พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 18 กรกฎาคม 2567
เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในเมือง หรือต่างจังหวัด แม้กระทั่งในชนบท จะอยู่ได้ก็ต้องซื้อสิ่งต่างๆ มาเลี้ยงตน อาหารก็ต้องซื้อ น้ำดื่มก็ต้องซื้อ เสื้อผ้าก็ต้องซื้อ รองเท้าก็ต้องซื้อ ยังไม่ต้องพูดถึงโทรศัพท์มือถือ ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิตไปแล้ว แท็บเล็ต เครื่องไฟฟ้า พัดลม หม้อหุงข้าว ก็ต้องซื้อทั้งนั้น
การซื้อกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเราไปแล้ว เวลาเราซื้อสิ่งต่างๆ ถ้าเรามีเงิน เราก็สามารถจะเลือกได้ว่าจะซื้ออะไร จะซื้อรุ่นไหน ประเภทใด เดี๋ยวนี้มีให้เลือกเยอะแยะเลย ยิ่งพวกที่ผลิตโดยเครื่องจักรอุตสาหกรรม อย่างเช่น เสื้อผ้า รองเท้า สบู่ ยาสีฟัน โทรศัพท์มือถือ เราเลือกได้สารพัด
ไม่ใช่แค่รุ่นไหน สเปคใด บางทีเลือกได้แม้กระทั่งราคา ยิ่งซื้อของทางอินเตอร์เน็ต หรือช้อปออนไลน์ เลือกได้เลย ว่าอยากได้ราคาแบบไหน อาหารก็เหมือนกัน สั่งได้ เดี๋ยวนี้สั่งได้แม้กระทั่งเสื้อผ้า รองเท้า ให้เขาจัดหา หรือจัดทำในแบบที่ตัวเองต้องการ
เพราะฉะนั้น ในชีวิตของเรา เรามีความสามารถในการเลือกสิ่งต่างๆ ได้มาก เลือกแล้ว สั่งแล้ว ซื้อแล้ว ไม่พอใจ เพราะว่ามันไม่ตรงปก เราก็เปลี่ยนได้ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก จนกระทั่งถูกใจเรา อันนี้คือสิ่งที่เราทำได้ แล้วก็มีระบบต่างๆ เอื้ออำนวยให้เราสามารถเลือกซื้อ เลือกสั่ง ในสิ่งที่ถูกใจ
การที่เราเลือกได้ สั่งได้ เปลี่ยนได้ มันก็มีผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของเรา เดี๋ยวนี้คนจำนวนไม่น้อยก็คิดว่า ชีวิตนี้ไม่ต่างจากการช้อปปิ้ง หรือการซื้อสินค้า คือเลือกได้ เลือกแล้วเลือกอีกจนกว่าจะได้สิ่งที่พอใจ ไม่พอใจก็เปลี่ยน เปลี่ยนจนกระทั่งได้สิ่งที่พอใจ บางอย่างมันไม่มีตรงสเปคเรา เราก็สั่ง สั่งระบุสเปค เหมือนกับสั่งอาหารเลย ระบุรสชาติ ก็ได้สิ่งที่พอใจ
จนกระทั่งคนไปเข้าใจว่า ชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากการช้อปปิ้ง การซื้อสินค้า คือว่าเราเลือกได้ เราสั่งได้ เราเปลี่ยนได้ ตรงนี้มันอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย เพราะว่าชีวิตจริงมีสิ่งต่างๆ มากมายที่เราเลือกไม่ได้ ไม่สามารถที่จะสั่งให้สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา มันถูกใจเราได้ ถึงแม้จะมีเงินก็ตาม
ที่จริงชีวิตนี้ มันมีคนเปรียบไว้ดี แล้วก็สอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า คือชีวิตนี้เหมือนกับการเล่นไพ่
เวลาเราเล่นไพ่ เราเลือกไม่ได้ ไพ่ที่จั่ว เราอยากได้ไพ่ที่สวย เลขที่สูง แต่ว่าจะจั่วได้ไพ่ต่ำ นอกจากเลือกไม่ได้แล้ว ยังเปลี่ยนไม่ได้ด้วย เราจั่วไพ่ ได้อะไรมา ก็ไม่สามารถเปลี่ยนไพ่ที่จั่วได้
แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะเล่นไพ่ในมืออย่างไรต่างหาก ตรงนี้สำคัญกว่า ชีวิตจริงเป็นอย่างนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา จำนวนมากเลย มันไม่ถูกใจเรา และถ้าทั้งหมดนี้เราเลือกไม่ได้ ดินฟ้าอากาศ
อย่างดินฟ้าอากาศ เราอยากให้มันดี แดดจ้า ไม่ครึ้ม แต่ว่าก็กลับมีฝนตกทั้งวัน ไม่ใช่แค่ดินฟ้าอากาศอย่างเดียว ผู้คน การกระทำ และคำพูดของเขา มันไม่ใช่ว่าจะถูกใจเราไปหมด แม้แต่ลูกของเรา คนรักของเรา ก็อาจจะพูดไม่ถูกใจเราก็ได้ หรือทำไม่ถูกใจเรา ไม่สามารถไปบังคับเขาได้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเจอ เราเปลี่ยนไม่ได้
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เราจะรับมือกับมันอย่างไร คนที่เขาเล่นไพ่แล้วมีประสบการณ์ แม้เขาจะจั่วได้ไพ่ที่ไม่ดี เขาจะไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ว่าทำไมได้ไพ่แบบนี้มา แต่ถ้าเราคุ้นกับ หรือไปเข้าใจว่าชีวิต ไม่ต่างจากการซื้อ การช็อป เวลาได้ของที่ไม่ถูกใจ เราก็จะบ่น เราก็จะโวยวาย ตีโพยตีพาย แล้วก็พยายามที่จะเปลี่ยน ให้มันได้อย่างที่ถูกใจเรา
การช้อป การซื้อสินค้าจากห้าง หรือจากร้านออนไลน์ เราทำได้ เปลี่ยนได้ แต่ชีวิตจริง สิ่งที่เราเจอ นอกจากเลือกไม่ได้แล้ว บางทีก็เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งสำคัญคืออยู่ที่ว่าเราจะอยู่กับมันอย่างไร หรือเราจะรับมือกับมันอย่างไร หรือว่าจะมองมันอย่างไร ทำใจอย่างไร กับสิ่งเหล่านั้น
อันนี้เลยเปรียบเหมือนกับว่า เราเปลี่ยนไพ่ที่จั่วมาไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถจะเลือกได้ว่า จะใช้ไพ่ในมือนั้นอย่างไร
อย่างคนที่เขาเล่นไพ่เก่ง แม้เขาจะจั่วได้ไพ่ไม่ดี แต่เขาก็สามารถจะเล่นจนชได้ ก็คงไม่ต่างจากแม่ครัวที่เก่ง ถึงแม้จะได้เครื่องไม่ครบ มีไม่กี่อย่าง สิ่งที่เขาได้มาไม่ใช่สิ่งที่เขาเลือกเลย เพราะถ้าเขาเลือก เขาคงจะเลือกให้มันครบถ้วน แต่เมื่อได้มาแล้ว แล้วเปลี่ยนไม่ได้ เขาก็จะใส่ใจ ว่าจะเอาของในครัว หรือเครื่องที่ได้มา ปรุงอย่างไรให้อร่อย
แม่ครัวที่เก่ง พ่อครัวที่เก่ง คืออยู่ตรงนี้ ได้อะไรมาก็ไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตัวตีพาย ไม่โอดครวญ จะคิดแต่ว่า จะเอาสิ่งที่มีอยู่ มาทำให้มันเป็นอาหารที่อร่อย มีคุณภาพ ได้อย่างไร ชีวิตคนเรา มันก็ไม่ต่างจากตัวอย่างที่ว่ามา สิ่งที่เราเจอในแต่ละวัน ส่วนมากเลือกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ไม่ถูกใจก็มี ที่ไม่ถูกต้องก็เยอะ ที่ไม่ปรารถนาก็มีไม่น้อย แต่ถ้าเรามัวแต่บ่นโวยวายตีโพยตีพาย เราก็มีแต่ทุกข์สถานเดียว นอกจากไม่ได้ทำอะไรให้อะไรดีขึ้นแล้ว ก็ยังเป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
มีเรื่องเล่า ตอนนั้นเป็นเดือนเมษายน หน้าร้อน ร้อนมาก บ่ายวันเสาร์ ร้อนจนเธอต้องเปิดแอร์เต็มที่เลย ขนาดเปิดเต็มที่แล้ว ยังรู้สึกร้อน แล้วยิ่งได้ยินเสียงจากหน้าบ้านก็ยิ่งไม่พอใจ หงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เพราะเธอรู้ว่ามีบุรุษไปรษณีย์มารออยู่หน้าบ้าน
ทีแรก เธอก็ทำเป็นไม่ได้ยิน คือไม่ออกไป ออกไปก็เจอแดด ขนาดอยู่ในห้องแอร์ยังร้อน ยิ่งออกไปข้างนอกยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่
บุรุษไปรษณีย์ เขารู้ว่ามีคนอยู่ในบ้าน เพราะเสียงแอร์ก็ดัง รถก็จอดอยู่ในที่จอดรถ เขาก็เลยรอ เขารออยู่หน้าบ้าน เจอแดดเต็มๆ แต่เขาก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร เขาร้องเพลงด้วยซ้ำ ร้องเพลงลูกทุ่ง
จนกระทั่งผู้หญิงเจ้าของบ้านต้องออกมา เพราะถ้าไม่ออกมา บุรุษไปรษณีย์ก็คงจะยังไม่ไปไหน พอมารับของที่หน้าบ้านที่หน้าประตูเสร็จ ก็พูดทำนองประชดบุรุษไปรษณีย์ว่า แดดร้อนๆ อย่างนี้ ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกหรือ บุรุษไปรษณีย์แกยิ้ม เหงื่อเต็มหลังเลย เพราะว่ามันร้อนมาก แต่แกยิ้ม แกบอกว่า โลกร้อน แต่ถ้าใจมันเย็น มันก็เย็นครับ ผมร้องเพลงแล้วใจมันเย็น
คนหนึ่งอยู่ในห้องแอร์ แต่หงุดหงิด อีกคนหนึ่งยืนกลางแดด แต่ว่าเขามีอารมณ์ดี ร้องเพลง ที่จริงที่เขาอารมณ์ดี เพราะเขาร้องเพลง การร้องเพลงก็ช่วยกล่อมใจเขา อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้ชัดเลยว่า เราเจออะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเราทำกับสิ่งนั้นอย่างไร
เจอแดด ถ้าเราบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย เราก็ไม่ใช่ร้อนแต่กาย ใจก็ร้อน แต่ถ้าเรารู้จักกล่อมใจ อย่างเช่นบุรุษไปรษณีย์คนนี้ ก็ใช้วิธีร้องเพลง ร้องเพลงให้มันเพลิน เพราะฉะนั้น แม้แดดร้อน อากาศร้อน แต่ว่าใจไม่ได้ร้อนด้วย
นี่ก็เรียกว่าเลือกไม่ได้ ว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นอย่างไร แต่ว่าเราเลือกได้ว่าเราจะทำกับใจของเราอย่างไร หรือว่าเราจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร อันนี้เป็นศิลปะที่สำคัญของชีวิต ถ้าเราไปคิดว่า ชีวิตนี้ เราต้องเจอแต่สิ่งที่ถูกใจ เจอแต่สิ่งที่ถูกต้อง อันไหนที่ไม่ถูกใจ ก็เปลี่ยนให้มันถูกใจเรา หรือจัดการให้มันถูกใจเรา เราก็จะมีแต่ความผิดหวัง
เพราะว่าสิ่งต่างๆ จำนวนไม่น้อย ก็ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนให้ถูกใจเราได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ เราไม่สามารถบงการให้สิ่งเหล่านั้น หรือคนเหล่านั้น ถูกใจเราได้ สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราจะทำใจของเราอย่างไร หรือว่าเราจะรับมือกับสิ่งนั้นอย่างไร มันไม่ใช่แค่แดดร้อน อากาศร้อน แต่ใจเย็น บางครั้งเราเจออะไรที่มันหนักกว่านั้น แต่เราก็เลือกได้ ที่จะไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้ชายคนหนึ่งเป็นฝรั่ง วันหนึ่งเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน ยามเช้าอากาศดี จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง มาข้างหลัง แล้วก็ผลักเขาล้มลง เป็นผู้หญิงที่เขาไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า ผลักให้ล้มไม่พอ ยังเอามีดจ้วงแทง แทงแล้วแทงอีก เรียกว่ากระหน่ำเลย 30 กว่าแผล
แต่บังเอิญมีคนผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ก็เลยช่วยเขา ผู้หญิงคนนั้นก็หนีไป ส่วนชายคนนั้น อายุ 60 แล้ว แกชื่อโรเจอร์ ถูกนำส่งโรงพยาบาล ก็รอดตาย แม้ว่าจะโดนแทงไป 30 แผล ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ก็มีข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นถูกจับได้ ก่อนหน้าที่จะมาแทงโรเจอร์ แกฆ่าคนตายไปแล้ว 2 คน อีกคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส เหยื่อไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย แสดงว่าแกประสาท ผู้หญิงคนนี้คงเป็นโรคประสาท
พอจับผู้หญิงคนนี้ได้ นักข่าวก็มาสัมภาษณ์โรเจอร์ ว่ามีอะไรอยากจะบอกผู้หญิงคนนี้ไหม แกก็เลยบอกว่า อยากจะถามผู้หญิงคนนี้ ว่าทำไมถึงทำกับผมอย่างนี้ แกไม่มีท่าทีของความโกรธแค้นเลย ถ้าแกโกรธ แกก็คงจะทุกข์มาก แต่แกไม่โกรธ เพียงแต่แกอยากจะรู้ว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงแทงแก
ผู้สื่อข่าวก็ถามอีก ว่าแล้วคุณคิดว่าเหตุการณ์อย่างนี้ มันจะมีผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตของคุณไหม แทนที่แกจะบอกว่า แกห่วง ว่าชีวิตจะพิการ จะเดินไม่ได้ แกกลับบอกว่า เหตุการณ์นี้ มันก็ทำให้ผมได้คิด ว่าวันหนึ่ง ขณะที่ผมเดินอยู่บนท้องถนน อาจจะมีรถเมล์ชนผม หรือทับผมตายเลยก็ได้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นมันก็เลยสอนให้ผมว่า ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด หรือว่าทำดีทุกๆ วัน เพราะว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ทำดีในวันอื่นอีกหรือเปล่า พูดง่ายๆ ก็คือว่า ทำดีตั้งแต่วันนี้ เพราะมันอาจจะไม่มีพรุ่งนี้ก็ได้
อันนี้เรียกว่าแกได้ประโยชน์ จากเหตุการณ์นี้ แทนที่แกจะโอดครวญ ตีโพยตีพาย ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน หรือว่าโกรธแค้นผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าการโอดครวญ หรือความโกรธแค้น มันไม่ดีกับจิตใจของโรเจอร์เลย แต่กลับมองว่ามาสอนเขา ว่าอย่าประมาทกับชีวิต
ถ้าพูดแบบพุทธก็คือว่า เตือนให้เขาระลึกถึงมรณานุสติว่า วันนี้ไม่รู้จะเป็นวันสุดท้ายของเราหรือเปล่า ฉะนั้นต้องทำความดีตั้งแต่วันนี้ หรือทุกวันเลย คิดอย่างนี้ มันมีประโยชน์กับเขา พูดแบบพุทธคือเขาได้ธรรมะ เกิดความขวนขวายในการทำชีวิตให้มีคุณค่า
สิ่งที่เขาเจอ เขาเลือกไม่ได้ ไม่มีใครเลือกอยู่แล้ว คนที่มาทำร้ายจนเกือบถึงตาย ไม่มีใครเลือกได้ ฉะนั้นเมื่อใครเจอแบบนี้ ก็รู้สึกว่านี่คือเคราะห์เลย แต่ถ้ามองว่าเป็นเคราะห์ร้าย ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะว่าทำให้รู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย แต่เขากลับมองว่า มันสอนอะไรเขา อันนี้เรียกว่ารู้จักใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ หรือวางใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในทางที่ทำให้ได้สติ เกิดความไม่ประมาท
ซึ่งจะดีกว่าการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ใจตนด้วยการโวยวาย ตีโพตีพาย ทำไมต้องเป็นฉัน หรือว่าโกรธแค้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือบางทีก็น้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาว่า ทำไมฉันทำความดีมา มันถึงต้องเจอแบบนี้ คิดแบบนี้มีแต่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง เจ็บกายไม่พอ ยังทุกข์ใจด้วย
อันนี้ก็เรียกว่า เราเลือกไม่ได้ว่าจะเจออะไร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราเลือกได้ว่าจะหาประโยชน์จากมันอย่างไร หรือจะมองมันอย่างไร ในทางที่ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ใจ
เมื่อปีที่แล้ว มีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทุกคนคงจะได้ยินข่าว มีเด็กอายุ 14 เอาปืนไปกราดยิงคนในห้างสรรพสินค้าที่กรุงเทพฯ ตายไปเยอะเลย 10 กว่าคน คนที่ตายคนหนึ่งนั้นเป็นพนักงานของร้านในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น เธอเป็นชาวพม่าอายุแค่ 17-18 ชื่อเล่นว่าตะวัน มาเมืองไทยตั้งแต่อายุ 11-12 ขยันขันแข็งหาเงินส่งไปให้แม่ที่พม่า เป็นเด็กกตัญญูมาก แต่ก็ต้องมาจบชีวิต เพราะว่าเด็กคนนั้น
แม่ของตะวัน มางานศพลูกที่กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์แม่ของตะวัน เธอบอกไม่โกรธเด็กคนนั้น แล้วยังบอกอีกว่า ตนโชคดีกว่าพ่อแม่ของเด็กคนนั้น เพราะว่าตัวเองมีลูกที่ดี ลูกที่กตัญญู ส่วนพ่อแม่ของเด็กคนนั้นถือว่าโชคร้ายกว่าตัวเธอ เพราะว่าต้องมากลุ้มใจกับลูกซึ่งจะต้องโดนคดีหนัก นอกจากทำให้เสื่อมเสียของวงศ์ตระกูลพ่อแม่แล้ว ยังต้องมากลุ้มอกกลุ้มใจกับการจัดการคดีต่างๆ ของลูก
และถึงแม้จะติดคุกได้ไม่นาน หรือแม้แต่จะไม่ติดคุกเลย พ่อแม่ก็คงจะปวดหัวกับลูกคนนี้ว่าจะทำอย่างไรเพราะเขาคงมีปัญหา จะดูแลลูกคนนี้อย่างไร อันนี้เป็นความทุกข์อย่างมหันต์ของคนที่เป็นพ่อแม่ เมื่อเจอลูกก่อเหตุรุนแรงแบบนี้
ตัวแม่ของตะวัน มีแต่ความภาคภูมิใจในลูก ไม่มีความรู้สึกเครียด รู้สึกท้อ รู้สึกกลุ้มใจ รู้สึกโกรธแค้น เพราะมีลูกไม่ดี แกก็มองได้น่าทึ่ง ทั้งที่เสียลูกไปทั้งคน ก็ยังบอกว่าตัวเองโชคดีกว่าพ่อแม่ของเด็กคนนี้ อย่างนี้เป็นเพราะรู้จักมอง ถ้ามองไม่เป็นก็จะทุกข์มาก อย่างที่บอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา หรือกับคนที่เรารัก เราเลือกไม่ได้ แต่ว่าเราเลือกได้ว่าเราจะมอง หรือเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ให้รู้จักหาประโยชน์จากทั้งอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่น่าพอใจ อนิฏฐารมณ์คือ รูป รส กลิ่น เสียง ที่ไม่น่าพอใจ รวมถึงเหตุร้าย
ถ้าเราคิดว่า ชีวิตเราไม่ต่างจากการช้อปปิ้ง เราจะเข้าใจผิดมากว่าเราจะได้พบแต่สิ่งดีๆ เราสามารถเลือกได้ เปลี่ยนได้ สั่งได้ แล้วจะทำอย่างนั้นได้ต้องมีเงิน ถ้ามีเงินแล้วเราก็สามารถจะเลือกอะไรก็ได้ สั่งอะไรก็ได้ ไม่พอใจก็เปลี่ยนให้มันถูกใจเราได้ คนก็ไม่เข้าใจไปคิดว่าถ้ามีเงินแล้ว ชีวิตจะราบรื่น จะโอเค ก็เลยอยากจะมีเงินกันเยอะๆ
แต่ที่จริงแล้ว ชีวิตมันก็ไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ต่างจากการเล่นไพ่ เราจั่วไพ่ในมือ ได้อะไรมา เราเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราเลือกได้ ว่าจะทำอย่างไรกับไพ่ในมือ ตรงนี้ต้องอาศัยสติปัญญา เงินช่วยไม่ได้ แต่สติปัญญาช่วยได้
ฉะนั้น เวลาเราคิดถึงการดำเนินชีวิตที่ราบรื่น ชนิดที่สามารถจะผ่านพ้นความผันผวนปรวนแปรได้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เงิน สิ่งสำคัญคือธรรมะ มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะบังคับทุกอย่างให้เป็นไปดั่งใจได้
แต่ถ้ามีธรรมะ หรือมีสติปัญญา ก็สามารถทำให้เราเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี เปลี่ยนร้ายกลายเป็นเบา หรือว่าเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ.