พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 11 กรกฎาคม 2567
ชายคนหนึ่งอายุ 40 กว่า การงานก็กำลังไปได้ดี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีความสุขกับการสอน ลูกศิษย์ก็รัก ครอบครัวเขาก็อบอุ่น มีลูกชายที่กำลังโต แล้ววันหนึ่งก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อนก็อยู่ในระยะท้ายด้วย แผนการอนาคตที่วางเอาไว้ต้องรื้อใหม่เลย เพราะว่าคงจะอยู่ได้แค่ 3-6 เดือน แต่เขาก็ยอมรับได้ ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย
วันหนึ่งเขาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า ตอนที่จ่ายเงินเขาก็ใช้บัตรเครดิต ของที่เขาซื้อก็ประมาณ 16 ดอลลาร์ เขารูดบัตรปรากฏว่าไม่มีใบเสร็จออกมา มันก็แปลว่ายังไม่ได้มีการจ่าย เขาก็เลยรูดอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าคราวนี้มีใบเสร็จ 2 ใบออกมาเลย แปลว่าเขาจ่ายเกินไป 16 ดอลลาร์ แทนที่จะจ่าย 16 ก็กลายเป็นจ่าย 32 เมื่อจ่ายเกินไปทีนี้ทำอย่างไร เขาก็สามารถเคลมได้ เอา 16 ดอลลาร์คืน
วิธีการก็คือไปหาผู้จัดการของห้าง เจรจา กรอกแบบฟอร์ม แล้วก็กลับมาที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินใหม่ กระบวนการนี้อย่างน้อย ๆ ก็ 15 นาที อาจจะนานกว่านั้นถ้าหากว่าผู้จัดการไม่ว่าง เสียเวลารอ เพราะว่าถ้าคิดดูเวลาเขาก็เหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว แต่ละนาทีมันมีค่า เขาก็ถามตัวเองว่าเขาจะใช้นาทีที่มีค่าไปกับการเอาเงินคืนดีไหม
แล้วก็บอกว่าเวลาของเขามันมีค่ากว่าเงิน 16 ดอลลาร์ เขาก็เลยตัดสินใจเดินออกจากห้าง ไม่ไปเคลมเอาเงินคืน เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องที่มันไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่ อาจจะไม่ใช่แค่เสียเวลา 15 นาที อาจจะเสียเวลานานกว่านั้น ในระหว่างนั้นก็คงจะหงุดหงิด ในเมื่อเขามีเวลาเหลือน้อย แต่ละนาทีมันมีค่า ไม่ควรจะใช้นาทีที่มีค่าไปกับการพยายามเอาเงินคืน พูดอีกอย่างก็คือว่า 15 นาทีของเขามีค่ามากกว่า 16 ดอลลาร์ เขาก็เลยทิ้งเงิน 16 ดอลลาร์นั้นไปเลย
คนเราถ้าหากว่ารู้ว่าเวลาของเราเหลือน้อยลงไปทุกที เราจะตระหนักได้ว่าเราควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับอะไร คนเราแต่ละคนในโลกนี้ก็แตกต่างกันไป บางคนก็ร่ำรวย บางคนก็ยากจน บางคนก็ยังหนุ่มยังสาวแต่บางคนก็แก่ ยังไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างด้านเพศ ด้านศาสนา ความเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือว่า เวลาเหลือน้อยลงไปทุกที มันไม่ใช่แค่คนแก่เท่านั้นที่เวลาเหลือน้อย คนหนุ่มคนสาวก็เหลือน้อยด้วย
แต่ว่าคนหนุ่มคนสาวมักจะไม่ค่อยตระหนักว่าเวลาแต่ละนาทีมีค่า เพราะว่าคิดว่าตัวเองมีเวลาเยอะ ถ้าอายุ 20 ก็คิดว่าตัวเองสามารถจะอยู่ในโลกนี้ได้อีก 60-70 ปี ถ้าคิดเป็นนาทีมันก็เยอะมากทีเดียว เฉพาะแค่คิดเป็นวันก็เกือบ 20,000 วันแล้ว เรียกว่า จะรู้สึกว่ารวยเวลา ก็เหมือนกับคนรวยเงิน เขาจะไม่ค่อยรู้สึกว่าแต่ละบาทแต่ละสลึงมีค่า แต่ถ้ามีเงิน 100 บาทอยู่ในมือหรือมีเงิน 10 บาทอยู่ในมือ แต่ละบาทแต่ละสลึงมีค่ามาก
คนแก่หรือคนเจ็บคนป่วยสังขารร่างกายบอกว่า เวลาเหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว จึงย่อมรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาทีมันมีค่า ส่วนคนหนุ่มคนสาวมักจะคิดว่า ตัวเองมีเวลาอยู่ในโลกนี้เยอะ ซึ่งอันนี้ก็เป็นความประมาท เป็นความหลงผิด เพราะว่าอาจจะตายก่อนพ่อแม่ก็ได้ อาจจะตายก่อนคนแก่ก็ได้ นอนหลับคืนนี้อาจจะไม่ตื่น หรือเดินทางกลับบ้านอาจจะไม่ถึงบ้าน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ นอกจากเวลาจะเหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว แต่ละนาทีมันก็มีค่าด้วย อยู่ที่ว่าจะตระหนักหรือไม่
คนแก่หรือคนป่วย จะว่าไปเขาก็มีภาษีดีกว่า อย่างอาจารย์คนนี้แกก็รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ 3-6 เดือน เพราะฉะนั้นย่อมรู้สึกว่า อย่าว่าแต่ละวันเลย แต่ละนาทีมันมีค่ามาก ในขณะที่คนที่สุขภาพดีแถมยังหนุ่มยังสาวไม่มีสิ่งบ่งชี้ หรือเตือนเลยว่าเวลาจะเหลือน้อยสักเท่าไหร่ จึงมักจะไม่ค่อยตระหนักว่าแต่ละนาทีมันมีค่า
การที่อาจารย์คนนี้แกรู้ว่ามีเวลาเหลือน้อย แกจึงไม่เสียดายเงิน 16 ดอลลาร์ แกคิดแล้ว แทนที่จะเอาเวลา 15 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงให้หมดไปกับการหาเงิน เอาเงินคืน เอาเวลาที่ว่านี้ไปทำอย่างอื่นที่มันดีกว่า เอาเวลาที่มีอยู่ไปใช้ในการทำสิ่งดีงาม อยู่กับครอบครัว
พอคิดดูแล้วมันต่างกันเยอะ 15 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงที่ใช้ไปกับการเอาเงินคืน มันให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ถ้าหากว่าเอาเวลา 15 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงไปอยู่กับลูกที่ยังเล็ก ไปใช้เวลาที่มีคุณภาพกับลูก ๆ หรือกับภรรยา มันดีกว่าเยอะเลย แต่คนจำนวนมากไม่ค่อยตระหนัก แม้ว่าจะรู้ว่าตัวเองมีเวลาเหลือน้อยแล้ว แต่ว่าก็เอาเวลาหมดไปกับเรื่องที่นอกจากไม่เป็นเรื่องแล้วบางทีเป็นตัวเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองด้วย
อย่างหลายคนอาจจะไม่ได้ใช้เวลาที่มีค่าไปกับการเอาเงินคืนแต่ว่ากลับใช้เวลาไปกับความเสียดาย ความเสียใจ ความหงุดหงิด ความโกรธแค้น เพราะว่าสูญเสียเงินไป อย่างกรณีอาจารย์คนนี้ 16 ดอลลาร์แกมีโอกาสจะได้คืน แกยังทิ้งเลย เพราะว่ามันเสียเวลาแก
แต่หลายคนไม่ใช่ว่ามีโอกาสได้เงินคืน เงินมันสูญไปแล้ว อาจจะเพราะถูกโกง อาจจะเพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าจ่ายเงินทอนไม่ครบ ก็เอาแต่เสียอกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ หรือโมโหกับเงินที่สูญไป หรือว่าให้เงินคนอื่นยืมแล้วไม่ได้คืน ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้คืนแล้วก็ยังปล่อยใจให้เศร้า คับแค้น โมโห ก็กลายเป็นว่านอกจากเสียเงินแล้วยังเสียเวลาอีก แล้วเวลาที่เสียไปมันมีค่ามาก คิดเป็นตัวเงินไม่ได้เลย
แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ใช้เวลาที่มีค่าให้หมดไปกับความกลุ้มอกกลุ้มใจ เสียอกเสียใจ กับเงินที่สูญไป แล้วบางทีมันไม่ใช่แค่สูญเงินในความหมายที่ถูกโกง หรือว่าถูกคนขโมยไป เดี๋ยวนี้หลายคนรู้สึกว่าการซื้อของแพงกว่าคนอื่นมันก็ไม่ต่างจากการสูญเงิน คนอื่นเขาซื้อ 200 ส่วนฉันซื้อ 250 บาท ส่วนต่าง 50 บาทในความรู้สึกของหลายคนคือการสูญเงินไป ก็เสียใจ
และไม่ใช่แค่ซื้อของแพงกว่าคนอื่น ซื้อของแล้วได้ส่วนลดน้อยกว่าคนอื่น ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเสียเงินไป ซื้อรถได้ส่วนลด 40,000 บาทแต่คนอื่นเขาซื้อทีหลังเขาได้ส่วนลดแสนห้า หลายคนรู้สึกเลย คนที่ซื้อที่แรกรู้สึกเลย รู้สึกตัวเองสูญเงินไปแสนกับอีกหนึ่งหมื่น ที่จริงไม่ได้สูญแต่ว่าความรู้สึกมันเป็นอย่างนั้น ก็เลยเศร้า เสียใจ ซึมไปเลย บางคนถึงกับบอกว่า เดิน move on ต่อไปไม่ได้แล้ว
มานึกดูระหว่างเงินที่เสียไปกับเวลาที่หมดไปกับความเศร้าโศก อะไรที่มีค่ากว่ากัน เงินเรายังมีโอกาสจะได้คืน หรือหาใหม่ แต่เวลาสูญไปแล้วก็สูญไปเลย
แต่หลายคนใช้เวลาไม่เป็น ใช้เวลาให้หมดไปกับความเศร้าโศก ความเสียใจ ความอาลัยอาวรณ์กับเงินที่สูญไป หรือเงินที่คิดว่าไม่น่าจะจ่ายแพงกว่าคนอื่น หรือหมดโอกาสที่จะได้ส่วนลดมากกว่าคนอื่น อันนี้รวมไปถึงได้โบนัสน้อยกว่าคนอื่น ได้โบนัสน้อยกว่าคนอื่นห้าหมื่น ก็เหมือนกับสูญเงินห้าหมื่น ก็เลยเศร้าเสียใจ ไม่ใช่แค่วันสองวัน บางทีเป็นอาทิตย์
ถ้าไตร่ตรองให้ดีเวลาที่หมดไปกับความเศร้าเสียใจเพราะได้โบนัสน้อย หรือเพราะว่าซื้อของได้ส่วนลดน้อยกว่าคนอื่น ถ้าคิดเป็นตัวเงินแล้วมันเยอะทีเดียว แต่ว่าผู้คนก็ยอมเสียเวลาไปกับเรื่องราวแบบนี้ แล้วเดี๋ยวนี้แค่ได้โชคได้ลาภน้อยกว่าคนอื่นกลับรู้สึกว่าเสีย ซื้อหวยได้ 600 บาท แต่เพื่อนเขาซื้อ เขาแทงแล้วเขาได้ 2,000 บาท ส่วนต่าง 1,400 บาท ก็คือได้น้อยกว่าคนอื่น ได้น้อยกว่าเพื่อน แต่ว่าจะรู้สึกว่าตัวเองเสียไป ก็อาจจะเศร้า โดยหาได้ตระหนักไม่ว่า เวลาที่หมดไปกับความเศร้าความคับแค้นมันมีค่า แล้วก็เป็นเวลาที่ไม่สามารถเรียกคืนมาได้
คนเราถ้าคิดดี ๆ เราเสียเวลาที่มีค่าไปกับเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือไม่คุ้มค่าเยอะมาก มันไม่ใช่แค่เสียเวลาไปกับความเศร้าเพราะว่าเงินหาย สูญเงิน หรือจ่ายแพง หรือได้ส่วนลดน้อยกว่าคนอื่น แต่รวมถึงการที่เจอกับหลายสิ่งหลายอย่างที่มันไม่ถูกอกถูกใจ เช่น เจอคนที่ไม่น่ารัก เจอเพื่อนบ้านที่ชอบเอาเปรียบ เจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้เรื่องก็โมโหขุ่นเคือง จนบางทีนอนไม่หลับ
ลองถามตัวเองว่า เวลาที่เรา ที่ใช้ไปกับความเศร้าโศก การที่ใช้เวลาไปกับการจมอยู่ในความเศร้าโศก หรือความหงุดหงิด มันมีค่าเพียงใด พอหงุดหงิดแล้วมันไม่ใช่แค่เสียอารมณ์ บางทีก็เสียสุขภาพด้วย แล้วตามด้วยการเสียเงิน เพราะว่าเจ็บป่วย ต้องเสียค่าหยูกค่ายา ค่าหมอ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับเวลาที่เสียไป
คนเราถ้าตระหนักว่าเวลามีค่า และเวลาเหลือน้อยลงทุกที ก็จะไม่ยอมเสียเวลาไปกับความทุกข์ ความเศร้าโศก ความหงุดหงิดง่าย ๆ แต่จะพยายามยกจิตให้อยู่เหนือความทุกข์เหล่านั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือว่า พยายามปล่อยวาง ไม่เอามาเป็นอารมณ์ ใครเขาจะพูดจาต่อว่าด่าทออย่างไรก็ไม่มามัวเสียใจ เพราะเวลาเราเสียใจแล้วมันเสียเวลาด้วย เสียเวลาไปกับความทุกข์ ในเมื่อเวลาเหลือน้อยก็ควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีคุณค่า
อันนี้รวมไปถึงการที่ประสบกับอนิฏฐารมณ์อย่างอื่นด้วย เช่น ตกงาน หรือว่าเจ็บป่วย แทนที่จะมาบ่นโวยวาย ตีโพยตีพายว่า ทำไมต้องเป็นฉัน อันนี้ก็เรียกว่าเราซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง เพราะว่านอกจากตกงานแล้วหรือเสียรายได้แล้ว ก็ยังเสียอารมณ์ แล้วก็เสียเวลาอีก
ทุกครั้งที่เราเศร้าโศก ทุกครั้งที่เราหงุดหงิด ทุกครั้งที่เราโมโห โวยวาย ตีโพยตีพาย สิ่งหนึ่งที่เราเสียไปโดยที่เราไม่ตระหนักคือเสียเวลา และเวลาที่มีอยู่มันก็น้อยนิดอยู่แล้ว แทนที่จะโวยวาย ตีโพยตีพายว่า ทำไมถึงต้องเป็นมะเร็ง ทำไมต้องเจ็บป่วย เอาเวลาที่มีอยู่ไปทำสิ่งดี ๆ หรือว่าเติมสุขให้ใจดีกว่า
มีผู้ชายคนหนึ่งแกเป็นโปลิโอตั้งแต่เล็กเลย สมัยก่อนยังไม่มีวัคซีนป้องกันโปลิโอ ฉะนั้นเวลาเดินก็จะกระเผลก ๆ ถ้ามองจากสายตาของคนทั่วไปก็คือเสียบุคลิก แต่ว่าแกก็ไม่สนใจ เข้ามหาวิทยาลัยก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ แล้วก็สนุกสนานรื่นเริง และเวลาสนทนากับเพื่อน ไม่มีร่องรอยของความเศร้าโศกเลย แล้วก็เรียนได้ดี ประสบความสำเร็จในการศึกษา แม้ว่าแกจะเดินเหินไปไหนลำบาก ตกอยู่ในสายตาของผู้คนจนโดน bully ก็มีแต่ว่าไม่สนใจ
มีเพื่อนทักเขาว่า ทำไมคุณไม่เศร้าโศก ไม่รันทด หรือว่าไม่โมโหเลยที่ต้องมามีชะตากรรมแบบนี้ ทำไมคุณยังยิ้มแย้มร่าเริงได้ แกตอบว่าแต่ก่อนผมก็เศร้า สมเพชตัวเอง แต่ตอนหลังมาคิดได้ ว่าไม่ควรใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการจมอยู่กับความสมเพช สงสารตัวเอง หรือว่าโกรธแค้นชะตากรรม
ชีวิตที่เหลืออยู่ เอามาใช้เพื่อนำความรู้สึกดี ๆ มาให้เกิดขึ้นกับตัวเองดีกว่า แล้วพบว่า สิ่งนั้นก็คือการรู้จักชื่นชม ขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ที่เขาประสบ เขาได้รับ ขอบคุณพ่อแม่ที่ดูแล ขอบคุณมิตรสหายที่เอื้อเฟื้อมีน้ำใจ ขอบคุณชีวิตที่ให้โอกาสเขาได้พบสิ่งดี ๆ ขอบคุณร่างกายที่ยังช่วยให้เขาสามารถทำกิจการงานต่าง ๆ ได้ แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าด้วยเพราะเขาเป็นคริสต์ แทนที่จะใช้เวลาไปกับการสมเพชตัวเอง เอาเวลามาชื่นชม ขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ มันต่างกัน มันให้ความรู้สึกที่ดีกับเขามากเลย เพราะว่าทำให้เขามีความสุข
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่เพียงแต่ คนที่ไม่ยอมเสียเวลาไปกับความทุกข์ หรือจมอยู่ในความทุกข์แล้วยังรู้จักใช้เวลาที่มีอยู่ในการทำสิ่งที่มีค่า เริ่มต้นตั้งแต่การเติมสุขให้ใจ ด้วยการรู้สึกชื่นชม ขอบคุณสิ่งต่าง ๆ แต่เราสามารถจะเอาเวลาที่มีอยู่ในทำอะไรได้อีกเยอะ นอกจากการเปิดใจรับความสุข เราก็ยังสามารถจะทำสิ่งที่มีคุณประโยชน์ ช่วยเหลือผู้อื่น คนตกทุกข์ได้ยาก สร้างความดี ทำกุศล หรือว่าการฝึกจิต เพื่อให้มีอิสระจากความทุกข์ หรือการให้เวลากับคนที่มีความสำคัญต่อชีวิต เช่น พ่อแม่ หรือว่าลูกหลาน ยิ่งเวลาเหลือน้อยยิ่งต้องใช้เวลาแต่ละนาทีให้มันมีค่ามากที่สุด
ซึ่งคนเราจะใช้เวลาแต่ละนาทีให้มีค่าโดยที่ไม่ไปเสียเวลากับความทุกข์ ความหงุดหงิด ความเศร้าโศกได้นั้นมันต้องมีสติ สติอย่างแรกคือ การระลึกว่าเวลาเราเหลือน้อยแล้ว ฉะนั้นจะไปเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไร้สาระ หรือเรื่องที่มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ ความหงุดหงิดให้กับเรา อันนี้คือสติที่ทำให้เรานึกถึงความจริง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีสติประเภทหนึ่งคือ สติที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ เพราะถึงแม้ว่ารู้ว่าไม่ควรจะเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ ไม่ควรเสียเวลาไปกับคำต่อว่าด่าทอของคนนู้นคนนี้ ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับเงินที่มันสูญไป หรือว่าไม่ควรเสียเวลาไปกับ ไม่ควรหงุดหงิดกับรถที่มันติด
ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ ใจก็ยังอดไปหมกมุ่นครุ่นคิด คิดถึงเงินที่สูญไป คิดถึงโอกาสที่น่าจะได้ส่วนลดมากกว่านี้ มันอดคิดไม่ได้ จึงต้องมีสติอีกตัวหนึ่ง คือ สติที่ทำให้เห็น รู้ทันความคิด รู้ทันความคิดที่มันไหลไปอดีต ไปกังวลกับอนาคต รู้เพื่อที่จะปล่อย เพื่อที่จะวาง
อย่างอาจารย์คนนั้น ในชั่วขณะความคิดความรู้สึกแกคงจะเสียดายเงิน เป็นธรรมดาเสียเงิน 16 เหรียญจ่ายไปฟรี ๆ เลย มันก็คงมีความรู้สึกเสียดายเงิน แต่การที่ใจไม่ไปจมอยู่กับความเสียดายต้องมีสติ สติตัวแรกบอกว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว อย่าเอาเวลาที่มีอยู่ให้หมดเปลืองไปกับเรื่องราวแบบนี้ สติตัวที่สองเห็น รู้ทันความคิดว่า ใจไปจมอยู่กับเงินที่จ่ายไปโดยที่เปล่าประโยชน์ รู้ทันความรู้สึกเสียดายที่คอยจะพาจิตไปจม หมกมุ่นอยู่กับเงินเหล่านี้ จนปล่อยวางไม่ได้
หลายคนก็รู้ว่าเวลาเหลือน้อยแต่ว่าใจมันก็ยังไปจมอยู่กับความทุกข์ ความโศกเศร้า ความหงุดหงิด ปล่อยวางไม่ได้กับเงินที่สูญไป หรือเงินที่จ่ายเกิน รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรจะไปหมกมุ่น แต่ว่ามันก็ยังหมกมุ่น อันนี้เพราะว่าไม่มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ ตรงนี้แหละที่เรียกว่า สัมมาสติ
ถ้าเรามีสติโดยเฉพาะสติที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ การที่ใจมันจะไม่ไปจมอยู่กับความทุกข์เพราะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ มันก็จะเกิดขึ้นน้อยลง และทำให้มาอยู่กับปัจจุบัน และชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่กับปัจจุบัน หรือทำสิ่งที่ทำให้เวลาที่มีอยู่เกิดประโยชน์ อันนี้เรียกว่าทำปัจจุบันให้มีคุณค่า ซึ่งก็เป็นการเพิ่มสุขให้ใจ ไม่ใช่มาซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ใจ
ฉะนั้น เราจะใช้เวลาให้มีคุณค่าได้มันต้องมีสติด้วย เพราะถ้าไม่มีสติมันก็หลุดลอยไปกับความทุกข์ยามที่เจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่ว่าเกิดขึ้นกับทรัพย์ เกิดขึ้นกับร่างกาย เกิดขึ้นความสัมพันธ์ หรือเกิดขึ้นกับหน้าตา.