พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 8 กรกฎาคม 2567
เมื่อเช้าตอนไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน มีหมาตัวหนึ่งที่จริงก็คุ้นเคยกันอยู่ เห็นพระมามันก็มาเลย แต่ว่ามีช่วงหนึ่งที่มันคงจะไปจดจ่ออยู่กับพระรูปอื่น ตอนนั้นอาตมาก็เอาข้าวเหนียว 1 ปั้นโยนให้มัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ถูกตัวมันเลย พอมันเห็นก้อนข้าวเหนียวนี่ร้องทันทีเลย ร้องด้วยความเจ็บปวด
เคยเจอเหตุการณ์คล้าย ๆ ทำนองนี้ แต่ว่าเป็นหมาอีกตัวหนึ่ง มันร้องเมื่อข้าวเหนียวไปถูกตัวมัน แล้วมันก็คงนึกว่าเป็นก้อนหิน ก็เลยร้อง แต่ว่าตัวเมื่อเช้านี้ข้าวเหนียวยังไม่ทันจะโดนตัวมันเลย พอมันเห็นก้อนข้าวเหนียวพุ่งเข้ามาที่ตัวมัน ก็ร้องทันทีเลยด้วยความเจ็บปวด
ทำไมมันถึงร้อง ก็เพราะว่าในตอนนั้นทั้งที่มันไม่ทันเห็นว่าเป็นข้าวเหนียวแต่มันคิดว่าเป็นก้อนหิน มันก็คงจำได้ถึงตอนที่โดนก้อนหินขว้าง อาจจะเคยโดนจากเด็กชาวบ้าน เป็นตอนที่มันโดนก้อนหินขว้างในอดีต เมื่อก้อนหินถูกตัว มันเจ็บ มันก็จดจำความเจ็บนั้นเอาไว้
แล้วพอมันเห็นก้อนข้าวเหนียวซึ่งมันปรุงแต่งว่าเป็นก้อนหิน มันก็คงคิดว่าเมื่อก้อนหินนั้นถูกตัวมัน ก็จะรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกปวดแบบเดียวกับคราวก่อนซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ อันนี้เรียกว่าความระลึกได้ ความจำได้ถึงความเจ็บปวดในอดีต แล้วก็คิดว่ามันจะต้องเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง
พอมันคิดว่ามันจะต้องเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง ก็เลยร้องขึ้นมาทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้โดนก้อนหินสักก้อนที่ขว้างใส่มันเลย ฉะนั้นมันจึงไม่มีความเจ็บปวดทางกายอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าก้อนข้าวเหนียวจะถูกมันก็จะแค่รู้สึกว่ามีของนิ่ม ๆ มาถูกตัว ก็ย่อมไม่มีทุกขเวทนาทางกายเกิดขึ้นกับมันเลย แต่ที่มันร้อง ไม่ใช่เพราะความตกใจอย่างเดียว แต่ว่าร้องด้วยความรู้สึกเจ็บปวดด้วย เป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งทั้งนั้นเลย
มันทุกข์เพราะความคิดของมัน เริ่มตั้งแต่การปรุงแต่งว่าข้าวเหนียวนี่คือก้อนหิน แล้วก็ปรุงแต่งต่อไปว่าถ้าก้อนหินมาถูกตัว มันก็จะเจ็บหรือปวดอย่างเดียวกับที่เคยเจอเมื่ออดีต ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้มันเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจทั้งนั้นเลย ล้วน ๆ เลย แต่ว่าก็ทำให้มันรู้สึกว่าเกิดความเจ็บปวดทางกายด้วย ไม่งั้นมันไม่ร้อง
นี่เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้ความทุกข์ของหมาตัวนี้มันเป็นเรื่องความคิดล้วน ๆ เลย ตั้งแต่คิดปรุงแต่งว่าข้าวเหนียวคือก้อนหิน แล้วก็ย้อนระลึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นจากการโดนก้อนหินขว้าง ก็เลยคิดต่อไปว่า ครั้งนี้กูก็คงโดนอีก ไม่ใช่คงหรอก เรียกว่าต้องโดนเลย อันนี้จะว่าเป็นความทุกข์ในความคิดก็ได้ หรือในจินตนาการ หรือเป็นทุกข์เพราะความคิด แต่ก็ทำให้มันรู้สึกปวดจริงจังถึงกับร้องออกมา
ที่จริงไม่ใช่หมาเท่านั้น หรือไม่ใช่หมาตัวนี้เท่านั้น ที่มันถูกความคิดการปรุงแต่งมาทำให้มันเป็นทุกข์ คนเราก็เป็นอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ทุกข์เพราะความคิด หรือแม้กระทั่งเจ็บป่วยก็เพราะความคิด
อย่างผู้ชายคนหนึ่งไปตรวจสุขภาพ ตรวจเสร็จหมอก็บอกว่าคุณหัวใจรั่ว แกตกใจมากเลย แล้วแกก็วาดภาพว่าหัวใจรั่วคือหัวใจเป็นรู พอหัวใจเต้น เลือดมันก็พุ่งออกมา รั่วออกมา แบบนี้ก็ตายสิ โห แกกลับไปบ้านนี่ก็เรียกว่าห่อเหี่ยว หมดเรี่ยวหมดแรงเลย ไม่เป็นอันทำงาน ทำงานไม่ได้
ที่จริงหมอตั้งใจจะบอกผู้ชายคนนี้ว่าลิ้นหัวใจรั่ว แต่พูดไม่ครบ พูดไม่ละเอียด ลิ้นหัวใจรั่วนี่ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติได้ ออกกำลังกายก็ยังออกได้ แต่ผู้ชายคนนี้ไปเข้าใจว่าหัวใจรั่วนี้มันเป็นโรคที่น่ากลัว อายุแค่ 40 กว่า กลับไปบ้านได้แค่ 2 วันก็เข้าโรงพยาบาล แล้วหลังจากนั้นก็เข้าห้อง ICU แล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย ตาย
ลิ้นหัวใจรั่วนี่มันไม่ใช่เป็นโรคร้ายถึงตายถ้าดูแลดี ๆ ออกกำลังกายก็ยังออกได้ อย่างชายคนนี้แกก็เล่นเทนนิสเป็นประจำ ลิ้นหัวใจรั่วก็ยังเล่นเทนนิสได้ แต่พอคิดว่าหัวใจรั่วตามที่ตัวเองจินตนาการก็หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่เป็นอันทำอะไรเลย กินไม่ได้นอนไม่หลับ สุดท้ายก็ตาย
นี่เรียกว่าป่วยเพราะความคิดล้วน ๆ เลย ถึงแม้ว่าจะมีอาการทางกายบ้างแต่ก็เล็กน้อย ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ที่หนักหนาก็คือความคิด การปรุงแต่ง บางคนปรุงแต่งถึงตายเลย แล้วตายแบบไม่ใช่ว่า 3-4-5-6 วันถึงค่อยตาย คือตายแบบแม้ไม่ถึงกับฉับพลันแต่ว่าก็เร็วมาก
อย่างในอินเดีย มีนักโทษประหารคนหนึ่ง เมื่อถึงวันประหารก็มีหมอคนหนึ่งมาบอกกับทางเจ้าหน้าที่ราชการว่าไม่ต้องแขวนคอได้ไหม มันมีวิธีอื่นที่ทำให้เจ็บปวดน้อยกว่านี้ แล้วก็ไม่ทรมานมาก เขาบอกว่าวิธีนั้นก็คือการถ่ายเลือดออกมาจากร่างกาย วิธีนี้ไม่เจ็บเลย ไม่ทรมาน ปรากฏว่าทางการก็ยอม ซึ่งคงไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน แต่ว่าที่นี่เขายอม
เมื่อถึงเวลานักโทษประหารคนนั้นก็ถูกปิดตา แล้วก็ถูกมัดนอนบนเตียง จากนั้นจะเรียกว่าเพชฌฆาตก็ได้ ที่จริงก็คือหมอนั่นแหละ มาทำการขูดข่วนที่แขนแล้วก็ที่ขา ทำนองว่าจะระบายเลือดออกจากร่างกาย แต่ที่จริงไม่ได้ทำให้เลือดออกเลย แต่เขาก็ทำให้เกิดความเข้าใจว่าเลือดไหลออกมาจากร่างกาย เพราะว่ามีการปล่อยน้ำลงภาชนะจากเตียง ภาชนะนี้วางอยู่บนพื้น ก็มีน้ำไหลลงภาชเสียงดังเลย คล้าย ๆ ว่าเลือดนี้กำลังไหลออกจากตัวของชายคนนี้
แล้วตอนหลังเสียงก็ค่อย ๆ เบาลง ๆ ทำนองว่าเลือดนี้ค่อย ๆ กำลังจะระบายออกจากร่างกายเกือบจะหมดแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็เริ่มเหนื่อยอ่อนแรง น้ำเสียงแทบจะไม่มีแรงเลย แล้วพอเสียงน้ำนี้หยุด ไม่มีน้ำไหลลงภาชนะ ปรากฏว่าชายคนนั้นก็หมดเสียง ไม่มีเสียงเลย สักพักก็เป็นลม ไม่ถึงชั่วโมงก็ตาย หัวใจหยุดเต้น
อันนี้มีการบันทึกไว้ในรายงานทางการแพทย์เมื่อหลาย 10 ปีก่อน เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก เพราะว่าจริง ๆ ชายคนนั้นไม่ได้สูญเสียเลือดเลยสักหยด เสียงดังที่ว่ามันไม่ใช่เสียงเลือด เป็นเสียงน้ำที่เขาปล่อยลงภาชนะที่วางอยู่บนพื้น แต่ชายคนนั้นคิดว่าเลือดกำลังระบายไหลออกมาจากร่างกายเขา แล้วคิดต่อไปว่าถ้าระบายหมด ฉันก็ตายสิ
ความกลัว ความตื่นตระหนก และความเชื่อจริงจังว่าตัวเองกำลังถูกระบายถ่ายเลือดออกจากร่างกายจนหมดตัว มันก็ทำให้เขาถึงตายได้ ทั้งที่สุขภาพเขาก็ดี แล้วก็ไม่มีเลือดไหลออกมาจากร่างกายสักหยด แต่ว่าก็ตายได้ อันนี้ชี้ให้เห็นว่ากายกับใจนี้สัมพันธ์กันมาก แล้วบางครั้งเพียงแค่ความเชื่อของคนเรา เชื่อว่ากำลังจะถูกทำร้ายให้ถึงตาย ก็ทำให้ตายได้จริง ๆ
ฉะนั้น จะว่าไปแล้วความเชื่อของคนเรานี้มันก็น่ากลัว คนเรานี้ถ้าหากว่าปรุงแต่งไปในทางลบทางร้าย แล้วก็เชื่อความคิดปรุงแต่งนั้น ก็ทำให้ถึงตายได้ มันมีตัวอย่างเยอะแยะ คนเราที่ล้มป่วยถึงตายเพราะความเชื่อ ทั้งที่ไม่มีอะไรทำกับร่างกายเลยก็มี
อย่างที่เคยมี คนเขาไปเห็นเหตุการณ์หนึ่งที่ออสเตรเลีย เป็นชนเผ่าพื้นเมืองเขาเรียกอะบอริจิน พวกนี้เขามีความเชื่อเรื่องการสาปแช่ง การทำเวทมนตร์ คล้าย ๆ กับพวกหมอผีวูดู แล้วมีชายคนหนึ่งเขาเชื่อเลยว่าตัวเองนี้กำลังถูกสาปแช่งด้วยหมอผีซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้
ทันทีที่เขามีความเชื่อแบบนั้นว่าโดนของแล้ว ปรากฏว่าตาเหลือกเลย ตาเหลือกแล้วขุ่นมัวเลย ตาเป็นสีขุ่นมัว หน้าตาก็บิดเบี้ยว แถมมีน้ำลายฟูมปาก ลำตัวก็บิดเบี้ยว และมีอาการสั่นด้วย จากนั้นก็หมดสภาพไปเลย
เพียงแค่ดูจากสีหน้าใบหน้า อาการที่สั่นเหมือนผีเข้า ลำตัวบิดเบี้ยว แล้วก็น้ำลายฟูมปาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตัวนี้ ซีดเลย ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ไม่ถึงชั่วโมงก็ตาย ที่จริงแล้วไม่มีใครทำอะไรเขาเลย แต่เป็นความเชื่อล้วน ๆ
แต่เดี๋ยวนี้เขาก็พบแล้วว่า ความกลัว ความตื่นตระหนก มันมีผลต่อหัวใจของคนเรา หัวใจมันเป็นส่วนที่อ่อนไหวมากต่ออารมณ์ แค่ความกลัว ความตื่นตระหนก ก็ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ในเวลาไม่นาน แล้วมันไม่ใช่แค่ความกลัว ความเศร้า คนที่สูญเสียคนรัก คนที่หมดหวังในชีวิต หัวใจก็มีอาการผิดรูปผิดร่าง
คนที่สูญเสียคนรักในเวลาไม่นานแล้วตาย เขาพบว่าหัวใจมีลักษณะผิดปกติ แต่อันนี้มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง คือสูญเสียคนรัก คนที่ผูกพันกับคนรัก พอจากไปก็เกิดความเศร้า หมดหวัง หรือว่าไม่มีแรงจูงใจในการมีชีวิตต่อไป มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แล้วก็ผลกระทบต่ออารมณ์
แต่เหตุการณ์ 2-3 ตัวอย่างที่พูดมาก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องความคิดล้วน ๆ อาจจะมีตัวกระตุ้นบ้าง แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิดการปรุงแต่ง ไม่ได้เป็นการทำร้ายร่างกาย แต่สิ่งที่ทำร้ายร่างกายของคนเหล่านั้น รวมถึงหมาตัวนั้นด้วย ก็คือความคิด จินตนาการ การปรุงแต่ง
ฉะนั้น ถึงบอกว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร หรือเราคิดกับมันอย่างไร หมาเจอก้อนข้าวเหนียว ถ้ามันคิดว่าเป็นก้อนหิน มันก็ปวดร้องเอ๋งขึ้นมาทันที หรือคนที่แค่ถูกข่วนที่แขน ที่ขา แต่คิดว่ากำลังถูกระบาย ถูกสูบเลือดออกจากร่างกาย มันก็ตายได้
อะไรเกิดขึ้นกับเราไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร หรือทำกับมันอย่างไร แล้วความรู้สึกหรือมุมมองความคิด มันเป็นเรื่องของใจทั้งนั้นเลย ฉะนั้น มองในแง่หนึ่ง ไม่มีอะไรที่ทำร้ายเราได้รุนแรงเท่ากับจิตใจของเรา สิ่งที่น่ากลัวที่ทำร้ายเราอย่างรุนแรงนี้ไม่ใช่สิ่งภายนอก ไม่ใช่คำพูดของคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่อยู่ที่ดินฟ้าอากาศ แต่อยู่ที่ใจของเรา ใจที่ปรุงแต่งจะให้ตื่นตระหนก
ที่อเมริกา เมื่อมีพายุทอร์นาโดหรือเฮอริเคนเกิดขึ้น มีคนตายจำนวนมาก ปรากฏว่าคนที่ตายจำนวนมากไม่ได้เจอพายุเฮอริเคนเต็ม ๆ เลย หรือไม่ได้เจอพายุทำลายบ้าน ทำลายข้าวของเลย แต่แค่โดนเฉียด ๆ ที่ตายเพราะหัวใจวาย หัวใจวายเพราะอะไร เพราะกลัว เพราะตื่นตระหนก เพราะคิดว่าซวยแล้วกู
ฉะนั้น จะว่าไปแล้วที่ตายนี้ไม่ใช่เพราะเฮอริเคน ที่ตายเพราะใจ ใจที่ตื่นตระหนก ใจที่ปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา แม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้น มีโอกาสถูกทำร้าย แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ใจนั่นแหละที่มันทำร้ายเราถึงตายได้
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า โจรกับโจรทำร้ายกัน มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากเท่ากับจิตที่ฝึกไว้ผิด หรือจิตที่วางไว้ผิด จิตที่ฝึกไว้ผิดหรือจิตที่วางผิด ก็คือจิตที่ปรุงแต่งในทางลบทางร้าย จินตนาการ แล้วก็เชื่อความคิด เชื่อจินตนาการนั้น อันนี้ยังรวมไปถึงจิตที่ยึดติดถือมั่นในสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วรวมอยู่ด้วย เช่น คนที่สูญเสียทรัพย์ บ้านถูกยึด ไฟไหม้ หรือสูญเสียคนรัก
ที่จริงความสูญเสียนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับสิ่งภายนอก สิ่งนอกตัว แต่พอไปยึดติดถือมั่น วางไม่ได้ มันก็ส่งผลทำร้ายจิตใจ หรือทำให้จิตใจเกิดการปรุงแต่งในทางลบทางร้าย จนกระทั่งมันทำร้ายร่างกายของตัวเอง เริ่มต้นที่หัวใจก่อน หัวใจแย่ แล้วหัวใจก็ทำให้อวัยวะส่วนอื่นพลอยเสียหายไปด้วย
ฉะนั้นให้เราตระหนักว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดมันไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือใจของเรา ใจถ้าหากว่าฝึกไว้ดี ก็สามารถจะนำสิ่งดี ๆ มาให้กับเราอย่างที่พ่อแม่ให้ไม่ได้ อันนี้ก็เป็นพุทธภาษิต สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เราควรจะได้ก็มาจากใจนั่นแหละ แม้แต่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ก็ทำให้ไม่ได้ นั่นคืออะไร คือความสุข ความอิสระ นิพพานซึ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดเท่าที่มนุษย์เราพึงจะเข้าถึงได้ แม้กระทั่งเทวดา มาร พรหม ก็ไม่อาจจะเข้าถึงได้ดีเท่ามนุษย์ ก็เกิดขึ้นได้ บรรลุได้ก็ด้วยใจของเรานั่นแหละ ใจที่ฝึกไว้ดี แม้จะเจอความสูญเสีย เจอความทุกข์ เจอความเจ็บป่วยอย่างไร ใจก็ยังผ่องแผ้วอยู่ได้
อย่างนางสามาวดีโดนไฟคลอก ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับกายนี้มันเรียกว่าสาหัสสากรรจ์มาก ถูกไฟคลอก แต่จิตใจของนางเรียกว่าไม่ทุกข์เลย นอกจากให้อภัยคนที่ทำร้ายนาง หลอกให้นางมาติดกับอยู่ในคลังผ้าแล้วจุดไฟเผาแล้วนี่ ก็ยังรู้จักวางใจ ท่านใช้คำว่า เอาเวทนาเป็นอารมณ์ ก็คือว่ามีสติรู้เวทนา ไม่เข้าไปยึดในเวทนา
หรืออย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า เห็น ไม่เข้าไปเป็น เห็นความปวดแต่ไม่เป็นผู้ปวด ฉะนั้นแม้กายจะทุกข์อย่างไรแต่ว่าใจไม่ทุกข์ เรียกว่าสำเร็จได้ด้วยใจ แม้จะเจอทุกข์ที่ทำร้ายกายอย่างไร แต่ว่าใจไม่ทุกข์เลย ในทางตรงข้าม ถ้าใจวางเอาไว้ไม่ดี ฝึกไว้ไม่ดี หลงปรุงแต่งแล้วก็เชื่อในสิ่งที่ปรุงแต่งได้ง่าย แม้จะไม่มีอะไรเลย แต่ว่าใจนี่แหละปรุงแต่งถึงขั้นทำร้ายให้ร่างกายถึงตายได้
จึงกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรประเสริฐกว่าการฝึกใจ ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับการฝึกใจ ฝึกด้วยสติ หรือฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีปัญญา ฉะนั้น ถ้าใจมีการฝึกที่ดี ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย กับทรัพย์สินเงินทอง กับงานการ กับคนรัก กับความสัมพันธ์ ใจก็ไม่ทุกข์
แต่ถ้าไม่ฝึกใจเอาไว้แล้ว เมื่อยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแต่ก็เชื่อไปแล้วว่ามันมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น มันก็สามารถจะทำร้ายเราถึงตายได้ สิ่งที่ทำร้ายนั้นไม่ใช่อะไร ก็คือความคิดปรุงแต่ง หรือเกิดขึ้นเพราะใจนี้เอง.