พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 9 กรกฎาคม 2567
ถ้าใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต น้อยคนที่ไม่รู้จักแอปเปิล ถึงแม้ไม่ได้ซื้อมาใช้เอง แอปเปิลเนี่ยไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต หรือไอแพด ไอโฟน มันก็มาจากบริษัทที่ชื่อแอปเปิล นี่ก็เกือบครบ 50 ปีแล้วที่แอปเปิลได้ก่อตั้งขึ้น
ตอนที่บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นมามี 3 คน สองคนนี้เป็นที่รู้จักดี คนหนึ่งคือสตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) อีกคนก็ สตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) ซึ่งเป็นวิศวกรที่เฉลียวฉลาดมาก สตีฟ จ๊อบส์นี้ไม่ได้เป็นวิศวกร แต่เขามีหัวทางการค้า นอกจากสองคนนี้แล้วก็มีอีกคนหนึ่ง โรนัลด์ เวนน์ (Ronald Wayne) คนนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ แต่ก็มีความสำคัญในช่วงเริ่มต้นแอปเปิล เพราะว่าแกเป็นนักธุรกิจ
สองคนแรกนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องการทำหรือการก่อตั้งบริษัท ต้องให้เวนน์มาช่วยก่อตั้งบริษัทขึ้นมา แล้วเขาก็เป็นผู้ใหญ่อายุ 40 สองคนนั้นก็อายุไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ก็เลยดึงเวนน์มาช่วย เวนน์เขาเป็นคนที่คิดค้นโลโก้ โลโก้แอปเปิล ที่มีชื่อนอกจากไอโฟน ไอแพดก็เป็นฝีมือของเวนน์ แต่จริงๆ ก็เป็นนักธุรกิจมากกว่า
มันมีเกร็ดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเวนน์ คือว่าเมื่อตั้งแอปเปิลได้ไม่นาน เขาก็ขายหุ้นทั้งหมดที่เขามี 10%, 90% นี้เป็นของสองคนนั้น คนละ 45% อีก 10% เป็นของเวนน์ เวนน์เขาขายหุ้นทั้งหมดที่เขามีคือ 10% ได้เงินมา 800 เหรียญ ถ้าหากว่าเขาไม่ขายหุ้นตอนนั้น ป่านนี้หุ้นของเขาจะมีราคาถึง 9 หมื่นล้านดอลลาร์ อันนี้คือเมื่อประมาณ 10 หรือ 20 ปีที่แล้ว
เอกสารที่เขาเซ็นสัญญาขายหุ้น ตอนหลังมีคนประมูลราคาถึง1.5 ล้านดอลลาร์ ทุกอย่างที่เขาจับเป็นเงินเป็นทองไปหมด หลังจากที่แอปเปิลเจริญรุ่งเรืองเป็นบริษัทมหาชน มีทรัพย์สินมูลค่าล้านล้านเหรียญ ไม่ใช่พันล้าน ล้านล้านเหรียญ ก็มีคนไปถามเวนน์ว่ารู้สึกเสียใจไหมที่ขายหุ้นตอนนั้นได้เงินมา 800 เหรียญเอง
ถ้าเขาไม่ขายหุ้น แล้วก็อยู่กับแอปเปิลจนกระทั่งร่ำรวย 10% ที่เขาถือครองนี้ก็จะมีราคาถึง 9 หมื่นล้านดอลลาร์ มันเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมา เรียกว่ากว่าล้านเท่าเลย เวนน์ก็ตอบดี บอกว่าเขาไม่เสียใจเลย ที่เขาขายไป 800 เหรียญก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว เท่าที่ข้อมูลที่เขาจะมีได้
นั่นเป็นคำถามที่คนถามเขามากว่าเสียใจไหมที่ขายหุ้นตอนนั้นได้ 800 เหรียญ ในขณะที่ตอนหลังหุ้นมีราคาถึง 9 หมื่นล้านเหรียญ เขาไม่เสียใจ เขาบอกว่าถ้าเขายังอยู่กับแอปเปิลต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงตอนที่แอปเปิลเจริญรุ่งเรืองติดอันดับ 1 ของโลก ถึงแม้เขาจะรวย แต่ว่าความเครียดที่เกิดขึ้นในระหว่างอยู่กับแอปเปิล มันคงจะทำให้เขาลงเอยด้วยการเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในสุสาน
เขาเปรียบเทียบได้ดี รวยจริง แต่ว่าก็คงจะตายเร็ว แล้วก็เป็นคนที่รวยที่สุดในสุสาน เขาไม่เสียใจเลย ถ้าจะเปรียบกับอะไร ลาภมหาศาลที่หลุดลอยจากมือเขาไป
เรื่องนี้คล้าย ๆ กับพี่น้องตระกูลแมคโดนัลด์ แมคโดนัลด์นี่เดี๋ยวนี้ไม่มีเด็กคนไหนไม่รู้จัก ชื่อร้านของแฮมเบอร์เกอร์ มีร้านแมคโดนัลด์ทั่วโลกเป็นหมื่นๆ ร้าน ทรัพย์สินมูลค่า ถึงแม้จะน้อยกว่าแอปเปิล แต่ว่าก็มหาศาลทีเดียว แมคโดนัลด์มันก็มีความเป็นมาเริ่มต้นที่ร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งก่อตั้งโดยพี่น้องตระกูลแมคโดนัลด์
ริชาร์ด เจมส์ และ มัวริช เจมส์ แมคโดนัลด์ สองคนพี่น้องนี้เขาเป็นคนที่รักการทำแฮมเบอร์เกอร์มาก แล้วก็ผลิตทำเมนูแฮมเบอร์เกอร์ที่อร่อย แต่ว่าที่เขาเก่งกว่านั้นคือ เขารู้จักบริหารร้าน ทำให้มีระบบการผลิตที่รวดเร็ว เพราะฉะนั้นแม้คิวจะยาว แต่ก็ทุกคนก็จะได้ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ในเวลาไม่นาน เขาก็มีวิธีการผลิต วิธีการบริหารที่น่าทึ่งมาก เลยเป็นที่นิยม จนกระทั่งมีเสียงร้องให้ขยายกิจการไปตามเมืองต่าง ๆ
ทีแรกเขาก็ลองขยายกิจการ แต่ตอนหลังก็คิดว่าพอเท่านี้ดีกว่า เพราะว่าถึงแม้เขาจะขยายกิจการด้วยการขายแฟรนไชส์ เขาก็รวยพอแล้ว มีบ้านที่สบาย มีสนามเทนนิส แล้วก็มีเงินที่มากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็เลยขายแฟรนไชส์ถูก ๆ ไม่หวังกำไรเท่าไหร่ แล้วตอนหลังเขาก็เปลี่ยนใจ บอกไม่ทำแล้ว มีคนมาขอซื้อกิจการทั้งหมดเลย เขาขายราคาถูก ๆ เลย 2 ล้านเหรียญซึ่งถือว่าถูกมาก ขายให้เรย์ คร็อก
เรย์ คร็อก คนนี้ตอนหลังก็ขยายแฟรนไชส์แมคโดนัลด์ จนกระทั่งดังไปทั่วโลก กลายเป็นอภิมหาเศรษฐี ก็มีคนถาม ดิ๊ก แมคโดนัลด์ คนที่เป็นพี่ชาย ว่าเสียใจไหมที่ขายกิจการให้คนอื่นไป ถ้าไม่ขายป่านนี้ก็รวยมหาศาลแล้ว เขาบอกไม่เสียใจเลย เพราะว่าทุกวันนี้เขาก็มีชีวิตสุขสบายอยู่แล้ว
เขาบอกว่าถ้าเขาทำแบบขายแฟรนไชส์ คิดว่าคงจะไม่มีความสงบสุข วันทั้งวันก็ต้องอยู่บนถนน อยู่บนรถ แล้วก็ไปนอนพักตามโมเต็ลเพื่อหาทำเล ทำเลที่จะตั้งร้านและขายแฟรนไชส์ ไม่มีความสุขถึงแม้จะร่ำรวย เขาคงจะไปอยู่ตึกระฟ้า แล้วก็ต้องเป็นโรคกระเพาะ แล้วยังต้องมีทนาย 7-8 คนมาช่วยสะสางจัดการเรื่องภาษีรายได้ พูดง่าย ๆ คือชีวิตมันวุ่นวาย เพราะฉะนั้นการที่เขาขายแมคโดนัลด์ด้วยราคาที่ไม่แพง เขาไม่เสียใจ คนอื่นก็เสียดาย ถ้าเขาไม่ขายเขาคงรวยมหาศาลไปแล้ว แต่เขาไม่มีความรู้สึกเสียดายกับการตัดสินใจนี้เลย
เรื่องของโรนัลด์ เวนน์ กับพี่น้องตระกูลแมคโดนัลด์มีความน่าสนใจ คนที่มีโอกาสจะร่ำรวยมหาศาลได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ แล้วเขาก็ไม่เสียใจด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ง่าย คนสมัยนี้ที่จะไม่รู้สึกเสียใจ สำหรับเมื่อคิดถึงว่าโชคมหาศาล หรือลาภก้อนใหญ่มันหลุดลอยไป
อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง คุณป้าคนหนึ่งในเมืองไทยนี้เอง ขายหุ้นไปล็อตหนึ่ง ได้กำไร 10 ล้าน ดีใจมาก 3 วันผ่านไปปรากฏว่าหุ้นตัวที่แกขายขึ้นเป็นเท่าตัวเลย แกเสียใจมาก แกบอกว่าถ้าแกขายหุ้นหลังจากนั้น 3 วันแกก็จะได้กำไร 20 ล้าน แทนที่แกจะดีใจกับเงิน 10 ล้าน แกเสียใจเพราะแกรู้สึกว่าแกเสีย 10 ล้าน
แบบเดียวกับที่หลายคน ได้คือเสีย ทั้งที่ได้โชคได้ลาภมา แต่ก็ยังมองว่าตัวเองเสียลาภก้อนใหญ่ไป ปรากฏว่าคุณป้าคนนี้แกเครียดมาก เครียดที่ขายเร็วไป ถ้าขายช้ากว่านั้น 3 วันก็ได้ไปแล้ว 20 ล้าน ครั้นแกได้แค่ 10 ล้านนี่ 10 ล้านก็ไม่ใช่น้อย แกเครียดจนป่วยเลย เข้าโรงพยาบาล คนแบบนี้มีเยอะ ที่ได้โชคลาภแล้วมาเสียใจภายหลัง เมื่อพบว่ามีโอกาสจะได้โชคลาภมากกว่านั้น
บางคนแทงหวยไป ซื้อหวยไป 15 บาท เลขท้าย 3 ตัว ถูก ได้ 600 โอ๊ย ดีใจ แต่พอรู้ว่าเพื่อนอีกคนนึง เขาแทงเลขตัวเดียวกัน แต่เขาซื้อไป 50 เขาก็เลยได้ 2,000 ทีแรกดีใจที่ได้ 600 แต่พอรู้ว่าเพื่อนได้ 2,000 เสียใจเลย แทนที่จะมองว่าตัวเองได้ แทนที่จะมองว่าตัวเองได้ 600 กลับไปมองว่าตัวเองเสียไป 1,400 หมด 1,400 นี้หลุดลอยไป มีคนคิดแบบนี้เยอะเลย
หรืออย่างที่เล่าเมื่อเร็วๆ นี้ ซื้อแท็บเล็ตได้ราคาถูก เขาลดโน่นลดนี่ ลดไปพันกว่าบาท ก็ดีใจ แต่พอซื้อไปแล้วปรากฏว่าร้านนี้เขาลดมากกว่านั้นอีก เสียใจที่จ่ายแพงจนนอนไม่หลับเลย ทั้งที่แท็บเล็ตที่ตัวเองซื้อมามันก็ถูกอยู่แล้ว แต่พอรู้ว่ามันมีขายถูกกว่า เรียกว่าซึมไปเลย
หรือเมื่อเร็วๆ นี้ ซื้อรถอีวี รถไฟฟ้า ซื้อในราคาที่ลด 50,000 ต่ำกว่าราคาที่เขาประกาศเอาไว้ ซื้อไปแล้วปรากฏว่า 2 เดือนต่อมา ราคาของรถรุ่นนั้นมันลดลงไปอีกถึง 150,000 คนซื้อหลายคนนี้เครียดเลย นอนไม่หลับ บางคนก็ร้องไห้ติดต่อกันหลายวันจนเกือบจะซึมเศร้า move on ต่อไปไม่ได้ ไม่รู้จะโทษใครดี ไม่รู้จะโทษบริษัทที่ลดแล้วลดอีก หรือโทษตัวเองที่ด่วนซื้อ
ที่จริงถ้าคิดแบบสองคนที่ว่า โรนัลด์ เวนน์ กับ ดิ๊ก แมคโดนัลด์ มันไม่มีเหตุผลที่จะเศร้าเลย ไม่มีเหตุผลที่จะเสียใจเลย เพราะอะไร เพราะว่าสองคนนั้นเขารู้จักสิ่งที่เรียกว่า พอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้ ตัดสินใจแล้วไม่รู้สึกผิดเลย ไม่รู้สึกเสียใจที่ได้ตัดสินใจ เพราะว่าคิดดีแล้วจากข้อมูลที่มี และที่สำคัญก็คือว่ามันก็ได้เงินมาเยอะ
อาจจะเป็นเพราะว่าสองคนนี้เขามีความรู้จักพอ แล้วก็ใช้ชีวิตแบบสันโดษก็ได้ อย่างโรนัลด์ เวนน์นี้ แกไม่ได้คิดว่าความร่ำรวยนี้มันเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ทั้งที่มีโอกาสจะร่ำรวยได้ ตอนหลังแกก็ไปใช้ชีวิตสมถะอยู่ในรัฐเนวาด้า อยู่ง่ายๆ เพราะสุขสบายดีอยู่แล้ว
ส่วนดิ๊ก แมคโดนัลด์แกก็มองว่าแม้จะไม่ได้ร่ำรวยมหาศาล แต่ว่าการที่เปิดร้านแมคโดนัลด์ร้านแรกก็ทำให้เขารวย เขามีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตแบบสะดวกสบายได้ เพราะฉะนั้นเงินอีกหลายหมื่นล้านที่หลุดลอยไปนี้เขาไม่เสียดาย เพราะว่ามีความสุขอยู่แล้วกับชีวิตตอนนี้
อันนี้เรียกว่ารู้จักมอง ความรู้จักมอง แทนที่จะมองของว่าเสีย กลับมองว่าได้ ก็ทำให้พอใจในสิ่งที่มี แล้วก็ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่มีความเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป คนสองคนนี้เขาก็ไม่ใช่เป็นคนที่เคร่งศาสนา หรือว่ามีธรรมะสูง แต่เขารู้ว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่ไหน อย่างน้อยก็รู้ว่าเงินไม่ใช่เป็นคำตอบของชีวิต
อย่างที่โรนัลด์ เวนน์บอกว่าหากว่าร่ำรวยแต่ต้องเครียดกับธุรกิจของแอปเปิลนี่เขาคงจะตายแบบเศรษฐี แต่มันจะมีคุณค่าอะไร เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในสุสาน มันจะดีได้อย่างไร
หรือว่าดิ๊ก แมคโดนัลด์เขาบอกว่ารวยแต่ว่าป่วยเป็นโรคกระเพาะ ชีวิตนี้ก็ไม่มีความสุข แค่ภาษีรายได้ก็ต้องหาทนายความ 7-8 คนมาช่วยจัดการ วุ่นวาย
ฉะนั้น คนเรานี้หากว่าเรารู้จักมอง จะเรียกว่ามองบวกก็ได้ ก็คงจะไม่เครียดอย่างคุณป้าคนนั้นที่เสียใจ เสียใจที่ขายหุ้นเร็วไปหน่อย แทนที่จะได้ 20 ล้าน เลยได้ 10 ล้าน ถ้ามองบวกก็คือได้ แต่ถ้ามองลบก็คือเสีย คนเรานี้ ชีวิตของเรานี้มันก็พัวพันกับเรื่องได้กับเสีย น้อยกับมาก ถ้าเราเอาใจไปผูกพันกับเรื่องพวกนี้มากนี่มันทุกข์ ทุกข์มากเลย ยิ่งมองลบด้วย ได้เท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่าเสีย ซื้อของถูกก็ยังรู้สึกว่าจ่ายแพงไป แล้วถ้ามองลบแบบนี้ มันก็จะเกิดปัญหาความทุกข์ใจ
มีหลายคน บอกว่ามีความทุกข์ ที่รู้สึกว่ายังทำดีไม่พอ กับพ่อแม่ กับลูก ที่จริงสิ่งที่เขาทำนี้ก็เยอะแล้ว อาจจะไม่ถึง 100% แต่ก็ 90-95% บางคนดูแลพ่อแม่ที่ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง 5 ปี 7 ปี จนท่านจากไป แต่ว่าตอนที่ท่านจากไป ไม่ได้ดูใจท่าน เพราะว่าไปทำธุระที่อื่น ก็โทษตัวเองว่าทำไมฉันจึงพลาดอย่างนี้ อันนี้เรียกว่าแทนที่จะมองเห็นความดีที่ทำ มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ
เหมือนกับคนที่สอบได้ 97% แล้วก็โทษที่ตัวเองทำผิดไป 3% ที่จริงคนเราเวลาสอบได้ มันน้อยคนที่จะสอบได้ 90% 80% ก็เก่งแล้ว เวลาเราสอบได้ 80% เราก็ไม่เคยเสียใจว่าทำไม 20% เราสอบไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนที่สอบได้ 90% ไม่เสียใจกับ 10% ที่สอบไม่ได้
เวลาทำความดีกลับคาดหวังว่าจะทำความดีต้องครบ 100% พอไม่ครบ 100% ก็เสียใจ อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะมองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ ถ้ามองให้เห็นความดีที่ตัวเองทำก็น่าพอใจได้ เพราะเราก็ทำได้ไม่น้อย 95-97% เช่นเดียวกัน
คนที่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่สมบูรณ์แบบสักที มีความทุกข์ มีคนหนึ่งถาม เวลาเป็น ทำอย่างไรจะไม่ทุกข์ เพราะว่าเป็นคนที่ทำอะไรก็หวังความสมบูรณ์แบบ คนที่ทุกข์เพราะหวังความสมบูรณ์แบบ ก็เพราะมองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ มองเห็นความผิดพลาด ทั้งที่ตัวเองทำนี้ดี 95% แล้ว แต่ก็เห็นแต่ 5% ที่ยังไปไม่ถึง อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะมองลบ มองลบมันก็จะเห็นแต่ความบกพร่อง แม้จะน้อยนิด หรือสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำ
ฉะนั้น ในโลกนี้มันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ ทุกอย่างมีความพร่องทั้งนั้น คำว่าทุกขังนี้ในไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกขังนี้มันคือความพร่อง ทุกอย่างไม่สมบูรณ์แบบ ในความสุขมันก็มีความทุกข์แฝงอยู่ ในความสำเร็จมันก็มีความล้มเหลวซ่อนอยู่ สิ่งที่เรามองเห็นเป็นความสำเร็จในวันนี้ พอผ่านไป 2 ปี 3 ปีหรือ 5 ปี กลับมองเห็นว่าความผิดพลาดเต็มไปหมดเลย ความบกพร่องเต็มไปหมดเลย
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าความตายอยู่ในชีวิต ความแก่อยู่ในความหนุ่มสาว โรคอยู่ในความไม่มีโรค ในสุขมีทุกข์ ความทุกข์หรือทุกขัง แปลว่ามีความพร่องอยู่ในสรรพสิ่ง มันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ คนที่แข็งแรงมีสุขภาพดีวันนี้ วันหน้าก็ร่วงโรยเจ็บป่วย หรือไม่มีกำลังวังชา
ฉะนั้น ถ้าหากแสวงหาความสมบูรณ์แบบจะเต็มไปด้วยทุกข์ สิ่งที่เห็นว่าเป็นความสำเร็จในวันนี้ พอผ่านไปไม่กี่ปีไม่กี่เดือน มันจะกลายเป็นความล้มเหลวไปแล้วก็ได้ เราอย่าไปมองแต่ความบกพร่อง แต่ว่ามองถึงสิ่งดีๆ ที่เราได้ทำ
อย่ามองแต่สิ่งที่เสียไป ให้มองสิ่งที่ได้ เพราะถ้าเรามองแบบนี้ เวลาเราซื้อของถูกแล้วมาพบว่า คนอื่นซื้อได้ถูกกว่าเรา ก็จะไม่ทุกข์เลย เพราะว่าเราก็ได้ซื้อได้ของดีอยู่แล้ว เวลาขายอะไรไปแล้ว มาพบว่าถ้าขายหลังจากนั้นมันจะได้เงินมากกว่า 2 เท่า 3 เท่า ก็ไม่ทุกข์ ไม่เสียใจ เพราะว่าที่ฉันได้มันก็เยอะพออยู่แล้ว
ถ้ามองแบบนี้บ้าง ชีวิตเราก็จะไปแขวนอยู่กับการได้การเสียน้อยลง เป็นทุกข์กับเรื่องได้เรื่องเสียน้อยลง เป็นทุกข์กับความมากและความน้อย น้อยลง ก็จะรู้จักพอใจสิ่งที่มี ยินดีกับสิ่งที่ได้ หรือว่าพอใจในสิ่งที่ทำมากขึ้น.