความสงบอย่างที่ว่านี้ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนงานการ มีแต่คนที่ถูกใจมีน้ำใจ แต่พอไปสู่โลกภายนอก บางทีแค่เข้าไปในเมืองแก้งคร้อ เสียงดังระคายโสตประสาท ก็กระทบหูเราทันที แดดร้อน เจอคนที่ไม่มีน้ำใจถ้าเกิดไปบางที่บางแห่ง
หรือแม้แต่ที่บ้าน สิ่งที่ทำให้เราเกิดความสงบที่นี่ พอกลับไปบ้านมันคนละเรื่องเลย หลายคนตอนที่อยู่วัดก็สงบดี ได้พบสิ่งที่ต้องการ แต่พอกลับไปบ้านก็หงุดหงิดสติแตก ลูกคุยโทรศัพท์เสียงดัง หรือไม่เก็บจาน ไม่ล้างจาน ห้องนอนก็ไม่สนใจ เจอแต่สิ่งที่ไม่ถูกใจ ที่ถูกต้องถูกใจคงมีแต่พอเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่ถูกต้อง มันปรากฏแก่สายตาโดดเด่นกว่าก็จะหงุดหงิด เป็นเยอะพอมาวัดก็สงบ แต่พอออกจากวัดไปจิตใจก็ว้าวุ่นร้อน
จริงๆ แล้วถ้าจะหาความสงบ มันมีที่อื่นที่อาจจะให้ความสงบกับเราได้ดีกว่า เช่น รีสอร์ท สถานที่ก็เงียบ ไม่มีเสียงรบกวน ผู้คนก็น่ารัก เจ้าหน้าที่หรือพนักงานก็ยิ้มแย้ม ไม่มีการทำอะไรที่จะรบกวนทำความรำคาญให้แก่เรา งานการก็ไม่ต้องทำ หรือไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนมาก
การหาความสงบที่วัดอาจจะไม่ใช่ความมุ่งหมายที่ถูกต้องก็ได้ เว้นแต่ว่าเหนื่อยจากการทำงาน หรือว่ารู้สึกหนักอกหนักใจกับปัญหาครอบครัว อยากจะมาหาที่ที่สงบ เพื่อจะได้พักกายพักใจ แล้วค่อยกลับไปสู้กับปัญหาต่างๆต่อไป อันนี้ก็ดีอยู่ แต่ถ้าหากเป็นนักปฎิบัติ มาวัดไม่ว่าจะมาเพราะในฐานะนักบวช ในฐานะพระ ในฐานะแม่ชี เช่น อยากจะมาจำพรรษาเพราะอยากได้ความสงบ อันนี้อาจจะไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่ดีก็ได้ เพราะถึงแม้จะได้ความสงบอย่างที่อยาก แต่ว่ามันก็เป็นความสงบชั่วคราวที่เปราะบาง
อีกอย่างหนึ่งพอสงบแล้ว ก็อาจจะทำให้เพลิน หรือว่านิ่งแช่ไม่ทำอะไร เป็นกันเยอะพอสงบแล้วก็รู้สึกเกิดความประมาท พอใจ ไม่ขวนขวาย ไม่กระตือรือร้นที่จะทำอะไรมากกว่านั้น เช่น การฝึกฝนตน พอสบาย หรือพอสงบแล้ว ก็เกิดติดสงบขึ้นมา ไม่ขวนขวาย ไม่กระตือรือร้น มีปัญหาอะไรก็เอาแต่จะหนี เพราะว่าจะทำให้ใจไม่สงบ อันนี้ก็ทำให้เกิดความประมาท ทำให้จิตใจไม่ได้รับการพัฒนา
ถ้าจะมาวัด โดยเฉพาะมาจำพรรษาหรือมาปฎิบัติธรรม จะดีกว่าถ้าเรามาเพื่อฝึกฝนตน ไม่ใช่มาแบบผู้ใฝ่เสพ เสพความสงบ ที่พูดมาเมื่อสักครู่มันก็เป็นเรื่องความใฝ่เสพ เสพความสงบ แต่จะดีกว่าถ้าเรามาวัดด้วยความรู้สึกใฝ่ทำ คือใฝ่การกระทำ กระทำอะไร คือฝึกตน ฝึกฝนตนเอง เริ่มตั้งแต่การฝึกฝนตนให้มีชีวิตเรียบง่าย ไม่หวังความสุขจากการกินดื่มเที่ยวเล่น หรือจากการเสพ แต่สามารถจะมีความสุขจากชีวิตที่เรียบง่าย เสพน้อยกินน้อยอย่างที่ท่านว่ารู้จักประมาณในการบริโภค ซึ่งที่จริงก็ต้องอาศัยความสงบภายในเป็นตัวหล่อเลี้ยงรองรับ
ฉะนั้นถ้าเราปรารถนาชีวิตที่เรียบง่าย เราก็จะไม่โหยหาขวนขวายของอร่อยหรือความสะดวกสบาย ที่มันเกินฐานะของนักปฎิบัติธรรม หรือเกินสถานะของวัด ถ้าจะให้ดีก็ฝึกตนให้รู้จักทำความสงบให้เกิดขึ้นกับใจของตน
อย่างที่บอกความสงบที่หามาได้ หรือความสงบที่เกิดจากการเสพเป็นความสงบชั่วคราวที่เปราะบาง แต่มันจะดีกว่าถ้า เราสามารถจะสร้างความสงบให้เกิดขึ้นกับใจของเรา แม้ว่าจะมีสิ่งรอบตัวที่คอยกระตุ้นเร้าให้จิตใจหวั่นหรือกระเพื่อม แต่ว่าแม้เจอสิ่งเร้า ไม่ว่าจากเสียงดัง หรือจากการกระทำคำพูดของคนรอบข้างที่ไม่น่ารัก หรือระอา มันก็ไม่ทำให้จิตใจเราหวั่นไหว หรือกระเพื่อมได้
นี่คือความสงบที่เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ และนี่คือสิ่งหนึ่งที่เราควรจะฝึกให้สามารถทำสิ่งนี้ได้กับตัวเอง เสียงดังก็ดังไปแต่ว่าใจก็เป็นปกติ จะมีแมลงมารบกวนยังไงใจก็ยังเป็นปกติได้ อาจจะโดนมันกัด อาจจะรู้สึกคันรู้สึกเจ็บ แต่นั่นเป็นเรื่องของกาย ส่วนใจยังคงเป็นปกติได้
อันนี้ก็เป็นความสงบอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ ไม่ใช่ว่าสงบเพราะไม่มีแมลงรบกวน สงบเพราะไม่มีเสียงดังมากระทบหู เสียงภายนอกเราควบคุมบังคับบัญชาได้ยาก เราไม่สามารถจะบังคับให้เป็นดั่งใจได้ ไม่อยากให้มันมีเสียงดังก็เสียงดัง ไม่อยากให้มีแมลงรบกวนแต่มันก็มี และเราจะสงบได้อย่างไร สงบได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ทันอารมณ์ มีความหงุดหงิดเกิดขึ้นก็เห็นมัน
ความหงุดหงิด ความรำคาญ ความเครียดที่เกิดขึ้น มันทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ ถ้าเราเห็นมัน มันกลัวการถูกดู ถูกเห็น รวมทั้งความโกรธ ความโลภด้วย ถึงแม้มันจะมีลูกไม้เยอะในการครอบงำจิตใจหรือปั่นหัวเราให้อยู่ในอำนาจของมัน แต่จุดอ่อนของมันก็คือ มันกลัวการถูกรู้ถูกเห็น รู้หรือเห็นด้วยอะไร ด้วยสติ เสียงดังกระทบหู ใจกระเพื่อม ถ้ามีสติเห็น พอมันถูกเห็นมันก็สงบ มันก็ไม่สามารถเข้ามาครองใจเราได้
อันนี้คือวิชาที่เราควรฝึก เพราะว่าสิ่งภายนอก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา รวมทั้งการกระทำและคำพูดของผู้คนรอบข้าง เราควบคุมไม่ได้ และไม่สามารถจะบังคับให้มันเป็นไปดังใจได้เสมอไป อาจจะเจอความไม่ถูกใจ หรือเจอสิ่งกระทบสิ่งเร้า แต่ใจเราสงบได้ มนุษย์เรามีความสามารถในการที่จะทำความสุขให้เกิดขึ้นภายในได้ แม้รอบตัวจะเสียงดัง หรือวุ่นวายปั่นป่วน ขอเพียงแต่ว่าอย่างน้อยเราก็รู้ทันความคิดและอารมณ์
ความจริงมันมีความคิดลบคิดร้ายเกิดขึ้น มีความกลัวความตระหนก แต่เราก็รู้ทันอารมณ์พวกนี้ปุถุชนอย่างเราห้ามได้ยากที่จะไม่ให้เกิดขึ้น ถ้าเรารู้ทันมัน เราทำได้ และไม่ใช่เรื่องยาก พอเรารู้ทันมัน มันครอบงำจิตใจเราไม่ได้ มันไม่สามารถทำใจเราให้ปั่นป่วนวุ่นวายหรือเป็นทุกข์ได้ อันนี้ก็คือความสงบที่เกิดขึ้นแล้ว
ฉะนั้น ถ้าเรามาวัดแล้วก็ให้นึกว่าเรามาเพื่อฝึกให้มีสติรู้ทัน ซึ่งก็รวมไปถึงว่าเวลาปฏิบัติเวลาภาวนา แม้รอบตัวจะสงบไม่มีเสียงรบกวน แต่ในใจมีเสียงดังระงมเลย บางคนเรียกว่าความฟุ้งซ่าน อันนี้เป็นธรรมดา แต่ถึงแม้มันจะมีเสียงอยู่ในหัว มีความคิดผุดขึ้นมาในใจ โดยที่ไม่มีอะไรมาเร้าเลย แต่ใจเราก็ยังสงบได้ ถ้าหากว่ามีสติรู้ทันความคิดเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่าจะสงบได้เมื่อไม่มีความคิด คนไปเข้าใจว่าต้องไม่มีความคิดถึงจะสงบได้ จึงพยายามไปบังคับควบคุมความคิด บังคับจิตไม่ให้คิด กดความคิดเอาไว้ อันนี้แหละเป็นบันไดขั้นแรกของความล้มเหลวในการปฏิบัติ เพราะไม่ว่าจะกดจะข่มยังไงมันก็อดคิดไม่ได้ และยิ่งกดข่มมันก็ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งไปใหญ่ แต่ถึงแม้มันจะฟุ้งยังไง ถ้าเรามีสติรู้ทันความคิดเหล่านี้ ใจเราก็ยังสงบได้
นอกจากการรู้ทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เราต้องรู้จักยอมรับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราทั้งภายในและภายนอก ภายนอกก็คือเสียงดัง หรือว่าการกระทำของผู้คน หรือเหตุการณ์ต่างๆ จริงๆ แล้วความทุกข์มาเกิดขึ้นกับใจเรา หากว่าใจเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงดังก็ดังไป ใจไม่บ่นไม่โวยวายไม่ตีโพยตีพาย จะมีงานการอะไรก็ไม่โอดครวญ ก็ทำตามกำลังด้วยสติ ใครเขาจะพูดใครเขาจะทำอะไรก็ไม่เอาแต่บ่นโวยวายตีโพยตีพาย
การที่เรารู้จักยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยทำให้ใจสงบได้ง่ายขึ้น มีแมลงรบกวนก็ไม่บ่นไม่โวยวาย ช่างมัน มันจะรบกวนก็เป็นเรื่องของมัน หน้าที่ของเราคือเราทำใจให้สงบด้วยการยอมรับ ไม่ใช่มาบ่นว่าทำไมถึงมียุงเยอะแบบนี้ น่าจะติดมุ้งลวด น่าจะมีห้องกระจก คิดปรุงแต่งไปต่างๆ นานา ซึ่งยิ่งทำให้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่
และนอกจากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องรู้จักวางใจให้เป็นกลางกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย ที่เราหงุดหงิด ที่เรารำคาญ ที่เราเครียด ที่เราเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่มากระทบ แต่เป็นเพราะใจรู้สึกลบกับสิ่งเหล่านั้น เสียงดังไม่ทำให้ใจเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาได้ ถ้าหากว่าเราไม่รู้สึกลบกับมัน หรือต่อต้านผลักไสมัน
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการฝึกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการรู้ทันความคิดอารมณ์ หรือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเกิดขึ้นภายในหัวของเรา ภายในใจของเรา หรือว่าเกิดขึ้นภายนอก รวมทั้งการรู้จักปรับใจให้เป็นกลางต่อสิ่งต่างๆ โดยตระหนักว่า เป็นเพราะเรารู้สึกลบกับมัน เป็นเพราะเรารู้สึกลบกับเสียงนั้นเสียงนี้ เราจะหงุดหงิด เป็นเพราะเราไม่ชอบ หรือคาดหวังการกระทำและคำพูดของคนอื่นว่าจะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะไม่เป็นอย่างที่คาดหวังก็เลยทุกข์
ลองปรับใจให้เป็นกลาง และเรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ อันนี้คือการฝึกฝนที่จะช่วยให้ทำให้เราพบความสงบในใจ เป็นความสงบที่ทำขึ้นด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่ไปหามาจากที่อื่น ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะไม่มามัวผลักไส มัวบังคับสิ่งต่างๆรอบ เวลามีงานมีการเราก็ไม่รู้สึกขุ่นมัวหงุดหงิด หรือเรียกร้องว่าจะต้องมีแต่คนที่น่ารักอยู่รายรอบเรา มีแต่คนที่เขามีน้ำใจ ไม่จู้จี้ขี้บ่น
หลายคนพอเจอเสียงดัง เจอคนจู้จี้ขี้บ่น เจอคนเห็นแก่ตัว เป็นทุกข์มากเลย และคิดแต่จะหนีท่าเดียว ไม่ไหวแล้วฉันจะไปที่อื่นแล้ว ถ้าจัดการกับคนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ ก็หนีอย่างเดียว แต่จะหนีไปไหน เพราะทุกหนทุกแห่งก็ต้องมีเรื่องแบบนี้ทั้งนั้น ที่ไหนที่มีคนก็ต้องมีความขัดแย้ง ที่ที่ไม่มีเรื่องไม่มีเราก็คือสุสานนั่น สุสานนี้มันเงียบสงบมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามันไม่มีคน มีแต่ซากหรือร่างกายที่หมดลมหายใจ ถ้าต้องการความสงบก็ต้องไปที่นั่น
แต่นั่นคือความสงบที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม ความสงบที่เกิดขึ้นในใจมันเกิดขึ้นได้แม้จะมีคนที่ระอาอยู่รอบตัว หรือแม้จะมีสิ่งที่ไม่ถูกใจ หรืออาจจะมีความไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้เราหลีกหนีไม่พ้น ในด้านหนึ่งปัญหานี้ก็ต้องแก้ แต่เราอย่าไปคิดแต่จะแก้ข้างนอกอย่างเดียว ต้องปรับแก้ที่ใจของเราด้วย เพราะหลายเรื่องปัญหาหลายอย่างถ้าเราคิดแต่จะแก้คนอื่น ไปจัดการสิ่งภายนอกให้ถูกใจเรา ก็อาจจะผิดหวัง
อยู่กรุงเทพยังไงก็ต้องเจอรถติด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงรถติดได้ แต่ถ้าหากเรารู้จักวางใจให้เป็น ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิตในกทม. หรือปล่อยใจให้ไปอยู่กับอนาคต ปรุงแต่งกับสิ่งที่ยังไม่เกิด หรือว่าปรุงไปในทางลบทางร้ายว่าถ้าติดนานกว่านี้ฉันจะไปทำงานสาย จะตกเครื่องบิน ถ้าใจไม่ปรุงแต่งแบบนี้ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน มันก็จะไม่ทุกข์ รถติดแต่จิตไม่ตก เพราะรู้จักปรับที่ใจ ไม่ใช่มัวแต่จะไปจัดการกับสิ่งภายนอก
อันนี้เป็นวิชาที่สำคัญ เพราะว่าถ้าเรารู้จักฝึกจิตฝึกใจ ความสงบให้เกิดขึ้นกับใจได้ แม้รอบตัวเราจะวุ่นวาย แม้จะเจอกับสิ่งถูกใจ แม้จะมีเสียงดัง ถ้าหากว่าเรารับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ และเกิดความสงบที่ใจ วันหน้าเราก็จะสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆได้
ลองนึกดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่วัด ถ้าเรายังทำใจไม่ได้ ยังร้อนรุ่มวุ่นวาย ถึงเวลาที่เราเจอความเจ็บป่วยชนิดที่หนีไม่พ้น มันตามติด มันเกิดกับร่างกายเราตลอด 24 ชั่วโมง เต็มไปด้วยความติดขัด เต็มไปด้วยความไม่สะดวกสบาย เราจะรับมือกับมันได้อย่างไร ถ้าเรามัวแต่คิดว่าจะหนีปัญหา และคิดว่าปัญหาจะทำให้สงบได้
ถึงเวลาเจอความเจ็บป่วย ถึงเวลาเจอความสูญเสียพลัดพราก ชนิดที่เราไม่สามารถจะควบคุมบงการได้ แล้วเราจะอยู่อย่างไร เราจะรับมือกับมันอย่างไร ฉะนั้นการที่เรามาฝึกตนเพื่อ สามารถความสงบให้เกิดขึ้นกับใจได้ แม้ว่าสิ่งรอบตัวจะไม่ราบรื่น หรือแม้จะมีความคิดอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในใจ แต่ก็ไม่ปล่อยให้มันเข้ามาควบคุมครอบงำจิตใจได้
นี้เป็นวิชาสำคัญในการที่เราจะรับมือกับความทุกข์ในวันข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นกับเรา ความเจ็บป่วย ความพรากสูญเสีย สูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก พวกนี้ถ้าไม่เจอเมื่อวานนี้หรือวันนี้ วันหน้าก็ต้องเจอ
หากว่ายังไม่เจอ มันก็จะดีกว่า ถ้าเราจะใช้โอกาสที่ปลอดจากปัญหานี้มาฝึก ไม่ใช่มาหวังเสพความสงบ หรือหวังหาความสบาย แต่มาเพื่อฝึกฝนตน เจอปัญหาต่างๆ ก็ไม่บ่น เอามาเป็นเครื่องฝึกฝน แม้กระทั่งความไม่สงบ หรือความคิดที่มันผุดขึ้นมาในใจก็สามารถรับมือกับมันได้ ไม่ใช่ว่าจะบังคับให้มันหายฟุ้งหรือหยุดคิด ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้ก่อนนะเราถึงจะมีวิชาที่รับมือกับความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสในวันหน้าได้.